จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 104 ได้เจออีหลิงโดยบังเอิญ
บทที่ 104 ได้เจออีหลิงโดยบังเอิญ
หลังการเกิดใหม่ หลินหยุนได้ยินเรื่องเล่าลือของเครื่องรางไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง
แต่ถึงอย่างนั้น กลับไม่เคยได้เห็นมันแม้แต่ครั้งเดียว
ครั้งที่แล้วถูกเฉียนหัวชิงเชิญให้ไปช่วยประเมินอายุวัตถุโบราณของเจี่ยงสง เดิมคิดว่าอาจจะมีเครื่องราง แต่สุดท้ายก็เป็นแค่มุกควบคุมศพเม็ดหนึ่งเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเครื่องรางที่หยุนเยว่พูดในครั้งนี้ จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ หลินหยุนก็ต้องลองไปดูสักหน่อย
“ส่งที่อยู่มาให้ฉันแล้วกัน!” หลินหยุนกล่าว
“รับทราบ!” น้ำเสียงของหยุนเยว่ที่ดังผ่านทางโทรศัพท์มานั้น ฟังดูตื่นเต้นยินดีมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว
หลินหยุนกลับไปที่ตึกว่างเยว่ การไปตระกูลฉินครั้งนี้ก็ไม่เชิงว่าขาดทุนอะไร อย่างน้อยหลินหยุนก็ได้เจอหยกคุณภาพไม่เลวนักจำนวนหนึ่ง
หยกเหล่านี้มีพลังแห่งสวรรค์และพื้นพิภพ หลอมรวมกลมกลืนอุดมสมบูรณ์ สามารถนำมาใช้ในการสร้างค่ายกลแห่งเวทย์ ทั้งสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างได้โดยตรงอีกด้วย
แต่หลินหยุนมีหยกเหล่านี้ในครอบครองน้อยเกินไป จึงไม่อาจใช้วิธีสุรุ่ยสุร่าย อย่างการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายโดยตรงได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการใช้หยกเหล่านี้ ก็คือการนำไปสร้างค่ายกลหรือสร้างเป็นเครื่องราง
หลินหยุนจึงใช้หยกเหล่านี้ สร้างค่ายกลรวมพลังขนาดเล็กไว้รอบ ๆ ที่พัก
หลังสร้างค่ายกลเสร็จ พลังชี่ทิพย์จากสวรรค์และพิภพ ก็หลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว บริเวณรอบที่พักภายในระยะหนึ่งร้อยเมตร ล้วนอบอวลไปด้วยพลังชี่ทิพย์จากสวรรค์และพิภพกรุ่นกระจายเข้มข้นกว่าที่อื่นมาก
ด้วยวิธีนี้ เมื่อหลินหยุนจะบำเพ็ญวิชาในภายหน้า มันจะส่งผลลัพธ์เป็นสองเท่า โดยใช้ความพยายามเพียงแค่ครึ่งเดียว
น่าเสียดายที่ค่ายกลรวมพลังขนาดเล็กนี้ เป็นพลังที่ใช้แล้วหมดไปในครั้งเดียว เมื่อพลังที่อยู่ในหยกหมดลงแล้ว ค่ายกลนั้นก็จะหมดอิทธิฤทธิ์ตามไปด้วย
หากเขาสามารถหาหินห้าธาตุ รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ เจอ เขาก็จะสามารถวางค่ายกลรวมพลังห้าธาตุพรสวรรค์ได้
ค่ายกลพรสวรรค์ประเภทนี้ จะสามารถดูดซับพลังทิพย์จากฟ้าดินได้โดยอัตโนมัติ รักษาการหมุนเวียนของพลังงานที่ใช้ก่อให้เกิดการทำงานของค่ายกล จึงไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่า หากพลังงานของหยกหมดลง การทำงานของค่ายกลจะล้มเหลวเสื่อมสภาพไป
แต่พลังชี่ทิพย์ของโลกนั้นแห้งแล้งอย่างมาก อีกทั้งหินห้าธาตุที่ใช้ในโลกเซียนก็หายากมากเช่นกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นสถานการณ์ที่เรียกได้ว่า ร่ำร้องครวญหาอยากได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่อาจหามาครอบครองได้ดั่งใจหวังนั่นเอง
แม้ว่าหลินหยุนจะสูญเสียพลังที่เฝ้าบำเพ็ญเพียรทั้งหมดไป แต่ในใจเขาก็ยังไม่ยอมล้มเลิก เขารีบปล่อยวางความคิดที่ว้าวุ่นทิ้งไป แล้วทุ่มเทอุทิศตนให้กับการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินหยุนปฏิเสธคนที่หยุนเยว่แสดงน้ำใจไมตรี ด้วยการส่งให้มารับเขาถึงที่ แล้วเรียกรถไปเอง โดยยึดตามโลเคชั่นที่หยุนเยว่ส่งมาให้
โรงแรมว่างเป่า หนึ่งในโรงแรมที่ยิ่งใหญ่หรูหราที่สุดในหลินโจว
ได้ยินมาว่าการประมูลการกุศลครั้งนี้ จัดขึ้นโดยคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งในมณฑลหลิงหนาน ทั้งยังมีการเชิญดาราดังให้มาร่วมงานด้วย
เนื่องจากเป็นงานที่จัดขึ้นโดยคนใหญ่คนโต เงื่อนไขข้อบังคับของการประมูลเพื่อการกุศลครั้งนี้จึงค่อนข้างสูงตามไปด้วยเป็นธรรมดา หรือพูดอีกอย่างก็คือ คนที่อยากเข้าร่วมจะต้องมีเงินมากพอ
ณชั้นสามของโรงแรมว่างเป่า สถานที่จัดงานประมูล
ชายหนุ่มหญิงสาวที่รูปร่างหน้าตาโดดเด่นสามสี่คน พากันเดินเข้ามา
หวางเสี่ยวซีอุทานเสียงดังอย่างตื่นตะลึง “กฎการเข้าร่วมงานนี้สูงน่าดูเลยนะ แม้แต่แก้วไวน์ก็ยังทำจากเงินแท้เลยด้วย! นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นงานประมูลระดับสูงขนาดนี้เลยนะเนี่ย!”
แม้ว่าครอบครัวของหวางเสี่ยวซี จะไม่นับว่าเป็นคนรวย แต่ภูมิหลังครอบครัวของจ้าวกางในหลินโจวก็นับว่าไม่เลว ปกติก็มีโอกาสพาหวางเสี่ยวซีไปเข้าร่วมการประมูล รวมถึงงานเลี้ยงต่างๆอยู่ไม่น้อย
สามารถจินตนาการได้ว่า การประมูลที่สามารถสร้างความประหลาดใจให้กับหวังเสี่ยวซี ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ได้มากขนาดนี้ จะเป็นงานที่หรูหรามีระดับขนาดไหน
“อย่าพูดแค่ว่าเธอเลย กระทั่งฉันก็ยังเพิ่งได้เข้าร่วมเป็นครั้งแรกเหมือนกันนั่นแหละ คิดว่าคนที่มาร่วมงานที่นี่วันนี้ จะต้องเป็นพวกคนใหญ่คนโต กับพวกไฮโซอันดับต้น ๆ ของหลินโจวแน่ๆ!” จ้าวกางก็แสดงอาการตื่นตะลึงออกมาไม่แพ้กัน
แม้ว่าสีหน้าของเซี่ยหยู่เวยจะไม่เปลี่ยน แต่เธอกลับตกตะลึงยิ่งกว่าใครทั้งหมด แต่ไหนแต่ไรมา เธอไม่เคยเห็นงานเลี้ยงที่หรูหราใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารทั้งหมดเป็นเงินแท้ มีกลิ่นอายของความเป็นผู้ดีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ราวกับว่าเธอมาร่วมงานเลี้ยงรับรองส่วนตัวของพวกราชวงศ์ในสมัยโบราณก็ไม่ปาน
หลี่เหยนพูดขึ้นว่า “ถ้านายรู้ว่าใครเป็นผู้จัดงานประมูลครั้งนี้ล่ะก็ นายจะไม่แปลกใจหรอก!”
“โอ๋! เป็นใครงั้นเหรอ” จ้าวกางเอ่ยถามอย่างสงสัย
เว่ยเทียนหมิงเองก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลี่เหยน เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็สงสัย ว่าผู้อยู่เบื้องหลังงานประมูลที่มีมาตรฐานสูงขนาดนี้คือใครกันแน่?
“เป็นควีนจิน!” หลังจากพูดสามคำนี้ออกไป สีหน้าของหลี่เหยนก็เผยแววเคารพเทิดทูนออกมาวูบหนึ่ง เป็นท่าทางที่เหมือนกับคนธรรมดาสามัญชน ยามที่เอ่ยถึงพระนามของฮ่องเต้ก็ไม่ปาน
“ควีนจิน!” จ้าวกางร้องอุทานขึ้นมาเสียงหนึ่ง จากนั้นก็รีบปิดปากตัวเอง หันมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อพบว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเขา จึงค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก
“มิน่าล่ะ การประมูลครั้งนี้ถึงได้มาตรฐานสูงขนาดนี้ ถ้าเป็นควีนจินก็คงไม่น่าแปลกใจจริง ๆ นั่นแหละ” จ้าวกางพูดอย่างปลงๆ
เซี่ยหยู่เวยรู้สึกงงงวยเล็กน้อย ด้วยฐานะของเธอนั้น ย่อมไม่มีทางได้เข้าใกล้หรือมีโอกาสได้ไปใกล้ชิดกับบุคคลระดับควีนจินอยู่แล้ว
“ควีนจินคือใครเหรอ?” เซี่ยหยู่เวยถามขึ้นอย่างสงสัย
เว่ยเทียนหมิงหันไปมองเธอ หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วอธิบายว่า “เธอคิดว่าเจี่ยงสงร้ายกาจไหมล่ะ?”
เซี่ยหยู่เวยพยักหน้า “ขาใหญ่ประจำหลินโจว แน่นอนว่าต้องร้ายกาจมากอยู่แล้ว!”
เว่ยเทียนหมิงพูดต่อไปว่า “เจี่ยงสงเป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่ง จากในจำนวนสิบสองคนที่ทำงานรับใช้ควีนจิน เหนือขึ้นไปยังมีจินไซทั้งหก ซึ่งแต่ละคนมีสถานะสูงกว่าเจี่ยงสงขึ้นไปอีกไกลโขเลยล่ะ”
“อะไรนะ!” เซี่ยหยู่เวยตะลึงจนตาค้างไปชั่วขณะ เธอรู้ว่ามีคนที่มีฝีมือเก่งกาจยิ่งกว่าเจี่ยงสง แต่เธอก็รู้สึกว่าต่อให้เป็นคนที่เก่งกาจแค่ไหน ก็คงจะเก่งไปกว่าเจี่ยงสงแค่เล็กน้อยก็เท่านั้น
เหมือนกบตัวหนึ่งที่ได้แต่นั่งมองท้องฟ้าจากในบ่อน้ำ มองเห็นท้องฟ้าที่ใหญ่แค่เท่าปากบ่อ ก็คิดไปว่าตัวเองใหญ่พอๆกับท้องฟ้า ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวเองอีกแล้ว
ครั้งนี้มีเพียงพวกเขาห้าคน อีหลิงไม่ได้มากับพวกเขาด้วย
“พวกเราลองไปดูรอบ ๆ กันก่อนเถอะ ได้ยินมาว่าในงานประมูลครั้งนี้มีสมบัติล้ำค่ามาประมูลด้วย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเครื่องรางก็ได้!” ข้อมูลที่หลี่เหยนได้รับมา เป็นอะไรที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก
“เครื่องรางงั้นเหรอ! มีตำนานเล่าว่า มันเป็นของที่มีพลังวิญญาณ แต่น่าเสียดายที่สมบัติล้ำค่าประเภทนี้ มักจะขายออกไปในราคาสูงลิบลิ่ว พวกเราทำได้แต่มองดูตาปริบๆเท่านั้นแหละ” จ้าวกางถอนหายใจด้วยความรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง
หวังเสี่ยวซีพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “จริงสิ เห็นอีหลิงบอกว่าจะมาด้วยไม่ใช่เหรอ ? ทำไมฉันยังไม่เห็นเธอเลยล่ะ?”
“รออีกหน่อยแล้วกัน คิดว่าน่าจะใกล้มาแล้วล่ะ” เซี่ยหยู่เวยพูดขึ้น
เห็นได้ชัดว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ประตู ได้รับการประสานมาก่อน หลินหยุนยังไม่ได้พูดชื่อของเขาด้วยซ้ำ ก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ปล่อยให้ผ่านเข้าไปด้วยท่าทางเคารพให้เกียรติแล้ว
เมื่อเข้ามาถึงสถานที่ประมูล หลินหยุนมองไปรอบ ๆ กวาดตามองผ่านความวิจิตรอลังการ ไปจนถึงเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารที่หรูหราทั้งหลาย ทำราวกับว่าเขามองไม่เห็นมันอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นหลินหยุนก็เดินตรงไปยังมุมหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่เงียบสงบไม่วุ่นวาย
แต่ว่า หลินหยุนเพิ่งจะก้าวเท้าเดินออกไปได้สองก้าว ก็มีเสียงแสดงความตื่นเต้นประหลาดใจดังขึ้นมาจากด้านหลังของเขา
“หลินหยุน!” เป็นเสียงเรียกอันไพเราะ ที่มาจากหญิงสาวผู้หนึ่ง
อีกทั้งเสียงนี้หลินหยุนจำได้ว่า มันเป็นเสียงของอีหลิง
หลินหยุนหันกลับมา อีหลิงก็วิ่งเข้าไปหาด้วยความประหลาดใจ “ใช่นายจริงๆด้วย!”
“ ทำไมนายถึงมาที่นี่ด้วยล่ะ!”
หลินหยุนตอบไปว่า “ เพื่อนคนหนึ่งชวนฉันมาดูน่ะ”
“อีหลิง ตรงนั้นมีเพื่อนลุงอยู่สองคน ลุงจะไปทักทายพวกเขาหน่อย หนูรอลุงอยู่ตรงนี้นะ!” ชายวัยกลางคนที่เดินตามหลังอีหลิงมาตะโกนบอก
“ได้ค่ะคุณลุง!” อีหลิงยิ้มแฉ่งพลางโบกไม้โบกมือให้
เมื่อหันกลับมา อีหลิงก็ยิ้มแย้มพลางจ้องมองหลินหยุน เอ่ยถามอย่างมีลับลมคมนัยว่า “นายเองก็สนใจเครื่องรางชิ้นนั้นด้วยใช่ไหมล่ะ?”
แววตาของหลินหยุนวูบไหวเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าอีหลิงก็ได้ยินเรื่องของเครื่องรางแล้วเหมือนกัน
“ฉันมาเพราะเครื่องรางชิ้นนั้นนั่นแหละ” หลินหยุนไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร เพราะถึงยังไงหลายคนที่มาที่นี่วันนี้ ต่างก็มาเพราะเครื่องรางกันทั้งนั้น
“ถ้างั้น เดี๋ยวพวกเราเข้าไปพร้อมกันเถอะ!” อีหลิงมองหลินหยุนอย่างคาดหวัง มีท่าทีคล้ายว่าจะสนใจหลินหยุนมากเป็นพิเศษ
“ได้สิ!” หลินหยุนไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
ไม่ไกลออกไป จู่ๆหวางเสี่ยวซีที่กำลังเดินชมงานอยู่ ก็ชี้มือไปทางอีหลิงแล้วร้องขึ้นว่า “ดูนั่นเร็ว นั่นไม่ใช่อีหลิงหรอกเหรอ?”
เซี่ยหยู่เวยกะพริบตาแล้วพูดว่า “เป็นอีหลิงจริงๆด้วย”
“แต่ทำไมคนข้างๆนั่น ดูเหมือนหลินหยุนเลยล่ะ?!”
หลี่เหยนยิ้มเย็นพลางพูดว่า “ไม่ใช่ดูเหมือน แต่ใช่เลยต่างหาก !”
“ไอ้หมอนี่มันเหมือนวิญญาณพยาบาท เกาะติดไม่ปล่อยจริงๆนะ! ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เจอมันตลอด อะไรมันจะซวยแปดชั่วโคตรได้ขนาดนี้เนี่ย!” หลี่เหยนยังคงคิดแค้นเคืองกับเหตุการณ์ครั้งก่อนไม่หาย
“แต่ฉันได้ยินมาว่า งานประมูลการกุศลวันนี้ เติ้งเจียหลุนก็มาด้วยนะ” หลี่เหยนเผยรอยยิ้มประสงค์ร้าย