จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 1256 เมืองฉีซาน
สี่เยว่หัวเราะอย่างเย็นชาอีกครั้ง กวาดสายตามองไปที่สิบเยว่ และพูดขึ้นว่า น้องสิบ เธอยังรับรู้อยู่ไหมว่าฉันคือพี่สี่ของเธอ?
ฉันว่าเธอในตอนนี้ แม้แต่เรื่องจริงที่ฉันเป็นพี่สี่ของเธอนั้นก็คงจะหลงลืมมันไปหมดแล้วล่ะสิ?
หากกล้าที่จะใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดจากับฉันอีกล่ะก็ อย่าได้มาต่อว่าหากฉันจะลงโทษเธอนะ!
ฉันกำลังพูดอยู่กับพี่สอง เธอมีสิทธิพูดแทรกเข้ามาได้อย่างไร? ไม่มีมารยาท!
สิบเยว่โกรธไม่พอใจ ได้ยินดังนั้นแล้วก็ส่งเสียงฮึขึ้นอย่างเย็นชา พี่สี่ เพียงเท่านี้ก็รีบร้อนที่จะกดดันฉันอย่างนั้นแล้วเหรอ?
ฉันรู้ว่าพลังบำเพ็ญของเธอเหนือกว่าฉัน และถึงขนาดมีใจที่คิดจะแข่งขันกับพี่สองด้วย แต่แล้วยังไงล่ะ?
คำสั่งสอนของบรรพบุรุษสำนักของเรา เมื่อเจ้าพระคุณปรากฏตัวขึ้น ก็เท่ากับว่าเจ้าสำนักมาด้วยตนเอง!
พี่สี่คิดที่จะไม่ยอมรับใช่ไหม?
สี่เยว่ไม่พูดอะไร
เจ็ดเยว่ที่อยู่ด้านข้างก็ส่งเสียงฮึขึ้นและพูดว่า น้องสิบ เธอจะยืนยันได้อย่างไรว่าหลินหยุนผู้นั้นคือเจ้าพระคุณตัวจริง?
ลำพังแค่อาศัยวิชาเล็กน้อยนั้น ฉันว่าคงไม่สามารถที่จะยืนยันสถานะตัวตนที่แท้จริงได้หรอก?
น้องสิบ หรือว่า เธอชื่นชอบหลินหยุนไอ้หนุ่มหน้ามนผู้นั้นแล้ว?
ถ้าหากว่าเธอแค่ทนต่อความเหงาไม่ได้……
สิบเยว่พลันโมโหขึ้น ทันใดนั้นก็ลุกยืนขึ้นจากเก้าอี้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด
พี่เจ็ด เธอพูดแบบนี้ หรือว่าเธอนั้นแก่หงำเหงือกแล้วใช่ไหม?
สถานะของพระคุณเจ้า พี่สองกับฉันและคนอื่น ๆ ต่างก็พบเห็นกับตาของตนเอง จะปลอมได้อย่างไรกันล่ะ?
พี่เจ็ด คนเราจะกินอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ห้ามพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้าโดยเด็ดขาด!
นอกจากนี้ ฉันยอมรับว่าฉันมีความสามารถไม่เท่าพี่สี่ แต่สำหรับเธอแล้ว?
หากต้องการที่จะประลองกันสักตั้ง ฉันเองก็อยากที่จะลองดูเหมือนกัน!
เจ็ดเยว่ได้ยินดังนั้น ก็พลันลุกยืนขึ้น และปลดปล่อยลมหายใจออกมาในทันที
ในเวลานี้เอง ดวงตาที่สวยงามของสองเยว่ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดนั้นก็เป็นประกายขึ้น และพูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นว่า พอได้แล้ว! ภายในตำหนัก ยังคิดที่จะลงมือกันอีกเหรอ? ทำไมถึงได้กล้าหาญกันขนาดนี้?
สี่เยว่ยิ้มเยาะและพูดขึ้นว่า พี่สอง ทำไมต้องโมโหกันขนาดนี้ด้วย? น้องเจ็ดพูดอะไรไม่ผิดสักหน่อย! หลินหยุนนั้นมีประวัติความเป็นมาที่ไม่แน่ชัดจริง ๆ!
สองเยว่ขมวดคิ้วและพูดว่า น้องสี่ เธอกำลังตั้งข้อสงสัยในทัศนะมุมมองของฉันอยู่ใช่ไหม?
สี่เยว่พูดขึ้นว่า พี่สอง ฉันไม่ได้พูดแบบนี้สักหน่อย ความหมายของฉันคือ สถานะพระคุณเจ้า มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักของเราอย่างมาก ไม่สามารถที่จะตัดสินอย่างลวก ๆ ได้ อย่างน้อยจะต้องทำการยืนยันในเชิงลึกให้มากขึ้นถึงจะเป็นการดี!
พี่สองไม่อยากที่จะไปโต้เถียงกับเธอ ชะงักลงชั่วครู่ แล้วก็กวาดสายตามองไปยังทุกคน
ตอนนี้ พระคุณเจ้าได้สังหารผู้อาวุโสสี่คนของสำนักเทียนหยุน ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตนัก พวกเราจะต้องจับตาและเอาใจใส่เรื่องนี้อย่างใกล้ชิด!
เมื่อพระคุณเจ้ามีอันตราย พวกเราก็จะต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ!
สี่เยว่ขมวดคิ้วและพูดว่า พี่สอง ฉันไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ตั้งแต่ไหนแต่ไรสำนักของเราไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องบาดหมางของโลกภายนอก!
พี่สอง!
หากว่าเธอคิดจะลงมือช่วยเหลือ ก็ลงมือเองได้เลย!
พอเถอะ ถ้าพี่สองเพียงแค่ต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้ ฉันคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดต่ออีกแล้ว
ทุกท่าน ฉันขอตัวไปก่อนแล้ว!
พูดจบ สี่เยว่ก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป
จากนั้น ห้าเยว่ เจ็ดเยว่ แปดเยว่ ทั้งสามคนก็ไม่พูดไม่จาอะไร เดินตามออกไปด้วยเช่นกัน
หลงเหลือเพียงแค่สองเยว่กับสิบเยว่และอีกไม่กี่คน ซึ่งต่างก็มีสีหน้าที่ย่ำแย่เป็นอย่างมาก
สิบเยว่พูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า พี่สอง ฉันว่าตอนนี้พี่สี่นับวันยิ่งจะเรื่องมากเกินไปแล้ว!
สองเยว่จำใจ ถอนหายใจและพูดขึ้นว่า อารมณ์ของน้องสี่ยิ่งจะรุนแรงมากขึ้นจริง ๆ แต่ก็……ช่างเถอะ ปล่อยหล่อนไปเถอะ! เพียงแค่หล่อนไม่ไปกระทำเรื่องที่เกินไป ก็ปล่อยหล่อนไปเถอะ!
สิบเยว่โมโหอย่างมาก แต่สองเยว่พูดขึ้นแบบนี้แล้ว เธอเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
เพราะว่า ตอนนี้ทั้งสำนักหยุนเยว่ มีเพียงพี่สองและพี่สี่ ที่มีพลังบำเพ็ญแข็งแกร่งที่สุด
ถ้าหาก พี่ใหญ่ยังคงมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่มีทางเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอย่างแน่นอน
สูดหายใจลึก สิบเยว่ดวงตาเป็นประกาย มองไปที่พี่สองและพูดขึ้นว่า พี่สอง คุณว่าคนผู้นี้ เป็นพระคุณเจ้าตัวจริงใช่ไหม? อย่างนั้นก็คงจะ……น่าเหลือเชื่อมากเลยล่ะสิ?
หลินหยุนมีพลังบำเพ็ญระดับไหน?
ก่อนหน้านี้ตอนที่ออกมาจากสำนักหยุนเยว่นั้น พวกเธอรับรู้รับทราบอย่างชัดเจน!
แต่ว่า นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน ก็สามารถลงมือสังหารผู้อาวุโสสี่คนของสำนักเทียนหยุนได้แล้ว?
นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรอกเหรอ?
นั่นเท่ากับว่า สังหารนางเยว่สี่คน ในบริเวณใกล้กับสำนักหยุนเยว่ และสามารถหลบหนีเอาตัวรอดไปได้อย่างปลอดภัย
มีโอกาสเป็นไปได้ไหม?
ไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้อย่างแน่นอน!
ไม่ต้องพูดถึงหลินหยุนที่เพิ่งจะเข้าสู่พลังบำเพ็ญขั้นยาทองเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นยาทองระดับแปดคนไหน ที่กระทำเรื่องแบบนี้แล้ว ก็คงไม่สามารถที่จะหลบหนีรอดไปได้เป็นแน่!
สิบเยว่ไม่เชื่อแม้แต่น้อยเลย
สองเยว่ได้ยินดังนั้น ก็ถอนหายใจเช่นกัน
สามเยว่และคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าท่าทางที่ผิดแปลกไป
ยากที่จะเชื่อได้จริง ๆ!
ผ่านไปสักพัก สองเยว่พูดเบา ๆ ขึ้นว่า ไม่ว่าจะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม สำนักเทียนหยุนก็คงจะไม่ยอมหยุดลงง่าย ๆ เท่านี้แน่……
หยุดชะงักไปชั่วครู่ เธอก็พูดต่อว่า น้องสาม น้องสิบ พวกเธอสองคนจับตาดูข่าวคราวความเคลื่อนไหวของทางสำนักเทียนหยุนนั้นให้ดี พวกเขาคงจะต้องค้นหาตามตัวพระคุณเจ้าอยู่อย่างบ้าคลั่งเป็นแน่!
ทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ก็พากันพยักหน้า
……
ในเวลานี้หลินหยุนกับซิงเฟย นั่งกันอยู่บนรถเมฆ มุ่งหน้าไปยังเมืองฉีฟานอย่างไม่เร่งรีบ
ขณะนั้น ยันต์สื่อสารของซิงเฟยก็มีไฟกะพริบขึ้นไม่หยุด
มีผู้ที่ส่งข้อความมาหาเป็นจำนวนมาก
มีทั้งชายแก่ที่บ้านของตน ฉินเหมย รวมถึงติงหลิงด้วย
แต่ละคนต่างก็ถามว่า ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเธอจึงเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อีกทั้ง เรื่องที่หลินหยุนสังหารผู้อาวุโสสี่คนของสำนักเทียนหยุนนั้น ตกลงว่าเป็นความจริงหรือไม่
ส่วนทางติงหลิงนั้น ได้สอบถามสถานที่พักอาศัยของเธอกับหลินหยุน ซึ่งซิงเฟยก็ไม่ได้ไปสนใจเลย
เพียงแค่ยันต์สื่อสารนี้ไม่มีฟังก์ชั่นแบล็กลิสต์เหมือนกับโทรศัพท์มือถือในโลกภายนอก
ไม่อย่างนั้น ซิงเฟยเองคงจะทำการแบล็กลิสต์ติงหลิงไปนานแล้ว
สำหรับทางฉินเหมยและทางชายแก่ที่บ้านของเธอนั้น เพียงแค่ถามว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่จริง
นอกจากนี้ ชายแก่ที่บ้านของพวกเธอนั้น ก็คาดเดาว่าหลินหยุนคงจะไม่ใช่เด็กหนุ่มอะไรทั่วไป แต่อาจจะเป็นยอดฝีมืออาวุโสคนใดคนหนึ่ง ซึ่งให้เธอรีบหลบหนีเอาตัวรอดไปซะ
ซิงเฟยถูกถามจนเกิดความเบื่อหน่าย จึงได้ปิดยันต์สื่อสารไปเลย
หลินหยุนเองยังคงสงบนิ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างและใชแวลาในการบำเพ็ญฝึกฝนอย่างเต็มที่
เมื่อปิดยันต์สื่อสารแล้ว สายตาของซิงเฟยก็มองไปยังหลินหยุนที่กำลังปิดตาบำเพ็ญฝึกฝนอยู่
ตั้งแต่เริ่มต้นจากการหวาดวิตก หวาดกลัว จนถึงตอนนี้ ได้กลายเป็นความท้าทาย ตื่นเต้นไปแล้ว
ช่างตื่นเต้นเหลือเกิน!
ความรู้สึกแบบนี้มันช่างพิเศษยิ่งนัก!
ตอนแรกที่ตัดสินใจติดตามหลินหยุนนั้น ช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของเธอเลย
แน่นอนว่า มีเรื่องเสียใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตนเองไม่ได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
หนึ่งเดือนต่อมา ที่เมืองฉีซาน
ทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณนอกเมืองที่ห่างไกลออกไปไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้
ซิงเฟยเก็บรถเมฆขึ้น และพูดว่า ตอนนี้ สำนักเทียนหยุนคงจะกำลังตามหาตัวพวกเราไปทั่วแล้วล่ะ! เพียงแค่พวกเราปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็คงจะรับทราบเป็นแน่! นายลองคิดให้ดี ๆ นะ!
หลินหยุนพยักหน้า และพูดขึ้นว่า ไม่เข้าไปในเมืองก่อน ลองสอบถามข้อมูลของมู่หงก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที!
ระหว่างทาง หลินหยุนได้พูดถึงวัตถุประสงค์ของการมาในครั้งนี้ ให้กับซิงเฟยฟังบ้างเล็กน้อย
ซิงเฟยอดไม่ได้ที่จะถามคำถามที่ได้สอบถามมาตลอดทาง โดยที่ยังไม่ได้รับคำตอบอะไรเลย
ฉันถามว่า นายสามารถบอกฉันได้ไหมว่า นายกับเจียงยี่ รวมถึงมู่หงแห่งสำนักฉีซาน ตกลงมีความแค้นบาดหมางอะไรกันแน่?
นายยิ่งไม่พูดฉันเองก็ยิ่งจะสนใจเข้าไปใหญ่!