จักรพรรดิมังกร - บทที่ 704 ยอมให้พวกแกเอาเปรียบไม่ได้
จ้าวหมิงหยางปากก็พูดจาใหญ่โต เท้าก็ก้าวถอยหลังไปเรื่อย ๆ
“ถ้างั้นแกก็ลองออกไปดูสิ มาดูกันว่าแกจะออกไปได้มั้ย เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันเพิ่งจะฝึกอบรมรปภ.ของบริษัทพอดีเลย หรือไม่ ฉันน่าจะให้พวกนั้นมาจับแกนะ เหมือนเป็นการฝึกซ้อมอย่างนึง คิด ๆ ดูคงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเชียวล่ะ”
หลี่โม่พูดจบ ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่นับได้ว่ามีเกียรติและยิ่งใหญ่ใจกว้างคนหนึ่งจริง ๆ กระทั่งตอนต่อสู้ ก็ยังไม่ลืมใส่ใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทตัวเอง ยังคิดให้โอกาสพวกเขาได้ฝึกซ้อมในการต่อสู้จริงด้วย
“หลี่โม่! พ่อของฉันเป็นผู้อำนวยการกรมตำรวจ ! ตำรวจสายตรวจทั้งหลายในเมืองฮ่านอยู่ภายใต้เงื้อมมือของพ่อฉัน! ถ้าแกไม่ปล่อยพวกเราไป นั่นก็เท่ากับผิดกฎหมายฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว พ่อของฉันต้องมาจัดการแกจนไม่เหลือแน่”
จ้าวหมิงหยางอับจนหนทาง จนถึงกับต้องยกชื่อเสียงของพ่อมาอ้างแล้ว
ถ้าเป็นเวลาปกติ สิ่งที่จ้าวหมิงหยางเกลียดที่สุด ก็คือการยกชื่อเสียงของพ่อมาอ้าง แต่เวลาแบบนี้เขาไม่ยกไม่ได้จริง ๆ เพราะต่อให้เป็นวีรบุรุษ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ก็ต้องรู้จักยอมถอยเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างในขณะนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่แค่ตกเป็นเบี้ยล่างแล้ว แต่เป็นหลุมดักขนาดมหึมาเลยต่างหาก
“เฮอะ! กะอีแค่ ผ.อ.ตำรวจสายตรวจจะนับเป็นอะไรได้? แกกำลังเตรียมขุดหลุมดักพ่อตัวเองว่างั้น ? ขอแค่พ่อของแกเสนอหน้ามาถือหางให้ท้ายแกเมื่อไหร่ เชื่อเหอะว่าจุดจบจะต้องน่าอนาถจนดูไม่ได้แน่ ๆ ” หลี่โม่พูดอย่างไม่ยี่หระ
จ้าวหมิงหยางโกรธจนจมูกแทบเบี้ยว ดวงตาสาดประกายดุร้ายวาววับ ขยิบตาเป็นสัญญาณให้เพื่อนร่วมทีมอีกสองคน: “บุกออกไปแม่งเลยโว้ย!”
จ้าวหมิงหยางเหวี่ยงกริชในมือก่อนแล้วพุ่งตรงไปที่ประตู หลี่โม่ยกเท้าขึ้นเตะออกไปตรง ๆ ทีหนึ่ง เตะจนจ้าวหมิงหยางกระเด็นลงไปกองกับพื้น
เพื่อนร่วมทีมอีกสองคนของจ้าวหมิงหยางไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งไม่มีท่าทีว่าตั้งใจจะช่วยเลยด้วย แค่ปกป้องเหอซวี่หยางไว้อย่างแน่นหนาเท่านั้น
“ หลี่โม่ พวกเราแค่ได้รับคำเชิญจากจ้าวหมิงหยางให้มาช่วย เขาทำให้แกขุ่นเคืองใจ มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ปล่อยพวกเราไป ส่วนจ้าวหมิงหยางนั่น แกคิดจะจัดการกับมันยังไงก็จัดการไปเลย ” เหอซวี่หยางขายเพื่อนร่วมทีมได้อย่างเด็ดขาดไม่มีลังเล
หลี่โม่ยิ้มพลางส่ายหน้า: “แกว่า ถ้าแกกับฉันสลับกัน แกจะยอมรับเงื่อนไขข้อนี้ที่แกเป็นฝ่ายเสนอมามั้ยล่ะ?”
“ฉัน……มันก็…..”
สีหน้าของเหอซวี่หยางเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง ถ้าสลับกันให้เขาไปเป็นหลี่โม่ ยังจะมัวมาพูดพล่ามมากมายไร้สาระแบบนี้ซะที่ไหน อันดับแรก คือต้องกระทืบอีกฝ่ายให้สาหัสปางตายก่อน จากนั้นค่อยข่มขู่กรรโชกทรัพย์ ไม่ก็แบล็กเมล์เอาผลประโยชน์มาให้ได้ถึงจะจบเรื่องไป
“ดูสิ ขนาดแกเองยังไม่คิดเลยว่าแกจะยอมรับข้อตกลงนี้ได้ แล้วแกอาศัยอะไรถึงคิดว่าจะทำให้ฉันยอมรับข้อตกลงนี้ล่ะ? ” หลี่โม่มองเหอซวี่หยางด้วยสายตาสัพยอก
เหอซวี่หยางพูดพึมพำในลำคอว่า “ฉันให้เงินแกได้ พวกเราแต่ละคนจะให้เงินแกคนละแสน เพื่อเป็นค่าชดเชย ในอนาคตเราจะไม่โผล่หัวมาที่เมืองฮ่านอีก แล้วก็จะไม่ไปหาใครมาแก้แค้นแกด้วย แบบนี้เป็นไง?”
“ก็ไม่ยังไง” หลี่โม่ส่ายหน้าอย่างเกียจคร้าน
“โจมตีพร้อมกัน! ถ้าไม่สามัคคีกันพวกเราก็บุกออกไปไม่ได้แน่ !” จ้าวหมิงหยางตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นด้วยท่าทางดุร้าย
ในเวลานี้ มีแต่ต้องร่วมแรงกับพวกเหอซวี่หยางสามคนเท่านั้นแล้ว ถึงจะพอมีความหวังที่จะหนีออกไปได้ ถ้าถูกแยกกันกำจัดล่ะก็ คงมีแต่ต้องปล่อยให้หลี่โม่เป็นฝ่ายถล่มจนเละแบบไม่เหลือซากแน่
เมื่อเหอซวี่หยางเห็นว่าการขายเพื่อนร่วมทีมไม่ประสบความสำเร็จ แล้วก็เข้าใจด้วยว่าตอนนี้มีแค่วิธีเดียวที่ทำได้คือต้องสามัคคีกัน ดังนั้นจึงขยิบตาให้เพื่อนร่วมทีมอีกสองคนที่อยู่ข้างตัวเป็นสัญญาณว่า ให้ร่วมมือกันสู้แบบยอมแลกชีวิตกับหลี่โม่ไปเลย
ทั้งสี่เคลื่อนไหวพร้อมกัน พุ่งทะยานเข้าหาหลี่โม่อย่างพร้อมเพรียง
หลี่โม่พูดอย่างร่าเริงว่า: “ฉันก็บอกไปตั้งนานแล้วไง ว่าให้พวกแกทั้งสี่คนบุกเข้ามาพร้อมกัน ดันมัวพิรี้พิไรทำให้ฉันเสียเวลาซะขนาดนี้ คราวนี้จะได้ให้พวกแกลงไปนอนบนพื้นดี ๆ พร้อมกันทีเดียวเลย”
ในขณะที่พูดสัพยอกไปพลาง หลี่โม่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเหวี่ยงหมัดเข้าใส่คนทั้งสี่ หลังสิ้นเสียงกระแทกของกำปั้นและฝ่าเท้า พวกจ้าวหมิงหยางทั้งสี่ก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้น เปล่งเสียงโหยหวนชวนอเนจอนาถกันให้ระงม
เหอซวี่หยางนอนพังพาบอยู่บนพื้น หลับตาแน่น ปากก็พูดอย่างคับแค้นใจว่า : “แกอย่าดีใจเร็วเกินไปนักเลย แกทำร้ายพวกเราก็เท่ากับดึงดูดการแก้แค้น ทั้งยังเป็นการแก้แค้นแบบไม่รู้จบด้วย ถ้ำหมาป่าจะต้องมาแก้แค้นให้พวกเราแน่!”
“ถ้ำหมาป่า? มิน่าล่ะถึงรู้สึกว่าพวกแกมันคุ้น ๆ ที่แท้ก็เป็นคนของแก๊งทุ่งหญ้าหมาป่าเองหรอกเหรอ เฮอะ ๆ ชักน่าสนุกแล้วสิ น่าสนุกจริง ๆ! ” หลี่โม่ลูบ ๆ คางตัวเอง นึกย้อนไปถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องในสมองอย่างรวดเร็วราวกระแสไฟฟ้าแล่น
แก๊งทุ่งหญ้าหมาป่าคือองค์กรหนึ่ง หัวหน้าจะถูกเรียกว่า ราชาหมาป่า แต่ราชาหมาป่าที่ว่านั้นลึกลับอย่างมาก ไม่เคยมีใครเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเขาเลย กระทั่งเรื่องที่ว่าเขายังหนุ่มหรือแก่ เป็นชายหรือหญิง ก็ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน
แต่ราชาหมาป่าผู้ลึกลับที่ว่านี้ ใช้เวลาสิบปีกว่าในการเปลี่ยนแก๊งทุ่งหญ้าหมาป่าให้กลายเป็นองค์กรนักฆ่าที่ติดอยู่ใน 50 อันดับแรกขององค์กรนักฆ่าระดับโลก
แม้ว่าการจัดอยู่ใน 50 อันดับแรกอาจดูแล้วไม่ใช่อันดับที่สูงนัก แต่ในบรรดารายชื่อองค์กรนักฆ่าที่มีอยู่นับพันนับหมื่น ก็ถือว่าไม่ใช่อันดับที่ต่ำเช่นกัน
จ้าวหมิงหยางฝืนลุกขึ้นนั่ง เช็ดคราบเลือดบนใบหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรออก
จ้าวหมิงหยางโทรหาพ่อของเขาซึ่งเป็นหัวหน้าผู้อำนวยการกรมตำรวจ หลังจากร้องห่มร้องไห้ฟ้องเกี่ยวกับสถานการณ์อันน่าอนาถของตัวเองเสร็จ ก็กดวางสาย
“พวกแกจงใจทำร้ายคน กระทั่งจงใจฆ่า เตรียมรอรับการลงโทษทางกฎหมายไว้ได้เลย”
“ฮะ ๆ คนจากองค์กรนักฆ่า ยังกล้าพูดเรื่องกฎหมายด้วยเหรอเนี่ย ? นี่พวกแกยังมีกฎเกณฑ์ของนักฆ่าให้ยึดถืออยู่มั้ย ? พวกแกนี่ช่างทำให้ฉันได้เปิดหูเปิดตากับโลกของนักฆ่าจริง ๆ เลยนะเนี่ย!” หลี่โม่พูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ
เฉินเสี่ยวถงดึงมุมเสื้อของหลี่โม่พลางพูดด้วยเสียงต่ำว่า “พ่อของจ้าวหมิงหยางเป็นผู้อำนวยการกรมตำรวจ ครั้งนี้พวกเราแย่แน่ คุณรีบติดต่อใครที่พอมีเส้นสายช่วยไกล่เกลี่ยได้มาเถอะ”
“แค่ตีลูกชายของผู้อำนวยการกระจอกๆ คนนึงเอง ตีแล้วก็ตีไปสิ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกมันมีเจตนาร้ายก่อน”
หลี่โม่ชี้ไปที่บรรดามีดสั้น กริช และอาวุธร้ายแรงอื่น ๆ ที่อยู่บนพื้น ทั้งหมดนี้เป็นต่างก็หลักฐานที่หนักแน่นทั้งสิ้น
“ของพวกนี้เป็นหลักฐานในสายตาของเธอ แต่บางทีพวกเขาอาจกลับดำให้เป็นขาว บอกว่าเป็นอาวุธสังหารที่พวกเธอใช้ก็ได้นะ”
เฉินเสี่ยวถงก็เคยได้ฟังเรื่องทำนองนี้มา รู้อะไรที่เกี่ยวกับการกลับดำให้เป็นขาวอยู่ไม่น้อย
หลี่โม่ส่ายหน้าแต่ไม่พูดอะไร แต่ยิ้มจนตายิบหยี พลางมองไปที่พวกจ้าวหมิงหยางทั้งสี่ที่ตอนนี้แขนขาหักจนหมดสภาพไปแล้ว
“ในเมื่อพวกแกเรียกกำลังเสริมมาแล้ว งั้นเดี๋ยวรอให้กำลังเสริมของพวกแกมาถึง เราค่อยมาพูดถึงเรื่องค่าชดเชยแล้วกัน จะยังไงก็ตาม การไม่โดนพวกแกเอาเปรียบ นั่นแหล่ะคือจุดประสงค์ของฉัน”
จ้าวหยางหมิงโกรธจนแทบอยากกระอักเลือด ถูกคนรังแกจนมีสภาพน่าสมเพชขนาดนี้แล้ว ยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองยอมโดนเอาเปรียบไม่ได้ นี่มันเข้าทำนองให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวชัด ๆ!
……….
รถสายตรวจที่เปิดไฟกะพริบสีแดงน้ำเงินทีมหนึ่ง จอดลงที่นอกอาคารสำนักงานหยุนจงหลันกรุ๊ป สายตรวจที่สวมชุดป้องกันระเบิดแต่งกายเต็มยศก้าวลงจากรถ ในมือถืออาวุธปืนหลากหลายชนิด
“ทีมหนึ่ง ทีมสอง เลือกภูมิประเทศที่เป็นต่อ เหมาะแก่การซุ่มยิง ทีมสาม ทีมสี่ ปิดการจราจร อย่าปล่อยให้ใครหนีไปได้แม้แต่คนเดียว ทีมห้าเข้าใกล้พื้นที่เป้าหมายคอยสังเกตการณ์ให้ดี ระวังอย่าไปกระตุ้นอาชญากรที่อยู่ข้างใน อีกฝ่ายหนึ่งมีตัวประกัน”
พ่อของจ้าวหมิงหยาง ผู้อำนวยการกรมตำรวจแห่งเมืองฮ่านจ้าวหลงปิน ยกคิ้วทรงดาบขึ้นสูง เบิกตากว้างขณะออกคำสั่งคนใต้บังคับบัญชา
ทีมสายตรวจป้องกันระเบิดเริ่มปฏิบัติการทันที ทั้งหมดกระจายกำลังกันออกไปรอบ ๆ พื้นที่ ดำเนินการตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย
ทีมสายตรวจป้องกันระเบิดชั้นแนวหน้า ค้อมตัวย่อลงต่ำ ซอยเท้าสั้น ๆ วิ่งตรงไปทางสำนักงาน
ทีมสายตรวจป้องกันระเบิดใช้ทักษะตามที่ฝึกซ้อมในยามปกติ ค้อมตัวลงจนต่ำ ลอดผ่านเข้าไปทางบานหน้าต่างสำนักงาน จากนั้นก็หมอบลงเอาตัวแนบจนชิดผนัง
“รายงานผู้อำนวยการ ทีมห้าอยู่ในตำแหน่งแล้ว ต่อไปจะทำการติดกล้องบนหมวกเพื่อสังเกตสถานการณ์ภายใน จบการรายงาน”
หลังจากหัวหน้าทีม 5 พูดจบ เขาก็หยิบกล้องออกมาติดตั้งบนเสา connecting link แล้วยืดขึ้นไปอย่างเงียบๆ ดึงกล้องให้ห่างออกจากขอบหน้าต่างเล็กน้อย สถานการณ์ภายในสำนักงาน จะถูกส่งผ่านไปตามสัญญาณของกล้อง แล้วส่งภาพออกไปยังรถผู้บังคับบัญชาที่อยู่ด้านนอกอาคาร