จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 10 โจวจิ้ง
บทที่ 10 โจวจิ้ง
“หลินหยุน นายรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? เขาคือท่านรองจินเชียวนะ!” โจวเถียนเถียนชี้ไปที่หลินหยุนอย่างโกรธ ๆ
“นาย นายไม่เพียงแค่ปฏิเสธคำเชิญของท่านรองจิน แต่ยังกล้าไล่เขาไปอีกด้วย! ถ้าตระกูลจินกล่าวโทษขึ้นมา นายรับไหวหรือไง!”
หลินหยุนเบนสายตาไปที่โจวเถียนเถียนอย่างไม่สบอารมณ์ สำหรับความคิดของโจวเถียนเถียน หลินหยุนรู้ดียิ่งเสียกว่าอะไร
พ่อของโจวเถียนเถียน โจวฝูเป็นลูกพี่ในตระกูลโจว แต่กลับไม่มีผลงานโดดเด่นอะไร เขาทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ใช้ชีวิตแบบพอไปได้
ลูกชายคนที่สองของตระกูลโจว โจวเฟิน แต่งงานกับเซี่ยเจียงกัว
สมาชิกคนที่สามของตระกูลโจวก็คือโจวจิ้ง ได้ยินมาว่าหลังจากเรียนจบเขาก็เข้าทำงานกับบริษัทชิรงกรุ๊ป เงินเดือนปีละหลายแสน
บริษัทชิรงกรุ๊ปเป็นองค์กรชั้นนำในหลินโจว สวัสดิการก็ดีอย่างยิ่ง ใคร ๆ ก็อยากจะเข้าไป
ตระกูลโจวภูมิใจในตัวโจวจิ้งมาโดยตลอดที่สามารถเข้าไปทำงานในบริษัทชิรงกรุ๊ปได้ ญาติมิตรล้วนมักจะประจบประแจงโจวจิ้ง จนพี่ใหญ่อย่างโจวฝูรู้สึกอิจฉา
โจวฟู่อยากเข้าทำงานในบริษัทชิรงกรุ๊ปมาโดยตลอดแต่ไม่เคยทำสำเร็จ และค่อยๆ กลายเป็นความเสียใจของโจวฝู
โจวเถียนเถียนเองก็ได้รับอิทธิพจากของพ่อของเธอตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเมื่อเห็นว่าพ่อบ้านจินตั้งใจจะเอาใจหลินหยุน เธอก็คิดจะใช้โอกาสนี้สร้างความสัมพันธ์ทันที
แต่ที่เธอไม่คาดคิดก็คือ หลินหยุนกล้าขนาดไปทำให้ท่านรองจินขุ่นเคือง!
โอกาสสุดจะหายากที่อยู่ตรงหน้าของเธอถูกหลินหยุนทำลายลง โจวเถียนเถียนจะไม่โกรธได้อย่างไร?
“นายรีบไปขอโทษท่านรองจินเดี๋ยวนี้ ขอให้เขายกโทษให้นาย!” โจวเถียนเถียนยังหวังว่าจะสามารถกอบกู้โอกาสกลับมาได้
หลินหยุนเอ่ยเสียงเรียบ “ให้ฉันไปขอโทษเขา เขายังไม่คู่ควร! ”
พูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่ท้องฟ้าสีคราม น้ำเสียงของเขาเฉยเมยหนักแน่น “ไม่ว่าเขาจะเป็นใครถ้าฉันไม่อยากเจอ ก็จะไม่เจอ!”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่” หลินหยุนมองไปที่โจวเถียนเถียนอย่างนิ่งๆ จู่ๆ โจวเถียนเถียนก็รู้สึกว่าความลับทั้งหมดของตนถูกเขามองออกจนทะลุปรุโปร่ง
“นาย โมโหจะตายแล้ว ฉันจะฟ้องพี่สาว! นายรอดูเถอะ!”
โจวเถียนเถียนเองก็โกรธจนเลอะเลือนไปแล้ว และยังคงเอ่ยโทษทั้งหมดไปที่หลินหยุนก่อน โดนไม่ทันได้คิดเรื่องที่ว่าแม้กระทั่งพ่อบ้านจินยังต้องมาเอาใจหลินหยุน
แม้ว่าแม่บ้านจินจะจากไปแล้ว แต่จางจื่อเห้าก็ไม่มีหน้าจะอยู่ต่อ เขาจ้องหลินหยุนอย่างเย็นชา สีหน้าเคร่งเครียด “แก รอดูเถอะ!”
พูดจบ เขาก็พาหยางหัวและนักเรียนคนอื่น ๆ จากไป
ในนั้นมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกอันซินขึ้นมา “อันซิน ไปกันเถอะ! ” ย่
อันซินกำลังมองไปที่หลินหยุน ดวงตามีทั้งความตื่นเต้น ประหลาดใจ ราวกับเพิ่งได้รู้จักหลินหยุนเป็นครั้งแรกอีกครั้ง
อีกทั้งเธอยังรู้สึกว่าหลินหยุนตอนนี้ คือคนที่เธอปรารถนาที่จะเห็นเป็นที่สุด
“พี่หลินหยุน เสี่ยวจวนเรียกฉันแล้ว ฉันกลับก่อนล่ะ! ”
หลินหยุนจำได้ว่าบ้านของอันซินกำลังจะมีปัญหา เขาเอ่ยกำชับ “จำหมายเลขโทรศัพท์มือถือของฉันไว้ให้ดี ถ้าเจอเรื่องอะไรจัดการไม่ได้จะต้องโทรหาฉัน!”
“อืม ฉันจำได้แล้ว!” อันซินยิ้มและจากไปอย่างมีความสุข
โจวเถียนเถียนวิ่งไปหาเซี่ยหยู่เวย และทำให้การสนทนาของเว่ยเทียนหมิงกับเธอหยุดลง
โจวเถียนเถียนด้านหนึ่งพูดไป อีกด้านหนึ่งก็มองไปที่หลินหยุนอย่างไม่พอใจ น่าจะกำลังฟ้องเรื่องของเขาอยู่
เซี่ยหยู่เวยเองก็สังเกตเห็นว่าหลินหยุนกำลังมองมาที่เธอ ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ เธอก็หน้าแดงด้วยความอับอาย
เว่ยเทียนหมิงเหลือบมองไปที่หลินหยุนจากระยะไกลด้วยสายตาที่ดูถูก
ทั้งสองคนเอ่ยพูดอีกสองสามคำ อาจเป็นเพราะรู้สึกว่าการพูดคุยต่อหน้าหลินหยุนดูไม่เหมาะสมอยู่บ้าง เว่ยเทียนหมิงจึงจากไป
หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายไป โจวเถียนเถียนก็ไร้กะจิตกะใจจะอยู่เล่นต่อ และดึงเซี่ยหยู่เวยออกไป
หลินหยุนยังคงตามไปอยู่เบื้องหลัง สีหน้าดูไม่แยแส ไม่มีท่าทีโมโหหรือดีใจใดๆ
เมื่อทั้งสามกลับไปที่บ้านตระกูลเซี่ย โจวเถียนเถียนก็เริ่มฟ้องโจวเฟินถึงการกระทำที่ชั่วร้ายของหลินหยุน
เซี่ยเจี้ยนโก๋เมื่อรู้ว่าหลินหยุนถึงกับทำให้พ่อบ้านจินขุ่นเคือง เขาก็โมโหจนโยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะกาแฟและชี้นิ้วไปที่หลินหยุนอย่างสั่นเทา
“แก แก แกช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง แม้กระทั่งท่านรองจินยังกล้าไปหาเรื่อง! ถ้าตระกูลเซี่ยของฉันถูกตระกูลจินแก้แค้น ฉันจะหักขาแกและโยนมันไปให้ตระกูลจิน!”
โจวเฟินถลึงตาใส่เซี่ยเจี้ยนโก๋และอุทานขึ้น “เซี่ยเจี้ยนโก๋ นี่คุณกำลังพูดไร้สาระอะไร? จะรับไม่รับคำเชิญของท่านรองจินถือเป็นสิทธิ์ของหลินหยุน เรื่องนี้ไม่ว่าจะพูดยังไงก็เป็นหลินหยุนที่มีเหตุผล! ”
“ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลจินเองก็ยังไม่ทันได้พูดอะไรเลยไม่ใช่หรือ? คุณกลับพูดจาทำร้ายคนแบบนี้ออกมาก่อนแล้ว!”
โจวเฟินเข้าไปจับมือหลินหยุนและปลอบโยนเขา “เสี่ยวหยุนอย่าไปสนใจตาแก่น่าโมโหนี่ เกิดเรื่องขึ้นแม่จะเป็นคนจัดการให้เอง!”
โจวเถียนเถียนกัดฟัน ป้าของเธอปกป้องหลินหยุนมากเกินไปแล้ว
เซี่ยเจี้ยนโก๋จ้องมองโจวเฟินด้วยความโกรธ “คุณปกป้องเขาไปเถอะ เขาเองไม่รู้จักคิดเสียบ้าง ว่าตระกูลจินสามารถไปทำให้ขุ่นเคืองได้หรือไง?”
“ยิ่งไปกว่านั้น โอกาสดีๆ ที่จะได้ผูกมิตรกับตระกูลจินแบบนี้กลับต้องสูญเปล่าไปกับเพราะไอ้เด็กเวรนี่! คุณรู้ไหมว่ามีกี่คนที่ใฝ่ฝันจะเข้าไปเกี่ยวพันกับตระกูลจิน?”
“แก แก….ทำให้ฉันโมโหจะบ้าตาย!” เซี่ยเจี้ยนโก๋เดินตรงกลับไปที่ห้องของเขาทันที
เซี่ยหยู่เวยทำแค่เพียงมองไปที่หลินหยุนอย่างเย็นชาและไม่ได้พูดอะไร เมื่อเช้านี้แม้กระทั่งจินซื่อหรงหลินหยุนยังไม่ไว้หน้าด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับพ่อบ้านคนหนึ่ง?
“ไอ้ขี้แพ้ทำเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสักนิด ถ้าเขามีสมองสักหน่อยก็คงจะไม่ตกต่ำจนมาถึงจุดที่เขาเป็นอยู่ในวันนี้ได้หรอก”
“เถียนเถียน มานี่ เรื่องนี้ให้พ่อแม่ฉันจัดการเถอะ!” เซี่ยหยู่เวยตะโกนเรียกโจวเถียนเถียน
แม้ว่าโจวเถียนเถียนจะไม่เต็มใจ แต่ผู้อาวุโสอยู่ตรงหน้า เธอเองก็รู้ว่าตนไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ดังนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องกับเซี่ยหยู่เวย
โจวเฟินปลอบหลินหยุน “เสี่ยวหยุน ไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรหรอก แม้ว่าตระกูลจินจะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผล มีแม่อยู่ ลูกวางใจได้”
“อืม ผมไม่กังวล น้าเฟินก็อย่ากังวลไป ต่อให้ผมไปทำให้ตระกูลจินขุ่นเคือง พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรผม” หลินหยุนกล่าวด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ
โจวเฟินขมวดคิ้ว เธอรู้สึกว่าจู่ๆ หลินหยุนก็เปลี่ยนเป็นเย่อหยิ่งขึ้นมา? แต่ว่าเมื่อเทียบกับนิสัยโดดเดี่ยวดูถูกตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้ก็ดีกว่ามาก
โจวเฟินคิดแทนหลินหยุนจากใจจริง
“อย่างนั้นก็ดี” โจวเฟินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ลูกกลับไปที่ห้องว่างเพื่อพักผ่อนเถอะ ตอนเย็นยังต้องไปงานเลี้ยงของคุณลุงอีก”
“อืม”
หลินหยุนไปที่ห้องอีกห้อง เและยกห้องนอนของเขากับเซี่ยหยู่เวยให้โจวเถียนเถียนแทน
เวลา 17.00 น. เซี่ยเจี้ยนโก๋ขับรถพาครอบครัวไปที่ร้านไห่หลาน
ร้านไห่หลานเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในหลินโจว เพื่อโอ้อวดโจวจิ้งก็ถือว่ายอมเข้าเนื้อไปไม่น้อย
เวลา 17:40 เซี่ยเจี้ยนโก๋จอดรถภายใต้คำแนะนำของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จากนั้นจึงโทรหาโจวจิ้ง
“ฉันอยู่ที่ร้านไห่หลานแล้ว นายอยู่ไหน?”
ในสายมีน้ำเสียงเหลาะแหละของชายคนหนึ่งดังขึ้น “พี่เขย ตรงมาที่ห้องหลงเฟิ่งเลย!”
เซี่ยเจี้ยนโก๋เองก็เคยมาครั้งหนึ่ง แต่นั่นเป็นคนอื่นเชิญเขามา ตัวเขาเองตัดใจมาไม่ลง
เมื่อมาถึงห้องหลงเฟิ่ง เขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มทันที “มาตรฐานสูงสุดของร้านไห่หลานก็คือห้องหลงเฟิ่ง เห็นทีครั้งนี้โจวจิ้งคงมีเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งแล้วจริงๆ”
ภายใต้การแนะนำของบริกร เซี่ยเจี้ยนโก๋และครอบครัวก็มาถึงห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดตรงหัวมุม ที่ประตูประดับด้วยมังกรทองและนกฟีนิกซ์แกะสลักอยู่ตระหง่าน
ภายในห้องมีโต๊ะกลมที่จุได้ถึง 20 คน และมีคนนั้งอยู่รอบๆ แล้วไม่น้อย
หลินหยุนรู้จักทั้งหมด มีลุงใหญ่โจวฝู ภรรยาลุงใหญ่ ลุงเล็กโจวจิ้งที่กำลังยืนขึ้นเพื่อทักทายเซี่ยเจี้ยนโก๋ ส่วนภรรยาลุงเล็กก็กำลังนั่งยิ้มกับภรรยาลุงใหญ่อวดอะไรสักอย่างอยู่
นอกจากนี้ยังมีเพื่อนสนิทของของโจวจิ้งและญาติ ๆ ของภรรยาลุงเล็กนั่งอยู่
หลังจากทักทายกันสักพักผู้ คนก็มาถึงกันเกือบหมดแล้ว และเริ่มจับจองที่นั่ง
อย่างไรก็ตาม เรื่องจากครั้งนี้โจวจิ้งอยากจะโอ้อวด และเรียกคนมามากมาย อีกทั้งยังมีเด็กเล็กไม่น้อยจนที่นั่งถูกจองแน่นแต่เมื่อจัดเรียงดีๆ อีกครั้งก็ยังพอนั่งได้
โจวจิ้งเป็นเจ้าภาพดังนั้นเขาจึงเป็นผู้จัดหาที่นั่ง
แต่เมื่อโจวจิ้งจัดแจงที่นั่งให้ทุกคนแม้กระทั่งเด็ก ๆ ก็พากันนั่งเสร็จ กลับเหลือแต่หลินหยุนที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวในห้อง