จักรพรรดิมังกร - บทที่ 708 เย่อหยิ่ง
ผู้จัดการห้องอาหารพูดด้วยสีหน้าลำบากใจสุดขีดว่า “พอดีว่าตอนที่เชิญเชฟท่านนั้นมาที่นี่ มีการระบุไว้ในสัญญาว่า ถ้าหากมีสถานการณ์ที่ทำให้เขาไม่พอใจ ก็สามารถหยุดงานได้ หากถูกบังคับให้ทำงานต่อ ไม่เพียงแต่สามารถลาออกได้ทันทีเท่านั้น แต่ทางเรายังต้องจ่ายค่าตอบแทนให้เขาเป็นเงินจำนวนมหาศาลด้วยค่ะ”
เมื่อลูกค้าที่มากินอาหารซึ่งนั่งอยู่รอบ ๆ ได้ยินสิ่งที่ผู้จัดการพูด ต่างก็พากันหัวร้อนยกใหญ่ บ่นว่านี่มันไม่ยุติธรรมแทนพวกหลี่โม่
“ฉันว่านะ นี่คุณจ้างคุณชายนายท่านที่ไหนจากตงหยางมาแล้วล่ะมั้ง? มีที่ไหนจ้างเชฟแบบนี้กันบ้าง? ทำซะอย่างกับพวกเราไม่มีเชฟงั้นแหล่ะ!”
“เฮอะ ๆ วัฒนธรรมอาหารในประเทศของเรามีประวัติศาสตร์อันยาวนาน จะเอามาเทียบกับไอ้พวกนักลอกเลียนแบบนั่นได้ยังไง? ซูชิก็เรียนรู้มาจากข้าวปั้นในอดีตของพวกเรา ส่วนซาซิมิเรียนก็เรียนรู้มาจากปลาดิบที่แล่เป็นแผ่นในอดีตของพวกเรา มาตอนนี้พวกเขาได้ดีก็ลืมตัวกันแล้วงั้นสิ? ”
“บอกให้เชฟชาวตงหยางออกมาขอโทษเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะไปหาเขาที่ครัวด้านหลังแล้วนะ นี่เขาจะรังแกกันเกินไปแล้ว”
หลี่โม่ขมวดคิ้วน้อย ๆ พูดกับผู้จัดการว่า “ถ้าไม่มีเชฟจากตงหยาง ก็กินซาซิมิปลาปักเป้าไม่ได้งั้นเหรอ? นี่มันเป็นเรื่องตลกร้ายอะไรเนี่ย? ซาซิมิปลาปักเป้าของคุณน่าจะต้องมีการแสดงลักษณะพิเศษอะไรซักอย่างด้วยใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ ซาซิมิปลาปักเป้าจะทำโดยเชฟชาวตงหยาง ซึ่งจะมีการแสดงตั้งแต่เชือดปลาจนถึงทำเป็นซาซิมิต่อหน้าลูกค้า เพราะเนื้อปลาปักเป้ามีพิษร้ายแรง ดังนั้นทักษะของเชฟจึงต้องการคนที่ความรู้ความชำนาญสูงมาก ด้วยเหตุนี้พวกเราเองก็จนใจ จึงจำเป็นต้องจ้างเชฟจากตงหยาง”
หลี่โม่ยิ้มพลางพูดว่า “งั้นก็เอาปลาปักเป้ากับมีดมาเถอะ ฉันจะทำซาซิมิปลาปักเป้านี้เอง”
ผู้จัดการร้านถึงกับอึ้งกิมกี่ไปชั่วขณะ หลังจากกลับมามีสติ ก็รีบส่ายหน้าอย่างแรง
“แบบนี้ไม่ได้นะคะ ปลาปักเป้ามีพิษร้ายแรง ไม่ใช่ว่าใครจะสามารถจัดการได้ ถ้าเกิดมีปัญหาที่ลูกค้าถูกพิษปลาปักเป้าขึ้นมา ดิฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอกค่ะ”
ตั้งแต่สมัยโบราณมีคำกล่าวว่า กินปลาปักเป้าเท่ากับเสี่ยงหาที่ตาย เพราะปลาปักเป้ามีสารพิษในอวัยวะภายในและเลือดเป็นจำนวนมาก ถ้าหากล้างอวัยวะภายในหรือเลือดปลาไม่สะอาด เมื่อกินเข้าไปก็มีสิทธิ์ที่จะถูกพิษจนตายได้เลยทีเดียว
“ให้คุณไปเอามา ก็ไปเอามาเถอะน่า คุณรู้ได้ยังไงว่าอาจารย์ของผมทำไม่ได้น่ะ?” คางเหวินซิงจ้องเขม็ง พยายามแสดงท่าทางพร้อมจะคว่ำโต๊ะถ้าไม่ทำตามคำสั่งอย่างเต็มที่
ลูกค้าที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็พากันเอะอะมะเทิ่งขึ้นมาด้วยแล้ว
“เขาให้คุณทำอะไรก็ทำไปเถอะน่า แขกที่โต๊ะนั้นไม่ได้กินอะไรเลย แค่จะฆ่าปลาปักเป้าเพื่อคลายความโกรธ แค่นี้คุณก็ยังทำให้ลูกค้าพอใจไม่ได้อีกเหรอ? ถ้าแค่นี้ยังทำไม่ได้ล่ะก็ ฉันว่าพวกคุณไม่ต้องเปิดร้านทำการค้าขายแล้วล่ะ”
“เรือนจิ่วเถิงขี้ขลาดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? แม้แต่เชฟตงหยางก็ยังกลัว ตอนนี้แขกจะจัดการแก้ไขเอง พวกคุณก็ยังมานั่นไม่ได้นี่ไม่ได้อีกเหรอ ? คุณบอกหน่อยซิ ว่าคุณทำอะไรได้บ้างเนี่ย? หรือไม่ก็ให้เชฟตงหยางนั่นออกมาทำซะ ”
เมื่อเห็นว่าลูกค้าทุกคนต่างก็ไม่พอใจ ผู้จัดการห้องอาหารก็มองหลี่โม่ด้วยสายตาจนใจเต็มที พูดขึ้นว่า: “ปลาปักเป้ามีพิษร้ายแรงมากจริง ๆ นะคะ เราจะทำเป็นเล่น ๆ ไม่ได้ พวกเราไม่สามารถรับผิดชอบหากเกิดปัญหาขึ้นมา”
“คุณไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรหรอก ฉันกินปลาปักเป้าไปไม่รู้กี่ตัวต่อกี่ตัวแล้ว ทั้งหมดก็เป็นฉันเองที่ลงมือทำด้วย คุณรีบไปเตรียมของที่สั่งมาเถอะ” หลี่โม่พูดด้วยสีหน้าหน้านิ่งเรียบ
ลูกค้าที่กินเผือกอยู่รอบ ๆ ต่างส่งเสียงดังอึกทึกขึ้นทุกขณะ ม่านประตูของห้องครัวด้านหลังพลันถูกเปิดออก พ่อครัวตงหยางที่สวมเครื่องแบบเชฟ ก็ผลักรถเข็นออกมาด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง
ผู้จัดการหันไปมองเชฟตงหยางแวบหนึ่ง รู้สึกหัวใจกระตุกไปเล็กน้อย เพราะรู้ว่าอาหารจานนี้จะกลายเป็นอาหารจานเลวร้ายแน่แล้ว จึงรีบวิ่งไปหาเชฟตงหยาง ตั้งใจว่าจะหยุดเชฟตงหยางไว้
แต่เชฟตงหยางกลับผลักผู้จัดการออกไป แล้วเข็นรถเข็นเดินตรงดิ่งไปที่โต๊ะของหลี่โม่อย่างรวดเร็ว
เชฟตงหยางยืดตัวยืนจนเต็มความสูง อกผายไหล่ผึ่ง พูดอย่างเย็นชาว่า: “พวกไม่รู้ความทั้งหลาย ปลาปักเป้าไม่ใช่สิ่งที่ใคร ๆ ก็จะทำได้หรอกนะ แม้แต่ในบ้านเมืองของเราทางนั้น ก็มีเพียงคนที่ผ่านการทดสอบโดยเฉพาะเท่านั้น ที่สามารถทำซาซิมิปลาปักเป้าได้ อีกทั้งคนที่สามารถผ่านการทดสอบได้ ต่างก็ได้ชื่อว่าเป็นเชฟที่ดีที่สุด”
“โย่ว! นายอยากจะพูดอะไรไม่ทราบ ? ถ้าจะพูดถึงเรื่องการกิน พวกเราทิ้งห่างพวกนายไปกว่า 18 ถนนนู้นแหล่ะ ในด้านนี้พวกเราเป็นบรรพบุรุษของนายเลยเหอะจะบอกให้!” คางเหวินซิงพูดอย่างไม่ยอมแพ้
ลูกค้าคนอื่นพากันหัวเราะคิกคัก ต่างก็รู้สึกว่าคำว่าบรรพบุรุษคำนี้ เขาใช้ได้เหมาะสมโดนใจตัวเองสุด ๆ
เชฟตงหยางแค่นยิ้มเย็นชาพลางพูดว่า: “ตอนนี้เราพูดกันเรื่องปลาปักเป้าสินะ ไม่ใช่ว่าพวกนายอยากทำซาซิมิปลาปักเป้าหรอกเหรอ? ของถูกนำมาส่งให้ถึงมือพวกนายแล้ว แต่ฉันอยากเตือนพวกนายไว้หน่อยนะว่า ปลาปักเป้าน่ะมีพิษร้ายแรงมาก ถ้าทำด้วยกรรมวิธีที่ไม่ดี หรือไม่ถูกต้อง มันสามารถฆ่าคนให้ตายได้”
“เชอะ! กินแล้วตายไม่ตาย ก็ไม่ต้องให้นายมาเป็นกังวลหรอกน่า อาจารย์ ของมาถึงแล้ว เริ่มกันเลยดีไหมครับ?” สายตาคางเหวินซิงแอบเหลือบมองปลาปักเป้าที่อยู่ในตู้ปลา รู้สึกหวั่นไหวใจก็พาลเต้นตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ขึ้นมาเล็กน้อย
กู้หยุนหลันพูดด้วยความกังวลใจว่า: “ได้ยินมาว่าปลาปักเป้ามีพิษต่อระบบประสาท ถ้าได้รับพิษเข้าไปจะทำให้ถึงตายได้ในไม่ช้านะ”
เฉินเสี่ยวถงพูดเบา ๆ ว่า “ พี่หลี่โม่น่าจะจัดการได้สินะ? หรือไม่ก็ฆ่าปลาปักเป้าเล่น ๆ ไปแล้วกัน ยังไงก็แค่ปลาธรรมดา ๆ เอง ไม่ได้อร่อยอะไรมากมายนักหรอก”
เชฟตงหยางได้ยินเสียงกระซิบของทั้งสามคน ก็รู้สึกว่าหลี่โม่คงแค่วางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาคนอื่นไปอย่างนั้นเอง แววตาของเขาจึงแสดงความรู้สึกดูถูกดูแคลนยิ่งขึ้นไปอีก
“ฮ่า ๆ ๆ พวกเธอจะรู้ความอร่อยของเนื้อปลาปักเป้าได้ยังไงกัน ? เคยได้ยินเรื่องเล่าที่ว่ากินปลาปักเป้าเท่ากับเสี่ยงตายไหม ? ถ้ากลัวฉันจะได้เข็นปลาปักเป้านี้กลับ นี่เป็นปลาปักเป้าป่าที่หาได้ยากมากเชียวนะ ” เชฟตงหยางพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
“วันนี้ฉันจะช่วยเบิกเนตรให้นายเอง” หลี่โม่ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่รถเข็น ท่าทางเตรียมพร้อมลงมือในแบบที่ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรทั้งสิ้น
เชฟตงหยางปรายตามองหลี่โม่อย่างเย่อหยิ่งแวบหนึ่ง ยืนยิ้มเย็นชาอยู่อีกด้านเงียบ ๆ
หลี่โม่ล้วงมือเข้าไปในตู้ปลา แล้วจับปลาปักเป้าออกมาในรวดเดียว คางเหวินซิงปรบมือพลางโห่ร้องชื่นชม: “เยี่ยม! วิธีการจับปลาของอาจารย์นี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ ดุดันเด็ดขาด แน่วแน่ไร้ความลังเล!”
บรรดาลูกค้าที่กินเผือกอยู่รอบ ๆ ต่างก็ตะโกนร้องชมว่าดี มีคนไม่น้อยที่เปิดโทรศัพท์มือถือในโหมดถ่ายภาพวิดีโอ แล้วส่องมาเพื่อบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้
“ฝีมือการจับปลาของพี่ชายนี่ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย เคยฝึกมาใช่รึเปล่า?”
“ฉันว่าน้องชายคนนี้หน้าตาดูคุ้น ๆ นะ เหมือนจะเคยเห็นเขาจากวิดีโอไหนซักที่ น้องชายเป็นเน็ตไอดอลป่ะเนี่ย ?”
“นี่เป็นฉากศึกหนุ่มหล่อในประเทศของเรา ออกมาท้าสู้กับเชฟชาวตงหยางนะคะ ดิฉันคือจางลี่จื้อผู้ประกาศข่าว ตอนนี้ดิฉันจะถ่ายทอดสดให้ทุกคนได้ชมกันค่ะ ให้ดิฉันได้แสดงให้คุณเห็นหนุ่มหล่อของเราก่อน”
หลี่โม่ปรายตามองฝูงชนที่รายล้อมเข้ามากินเผือกอย่างหมดคำพูด บางคนถ่ายรูปแล้วโพสต์ส่งไปให้เพื่อน ๆ ในกลุ่ม บางคนก็โพสต์เป็นวิดีโอสั้น และบางคนก็ถึงขั้นถ่ายทอดสดกันตรง นั้นเลยก็มี
เมื่อได้ยินว่ามีคนทำการถ่ายทอดสด เชฟตงหยางก็จัดเสื้อผ้าของเขาให้เป็นระเบียบ แล้วเข้ายึดครองพื้นที่หน้ากล้องของผู้ประกาศข่าวจางลี่จื้อ
เชฟตงหยางที่ยืนอยู่หน้ากล้อง พูดอย่างเย็นชาและวางมาดสุด ๆ ว่า: “สิ่งที่เรียกว่าผู้ชายในประเทศของพวกเธอมันก็แค่พวกกาก! วิธีการปรุงอาหารของชาวตงหยางเราไม่ใช่สิ่งที่พวกเธอจะควบคุมและกำหนดได้ตามใจหรอกนะ เชฟและมีดที่พวกเธอแสนจะภาคภูมิใจนักหนาพวกนั้นน่ะ ในสายตาของพวกเรา ก็แค่เสียงผายลมแค่นั้นแหล่ะ!”
ผู้ประกาศข่าวจางลี่จื้อ มองเชฟตงหยางด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว : “นายสิผายลม รีบไปตายให้ไกล ๆ จากหน้ากล้องชั้นเลยนะยะ หน้าตาอย่างกับฟักทองเน่า อย่ามาสร้างมลพิษต่อสภาพแวดล้อมระหว่างการถ่ายทอดสดของชั้นนะ ชั้นจะถ่ายพี่ชายสุดหล่อคนนี้ต่างหาก”
จางลี่จื้อเดินอ้อมเชฟตงหยางไป แล้ววนเข้าไปจนใกล้หลี่โม่พลางส่งยิ้มหวานจ๋อยไปให้ พูดด้วยเสียงที่ดัดจนเหมือนสาวน้อยว่า “พี่ชาย คุณชื่ออะไรเหรอคะ? พวกเรามาเป็นเพื่อนกันได้มั้ย ? เอ๋! ทำไมฉันยิ่งมองพี่ชาย ก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นหน้าแบบนี้นะ?”
เมื่อจ้องมองหลี่โม่อยู่นาน จู่ ๆ จางลี่จื้อก็รู้สึกว่า หลี่โม่ดูเหมือนคนในตำนานคนหนึ่งอย่างมาก