จักรพรรดิมังกร - บทที่ 717 สังเกตลักษณะนิสัย
เมื่อเห็นศพที่นอนระเกะระกะอยู่บนพื้น จมูกก็ได้กลิ่นเลือดที่ลอยคละคลุ้งในอากาศ พี่เสียนก็ตัดสินใจจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ยังไงก็ไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกแล้ว
บนภูเขามีสัตว์ร้ายมากมาย แม้ว่าจะไม่มีเสือ แต่ก็ยังมีหมาป่า พี่เสียนยังเคยกระทั่งได้เจอหมีดำบนภูเขาด้วยซ้ำ เลือดสามารถดึงดูดสัตว์เหล่านี้ได้ ถ้าไม่รีบหนีไปตอนนี้ รอจนพวกสัตว์ร้ายมา ต้องไม่ใช่เรื่องสนุกอย่างแน่นอน
พี่เสียนลุกขึ้นยืน ร่างกายสั่นไหวโอนเอน เกิดอาการเวียนหัวตาลายขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจอย่างรุนแรง ราวกับว่ามันพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
รอยเท้าแห่งความตายค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะ พี่เสียนกระอักเลือดออกมาจนกบปาก จากนั้นก็รู้สึกว่าพลังในร่างค่อย ๆ ถูกควักออกไปจนมันแห้งเหือด
พี่เสียนไม่สามารถยืนขึ้นได้อีกต่อไป ล้มลงกับพื้นดังตึง แล้วตายไปพร้อมกับบรรดาลูกน้องที่นอนเรียงรายอยู่อย่างครบถ้วนไม่มีขาดใครไปซักคน
อากาศที่ปะปนไปด้วยกลิ่นคาวเลือดค่อย ๆ ลอยออกไป ได้ยินเสียงหมาป่าหอนดังมาแต่ไกล
จมูกของหมาป่าในภูเขาได้กลิ่นเหยื่ออันโอชะ ต่างก็มาปรากฏตัวขึ้นอย่างระมัดระวังรอบ ๆ ที่ซ่อนนั้น แล้วค่อย ๆ เดินล้อมรอบศพของพวกพี่เสียนอย่างช้า ๆ
หมาป่าจ่าฝูงพบว่าไม่มีอันตรายอะไร จึงส่งเสียงหอนขึ้นมาเสียงหนึ่ง และแล้วงานเลี้ยงอันแสนโอชะของหมาป่าก็เริ่มต้นขึ้น
ฝูงหมาป่าพุ่งเข้าใส่กองซากศพบนพื้น เป็นภาพที่ดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงดุจนรกเลยทีเดียว
ศพของพี่เสียนกับลูกน้อง ได้กลายเป็นอาหารมื้อพิเศษของพวกฝูงหมาป่าไปโดยปริยาย
…………
เมื่อเห็นกู้หยุนหลันที่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง หลี่โม่ก็อดใจไม่ไหวจนหยิกแก้มใส ๆ ของเธอไปทีนึง สัมผัสที่ละเอียดอ่อนเนียนนุ่มนั้น ทำให้ผู้คนใจสั่นได้เลยทีเดียว
“คิดอะไรอยู่น่ะ? หน้าตาดูประหลาดใจใหญ่เลย หรือว่าถูกความแข็งแกร่งเมื่อกี้ของฉันทำให้ตกตะลึงจนตาค้างไปแล้ว?”
กู้หยุนหลันใจเต้นระรัว ราวกับว่าเธอได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กสาวที่เพิ่งได้พบกับความรักครั้งแรก เธอมองหลี่โม่อย่างเขินอาย แล้วกอดเขาเอาไว้จนแน่น
หลี่โม่เอื้อมมือออกไปโอบเอวคอดกิ่วของกู้หยุนหลัน ทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ พูดคุยหัวเราะเบิกบาน แล้วเดินเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา
แต่เมื่อหลี่โม่พากู้หยุนหลันเดินวนไปจนครบรอบนึง ก็ไม่เห็นยาอายุวัฒนะใด ๆ ในที่สุดภายใต้การกระตุ้นของกู้หยุนหลัน ทั้งคู่ก็ออกไปจากที่นั่น
เมื่อทั้งสองเดินลงไปจนถึงตีนเขา พวกเขาก็เห็นไอ้ลิงที่กำลังร้อนใจซะจนหมุนตัวเป็นวงกลมจากระยะไกล ๆ
หลี่โม่เดินเข้าไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย อยากไปดูว่าไอ้ลิงกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
เมื่อเห็นหลี่โม่เดินเข้ามา ไอ้ลิงก็มองดูหลี่โม่อย่างละเอียดลออ แล้วถอนหายใจยาวเหยียด
“ในที่สุดก็กลับมากันซะที ฉันเป็นห่วงมาตั้งครึ่งค่อนวันแล้วเนี่ย! ถ้านายยังไม่กลับมาอีกล่ะก็ ฉันว่าจะแจ้งความแล้วนะ” ไอ้ลิงพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“นายมารอพวกเราอยู่ตลอดเลยงั้นเหรอ? มีอะไรรึเปล่า?” หลี่โม่รู้สึกไม่เข้าใจหน่อย ๆ ว่าไอ้ลิงคิดจะทำอะไรกันแน่?
ไอ้ลิงเกาหัวแกรก ๆ แล้วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
“ฉันแค่กังวลใจเฉย ๆ แค่นั้นแหล่ะ มีหลายคนในหมู่บ้านเราถูกนายตีจนน่วม พวกนั้นบอกว่าพี่เสียนจะต้องจัดการนายแน่ ฉันเลยคิดว่ายังไงก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตคน จะให้ฉันนั่งมองตาปริบ ๆ ไม่ทำอะไรเลยก็คงจะไม่ได้น่ะ”
ไอ้ลิงเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมในแบบฉบับของชาวบ้านในชนบท แล้วก็มีความเรียบง่ายในแบบฉบับของชาวบ้านในชนบทด้วยเช่นกัน ดังนั้น ก่อนหน้านี้ไอ้ลิงจึงไปแจ้งข่าวให้หลี่โม่ แล้วตอนนี้ก็เลยมารออยู่ที่นี่
หลี่โม่เผยสีหน้าที่แสดงถึงการได้รับความประทับใจขึ้นมาเล็กน้อย ระหว่างคนแปลกหน้าที่ไม่เคยได้รู้จักกันมาก่อน นับว่าเป็นเรื่องยากมากที่จะทำได้ถึงขั้นนี้
“ขอบใจนะ ที่ก่อนหน้านี้ช่วยมาแจ้งข่าวให้เรารู้ แถมตอนนี้ยังมารอพวกเราด้วย”
“แหะ ๆ มันเป็นเรื่องที่สมควรน่ะ พวกนายขึ้นเขาไปตั้งนานคงจะหิวกันแล้วสินะ ? ถ้ายังไงไปกินข้าวที่บ้านฉันกันมั้ย ? วันนี้ที่บ้านทำไก่ฟ้า รสชาตอร่อยสุดยอดเลยล่ะ”
ไอ้ลิงเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น หลังจากครุ่นคิดสักพัก หลี่โม่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำเชิญ
คิดถึงเรื่องที่เมื่อกี้ไอ้ลิงอุตส่าห์ไปแจ้งข่าว ทั้งยังมารอตัวเองจนถึงตอนนี้ หลี่โม่ก็รู้สึกว่าไอ้ลิงเป็นคนที่นิสัยนับว่าไม่เลวคนหนึ่ง และคนดีก็ควรได้รับรางวัลเสมอ
ดังนั้นหลี่โม่จึงตัดสินใจไปกินข้าวที่บ้านของไอ้ลิง แล้วรวดทำการสังเกตนิสัยใจคอของไอ้ลิงไปด้วยในตัว
ถ้าลักษณะนิสัยใจคอของไอ้ลิงดูแล้วไม่เลวจริง ๆ หลี่โม่ก็ตั้งใจว่าจะแบ่งปันสัดส่วนของยาจำนวนหนึ่งที่บริษัทหยุนหลันกรุ๊ปซื้อให้ไอ้ลิงไปรับผิดชอบ ก็ถือซะว่าเป็นการตอบแทนความดีให้เขาเล็ก ๆ น้อย ๆ
“ได้สิ งั้นไปกินข้าวที่บ้านนายละกัน แต่ฉันยังมีเพื่อนอีกสองคนที่น่าจะยังอยู่ในหมู่บ้านนะ เดี๋ยวรอให้ฉันโทรหาพวกเขาก่อนละกัน”
หลี่โม่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาเฉินเสี่ยวถง อธิบายถึงสถานที่อย่างชัดเจน แล้วให้เฉินเสี่ยวถงกับคางเหวินซิงรีบมา
หลังจากนั้นไม่นาน เฉินเสี่ยวถงกับคางเหวินซิงที่โกรธจนเดือดปุด ๆ ก็มาสมทบกับหลี่โม่
“พี่หลี่โม่! ทำไมเมื่อกี้พี่ถึงได้เดินซะเร็วขนาดนั้นล่ะ? ไม่ยอมรอพวกเราเลย ทำให้พวกเราเผลอคิดว่าพี่กับพี่หยุนหลันหลงทางไปแล้วซะอีก”
หลี่โม่จิ้มแก้มที่พองลมของเฉินเสี่ยวถง จิ้มจนลมในปากของเฉินเสี่ยวถงรั่วออกมาเลยทีเดียว
“ฮะ ๆ พวกเราขึ้นไปบนภูเขาน่ะ ไม่อยากพาก้างขวางคออย่างเธอไปด้วย เธอกับเหวินซิงไปเดินเที่ยวกันเป็นยังไงบ้างล่ะ? ” หลี่โม่ถามพลางหัวเราะฮะๆ
“อย่าให้พูดเลย! อีตาคนนี้น่ะขี้เกียจอย่างกับหมู แค่ไปหาร้านน้ำชาแล้วนั่งรอ จากนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อนอีกเลย ฉันก็อยากขึ้นไปบนภูเขาบ้างเหมือนกันนะ! คราวหน้าพี่ต้องพาฉันไปด้วยล่ะ!”
เฉินเสี่ยวถงดึงมือดึงแขนหลี่โม่ พลางแสดงท่าทางออดอ้อนอย่างน่ารักน่าชัง ทำเอาหลี่โม่ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเลยทีเดียว
“เอาเถอะ คราวหน้าฉันจะพาเธอไปด้วยแน่นอน พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ ไอ้ลิงรีบนำทางไปเร็วเข้า” หลี่โม่ไม่สามารถทนการออดอ้อนอย่างน่ารักน่าชังของเฉินเสี่ยวถงได้ ด้วยเหตุนี้ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว
ไอ้ลิงมองดูหลี่โม่อย่างนึกอิจฉา แล้วนำทางหลี่โม่กับกู้หยุนหลันไปที่ลานบ้านขนาดเล็กของเขา
ลานบ้านของไอ้ลิงนั้นเก่ามาก ตัวบ้านก็เป็นบ้านอิฐรูปแบบเก่าแก่ของศตวรรษที่แล้ว ทั้งยังเป็นบ้านอิฐที่มีแค่ชั้นเดียวอีกด้วย
ภรรยาของไอ้ลิงก็เป็นผู้หญิงร่างกายผอมบาง แต่เธอกลับดูเหมาะสมกับไอ้ลิงอย่างมาก
“นี่คือภรรยาของฉันเอง ชื่อซานฮัว ซานฮัว รีบไปยกอาหารออกมาเถอะ” ไอ้ลิงเงยหน้าพลางตะโกนใส่ภรรยาเสียงดังอื้ออึง
ซานฮัวตอบรับเสียงหนึ่ง แอบมองพวกหลี่โม่อย่างเขินอาย หันหลังเข้าครัวไปยกอาหารออกมา
ไก่ฟ้าตุ๋นกาละมังใหญ่ ใส่ทั้งมันฝรั่ง หัวไชเท้า และผักป่า ดูเป็นของกินเรียบง่ายไม่โอ้อวด
ข้าวต้มที่เคี่ยวจนข้น ซาลาเปาที่นึ่งจนสีออกเหลืองเล็กน้อย และผักดองหนึ่งจาน เป็นมื้อที่เต็มไปด้วยรสชาติและกลิ่นอายแบบชนบท
ไอ้ลิงเกาหัวแก้เขินแล้วพูดว่า “แหะ ๆ มีแต่อาหารพื้นๆ แบบชนบททั้งนั้น คงสู้อาหารเลิศรสแบบในเมืองของพวกนายไม่ได้ ทุกคนไม่รังเกียจก็พอแล้ว ฉันขอไปป้อนข้าวให้แม่ก่อนนะ”
ซานฮัวดึงมือไอ้ลิงไว้แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “พี่กินกับพวกแขกเถอะ เดี๋ยวฉันไปป้อนข้าวให้แม่เอง”
“อารมณ์ร้าย ๆ ของแม่ฉันเธอเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ เธอนั่งลงกินข้าวไปเถอะน่า” ไอ้ลิงกดตัวภรรยาลงนั่งบนเก้าอี้ แล้วเดินไปที่ห้องครัวยกข้าวมาชามหนึ่ง ค่อยเดินเข้าไปในตัวบ้าน
หลี่โม่ถามด้วยความสงสัย “แม่ของไอ้ลิงเป็นอะไรไปเหรอ?”
“เอ่อ… แม่ของไอ้ลิงเป็นอัมพาตมาหลายปีแล้วล่ะ หลังเป็นอัมพาต แม่สามีของฉันก็กลายเป็นคนนิสัยแปลก ๆ ไป เวลากินข้าวก็ต้องให้ไอ้ลิงเป็นคนป้อนทุกมื้อ
ถ้าฉันเป็นคนไปป้อน แม่สามีฉันจะอารมณ์เสียทันที จะก่นด่าสาปแช่ง ทั้งโยนจานชามทิ้งหมด หลายปีมานี้เลยเป็นไอ้ลิงที่คอยดูแลเรื่องนี้มาโดยตลอด” ซานฮัวพูดจบก็ถอนหายใจ แม่สามีที่เป็นแบบนี้ ช่างเป็นอะไรที่สร้างความลำบากใจให้ลูกสะใภ้จริง ๆ
หลี่โม่พยักหน้าน้อย ๆ คิดว่าไอ้ลิงก็เป็นคนที่ทำตัวนอกกรอบคนหนึ่ง แต่อย่างน้อยเขาก็มีความกตัญญูมากพอ ปฏิบัติตัวกับคนอื่นได้จริงใจในระดับหนึ่ง
ไม่มีลูกอกตัญญูที่ไหน ที่อดทนอยู่หน้าเตียงคนป่วยเพื่อดูแลแม่ที่เป็นอัมพาตได้นานขนาดนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยกย่องอย่างยิ่ง มีเด็กหนุ่มสาวไม่กี่คนหรอกที่ทำได้ถึงขั้นนี้
ผ่านไปซักพัก ไอ้ลิงก็กลับมาพร้อมกับชามข้าวเปล่า ๆ แล้วพูดอย่างร่าเริงว่า “ฉันป้อนข้าวแม่เสร็จแล้ว พอได้ยินว่ามีแขกมา แม่ของฉันก็ดีใจใหญ่เลย ถึงกับกินข้าวได้มากกว่าปกติหน่อยนึงเลยด้วยล่ะ”
ขณะที่ไอ้ลิงกำลังพูดอยู่ ประตูลานบ้านก็ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เป็นเพราะมีคนผลักประตูให้เปิดออกจากด้านนอก