จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 110 เขามีเงินเหรอ
บทที่ 110 เขามีเงินเหรอ
จ้าวกางไม่อาจเข้าใจได้จริง ๆ เพราะทรัพย์สินทั้งหมดในครอบครัวของเขารวมกัน ก็มีห้าสิบกว่าล้านนิด ๆ เท่านั้นเอง
เว่ยเทียนหมิงมองด้วยสายตาเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำ “บางทีมันคงแค่คิดจะแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าที่มีต่อแหวนนั่น จากนั้นก็แค่รอหยุนจินไซยกแหวนให้มันก็ได้นะ เพราะถึงยังไง เดิมทีแหวนวงนั้นก็เป็นของควีนจิน เป็นธรรมดาที่หยุนจินไซจะตัดสินใจเรื่องนี้เองได้อยู่แล้ว ”
“คุณชายเว่ยวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ไอ้หมอนั่นคงคิดจะเล่นลูกไม้จับเสือมือเปล่าเสียมากกว่า”
หลี่เหยนยกยิ้มอึมครึมโดยพลัน “เฮอะๆ คิดจะให้หยุนจินไซยกของให้ง่ายๆงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!”
ในความคิดของหลี่เหยน เหมือนว่าเขาตั้งใจที่จะวางแผนให้ร้ายหลินหยุนเอาไว้แล้วเรียบร้อย
แต่จะอย่างไรก็ตาม สุดท้ายโลกใบนี้ ก็ย่อมมีคนสักสองสามคนแหละที่ไม่ขาดแคลนเงินทอง
ผ่านไปไม่นาน ก็มีคนเรียกราคาที่สูงกว่าหลินหยุนขึ้นมาทันที
“หกสิบล้าน!”
เป็นสุภาพสตรีคนหนึ่ง ที่เห็นเพียงแวบแรกก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นชนชั้นสูง เธอน่าจะเป็นนายหญิงที่ร่ำรวยมหาศาลทีเดียว
หลินหยุนไม่ลังเลแม้แต่น้อย ชูป้ายในมืออีกครั้ง“ หนึ่งร้อยล้าน!”
เฮือก!
คนทั้งฮอลล์ช็อกแทบตายแล้ว!
รอบด้านปรากฏเสียงสูดลมหายใจดังเฮือกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
ทุกคนไม่รู้ว่าจะพูดถึงหลินหยุนว่ายังไงดีแล้วในตอนนี้
ถ้าเขาไม่ใช่ลูกชายไม่เอาไหนของตระกูลไหนสักตระกูล เขาก็ต้องมีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าบางอย่าง ที่จะคว้าแหวนวงนี้ไปให้ได้
สุภาพสตรีวัยกลางคนผู้นั้นโกรธจนหน้าซีดไปแล้ว เธอกำหมัดแน่น ทั้งคิดในใจว่าจะเพิ่มราคาต่อ แต่ว่าหนึ่งร้อยล้าน ก็เป็นราคาที่ยากจะเพิ่มขึ้นไปมากกว่านี้แล้วจริงๆ
แม้ว่าแหวนวงนี้น่าจะเป็นเครื่องรางแน่นอนแล้ว เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นเครื่องรางประเภทที่สามารถยืดอายุขัยให้ยาวนาน หรือรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ทุกโรคนั่นแหละ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่คุ้มค่ากับเงินหนึ่งร้อยล้านเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม สุภาพสตรีวัยกลางคนยังคงเรียกราคาเพิ่ม
“หนึ่งร้อยห้าล้าน”
“สองร้อยล้าน!” หลินหยุนชูป้ายไม้ขึ้นอีกครั้ง สีหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ สำหรับหลินหยุนแล้ว เงินสองร้อยล้านก็เป็นแค่ตัวเลข แต่กับแหวนวงนี้ เขามุ่งมั่นเต็มที่ที่จะเอามันมาให้ได้
“นี่ … ” นายหญิงผู้นั้นโกรธจนนิ้วมือสั่นระริก เธอแค่นเสียงเย็นชาอย่างไม่พอใจขึ้นมาเสียงหนึ่ง จากนั้นค่อยนั่งลงประจำที่นั่งของตัวเองอย่างเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรอีก
เงินสองร้อยล้าน ฐานราคานี้ทำให้ทุกคนไม่กล้าเรียกราคาแข่งกับหลินหยุนอีก
ตัวเลขนี้ เทียบเท่าได้กับทรัพย์สินรวมของคนส่วนใหญ่ที่อยู่ ณที่แห่งนี้แล้ว
พวกหลี่เหยนก็เปลี่ยนจากความตกใจเป็นความตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้ว เงินห้าสิบล้านก็เป็นอะไรที่บ้าบิ่นมากแล้ว แต่ตอนนี้ หลินหยุนกลับเสนอออกมารวดเดียวสองร้อยล้าน
“มันเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน?”
“คุณชายเว่ย คุณพูดได้ถูกต้องที่สุด มันคิดจะจับเสือมือเปล่าชัดๆ!” สีหน้าหลี่เหยนดูชั่วร้ายเจ้าเล่ห์
“ หยุนจินไซคงจะไม่คิดเงินแม้แต่แดงเดียว ก็ยกแหวนให้มันไปแน่ๆ”
ทุกคนต่างก็เห็นว่า ท่าทีของหยุนเยว่ที่มีต่อหลินหยุนนั้น เป็นไปอย่างเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง เธอเอาแต่พยายามทำให้หลินหยุนพอใจอยู่ตลอดเวลา
หลินหยุนกล้าเรียกราคาที่สูงเสียดฟ้า เป็นจำนวนสองร้อยล้านออกมาตรงๆ อีกทั้งยังแสดงท่าทีที่ดูเหมือนว่า เขาจะต้องได้มันมาให้จงได้อีกด้วย อาจเป็นเพราะเขารู้ดีว่า หยุนเยว่จะไม่เก็บเงินเขาจริง ๆ ดังนั้น เขาก็เลยทำเรื่องที่ไร้ยางอายแบบนี้ออกมาก็เป็นไปได้
“สองร้อยล้านครั้งที่หนึ่ง สองร้อยล้านครั้งที่สอง สองร้อยล้านครั้งที่สาม ขาย!”
“ขอแสดงความยินดีกับสุภาพบุรุษท่านนี้ ที่ได้สมบัติชิ้นที่สามไป ทั้งยังมีส่วนช่วยเหลือในการกุศลครั้งนี้อย่างมากด้วยครับ!”
พิธีกรหน้าแดงด้วยความตื่นเต้น ในความคาดหวังของเขานั้น ราคาห้าสิบล้านก็นับได้ว่าสูงมากแล้ว แต่กลายเป็นว่าราคากลับพุ่งทะยานไปจนถึงสองร้อยล้าน!
“ผมขอประกาศว่าการประมูลการกุศลในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติที่ประมูลของล้ำค่าไปได้ทุกท่านที่หลังเวที เพื่อชำระเงินด้วยครับ!” พิธีกรกล่าวสรุป
ทันใดนั้นหลี่เหยนก็ตะโกนขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน!”
สายตาทุกคู่ ล้วนจับจ้องไปที่หลี่เหยนทันที
พิธีกรขมวดคิ้ว แต่ยังคงถามด้วยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพ “สุภาพบุรุษท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือครับ? ตอนนี้สมบัติทั้งสามชิ้นของเรา ล้วนได้รับการประมูลออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากคุณต้องการ คุณจำเป็นต้องไปขอซื้อต่อจากแขกท่านที่ประมูลได้เท่านั้นแล้วนะครับ”
หลี่เหยียนแอบสบถด่าในใจ “ผีที่ไหนมันจะไปอยากได้ของสามชิ้นนั่นของแกกันเล่า!”
“ฉันสงสัยว่ามีคนเสนอเงินแบบมั่ว ๆ เขาไม่มีทางจ่ายเงินได้ถึงสองร้อยล้านจริง!” หลี่เหยนพูดออกมาแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยชื่อออกมาตรง ๆ ว่าเป็นใคร แต่ทุกคนต่างก็หันไปมองหลินหยุนพร้อมกันเป็นตาเดียว
มีคนยิ้มหยันพลางพูดว่า “ฉันก็ว่าแล้ว เจ้าเด็กคนนี้บ้ารึเปล่า? เล่นเรียกราคาแบบก้าวกระโดดตลอด พอตอนสุดท้ายยังเรียกเพิ่มรวดเดียว จากร้อยล้านเป็นสองร้อยล้าน! แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีใครเรียกราคาแบบนี้มาก่อนเลย !”
“ถ้าเขามาเพื่อสร้างปัญหาจริง ๆ ทุกอย่างที่เขาทำก็จะผ่านไปได้ง่าย ๆโดยที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลยสินะ!” อีกคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง
“ฉันคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะจงใจมาก่อกวนเสียมากกว่า จะทุ่มเงินสองร้อยล้าน เพื่อซื้อแหวนพังๆวงหนึ่งไปทำไมกัน ต่อให้เป็นเครื่องรางจริงแล้วยังไงล่ะ? ก็ไม่น่าจะมีมูลค่าถึงสองร้อยล้านหรอกมั๊ง!”
เมื่อฟังคำอภิปรายของทุกคน พิธีกรก็เริ่มเอะใจขึ้นมาบ้างแล้ว
จึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลินหยุน
เด็กคนนี้ดูอายุน่าจะราวๆยี่สิบเห็นจะได้ ดู ๆ ไปเขาก็ไม่ค่อยเหมือนทายาทมหาเศรษฐีสักเท่าไหร่ด้วย นี่เขามีเงินสองร้อยล้านจริงๆหรือเปล่านะ?
หลังจากคิดไปคิดมา แม้แต่พิธีกรก็เริ่มรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ขึ้นมาแล้ว
ยังไงก็ควรถามให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยดีกว่า! เผื่อถ้ามาสร้างปัญหาจริง ๆ แบบนั้นมันจะเป็นเรื่องลำบากได้
แต่แน่นอนว่าพิธีกรจะไม่ถามหลินหยุนก่อน เพราะถ้าหลินหยุนเกิดโกรธเคืองขึ้นมาจนไม่ยอมซื้อแล้ว เขาจะต้องเสียหายหนักมากแน่ๆ
“สุภาพบุรุษท่านนี้ คุณบอกว่าสุภาพบุรุษท่านทางนี้ไม่มีเงิน คุณมีหลักฐานหรือเปล่าครับ?”
หลี่เหยียนหัวเราะเย้ยหยันเย็นชา “พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน หลักฐานขิ้นนี้ใช้ได้ไหมล่ะ?”
เพื่อนร่วมชั้น!
ถ้าอย่างนั้น นี่ย่อมเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ได้โดยธรรมชาติเลยน่ะสิ
ในเมื่อเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ ใครเป็นเด็กบ้านรวย ใครเป็นเด็กบ้านจน แน่นอนว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะรู้
พิธีกรหันไปมองหลินหยุนด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้า เอ่ยถามว่า “สุภาพบุรุษท่านนี้ มีคนบอกว่าคุณมาก่อกวนงานประมูล ไม่ทราบว่าคุณพอจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณได้ไหมครับ?”
หลินหยุนปรายสายตาไปมองหลี่เหยนนิ่ง ๆ โยนบัตรทองม่วงสูงศักดิ์ที่จินซื่อหรงมอบให้ ไปให้พิธีกรโดยตรง
“รหัสผ่านเป็นเลขศูนย์หกตัว ลองตรวจสอบดูได้”
พิธีกรรีบโค้งขอบคุณเขาไม่หยุด จากนั้นจึงเริ่มตรวจสอบเงินในบัตรต่อหน้าหลินหยุน
ไม่ห่างออกไปนัก อีหลิงซึ่งอยู่ข้าง ๆ หานกั๋วเฉียง ก็เกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
เธอรู้ว่าหลินหยุนมีเงิน เส้เทียนหัวเคยจ่ายเงินค่าตอบแทนให้เขา แต่นั่นก็ไม่ถึงสองร้อยล้านอยู่ดี!
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นท่าทางแน่วแน่แม่นคงของหลินหยุนแล้ว อีหลิงก็บังเกิดความรู้สึกเชื่อใจหลินหยุนอย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมา
หลี่เหยียนกลับหัวเราะหยันอีกครั้ง “หลินหยุน หายนะมาจ่อรออยู่บนหัวแล้ว ยังจะเสแสร้งทำเป็นวางมาดอีกเหรอ นายคิดว่าหยุนจินไซจะมาช่วยนายหรือไง? ฉันขอเรียกร้องให้พิธีกรทำการตรวจสอบต่อหน้าสาธารณชน!”
หวางเสี่ยวซีหัวเราะเย้ยหยันพลางพูดว่า “ละครฉากนี้ หลินหยุนแสร้งเล่นได้ดูเหมือนจริงอยู่นะ! เขาโยนบัตรธนาคารให้พิธีกร ก็เพราะคิดจะให้หยุนจินไซเข้ามาช่วยล่ะสิท่า?”
“หยู่เวย เธอคุ้นเคยกับหลินหยุนดีไม่ใช่เหรอ? เธอคิดว่าเขาจะสามารถจ่ายเงินมากขนาดนี้ได้จริงๆรึเปล่า?” หวางเสี่ยวซีถามด้วยท่าทางดูถูก
เซี่ยหยู่เวยส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้หรอก เขาจะเอาเงินมากมายขนาดนี้มาจากไหน!”
ชั่วขณะหนึ่ง เซี่ยหยู่เวยก็นึกไปถึงเพชรสีเลือดก้อนนั้น หากเพชรสีเลือดยังอยู่ล่ะก็ หลินหยุนก็อาจจะมีเงินถึงสองร้อยล้านจริง
แต่ในตอนนี้ เว้นแต่ว่าหลินหยุนมีเครื่องปั๊มเงินเท่านั้นแหละ ถึงจะมีเงินมากขนาดนั้น
หลี่เหยนพูดกับพิธีกรที่ยืนอยู่บนเวทีเสียงดังว่า “พิธีกร เพื่อความยุติธรรมต่อทุกฝ่าย ควรให้ทุกคนในที่นี้ได้รู้ด้วยว่าเขามีเงินอยู่จริงหรือเปล่า! เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนปกปิดความจริง เพราะมีเจตนาจะทำให้เขาพอใจ!”
หยุนเยว่ที่อยู่ในห้องมอนิเตอร์หลังเวที สีหน้าเย็นชาสุดขีด
“ไอ้เวรตะไลนี่ มันเป็นเชี่ยอะไรของมัน!”
เมื่อพิธีกรเห็นเงินฝากในบัตรธนาคารของหลินหยุน รอยยิ้มที่เดิมทีฉายเด่นอยู่บนใบหน้าของเขา ในเวลานี้ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมคือ รอยยิ้มนั้นพลันแข็งค้างอยู่บนใบหน้าของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
มันเหมือนกับว่า เขาได้เผชิญกับความตกใจอย่างใหญ่หลวงจนถึงกับช็อก กระทั่งใกล้จะตายเต็มทนแล้วก็ยังฟื้นตัวไม่ทัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ? ท่าทางของพิธีกรดูไม่ค่อยถูกต้องนะ!” คนที่ช่างสังเกตพลันค้นพบเงื่อนงำบางอย่างที่ดูไม่ชอบมาพากลเข้าแล้ว
แต่ก็มีหลายคน ที่เป็นประเภทไม่อินังขังขอบใด ๆ ตัวอย่างเช่นคนคนนี้ “ฮ่าๆๆ นี่มันยังไม่ชัดอีกเหรอว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้นในบัตร! ดังนั้น พิธีกรถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกหลอก จนช็อกตาค้างไปเลยไงเล่า!”
“พี่หวางวิเคราะห์ได้ถูกต้องเลย ผมเองก็เห็นด้วย!”
“ผมก็เห็นด้วย!”
หลายคนในงานต่างก็คิดว่า พิธีกรน่าจะถูกหลินหยุนหลอกเข้าให้แล้ว จึงได้มีท่าทางตกใจมากถึงขนาดนั้น
หลี่เหยนก็เชื่อในข้อสรุปนี้เช่นกัน ดังนั้น เขาจึงยิ่งร้องแร่แห่กระเชอหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
“พิธีกร คุณต้องให้ทุกคนเห็นผลลัพธ์ด้วยสิ! หรือคุณคิดจะเล่นพรรคเล่นพวก ปกปิดผลประโยชน์ส่วนตัวใช่ไหม?”
ในที่สุดพิธีกรก็เรียกสติกลับมาได้อีกครั้ง ใบหน้าของเขาสงบนิ่งมาก เดินลงจากเวทีด้วยรอยยิ้มเบิกบานเต็มใบหน้า มายืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน แล้วยกโทรศัพท์ในมือขึ้นจนสูง บนหน้าจอปรากฏผลการสืบค้นข้อมูลอย่างชัดเจน