จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 128 นับจากนี้ไป จงเคารพฉันแต่เพียงผู้เดียว
บทที่ 128 นับจากนี้ไป จงเคารพฉันแต่เพียงผู้เดียว
หลินหยุนตอบกลับไปอย่างไร้ความรู้สึกว่า “ ในเมื่อรู้แต่แรกแล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ แล้วทำไมไม่รู้จักทำตามสัญญา!”
“ตายซะ!”
ร่างของหลินหยุนไหววูบ เพียงพริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าเจียงจงโหยว ยกขาขึ้นข้างหนึ่งแล้วเตะออกไป ส่วนหน้าอกทั้งหมดของเจียงจงโหย่ว ก็ยุบลงไปเป็นโพรงอย่างน่าสะพรึงกลัว
ผู้ทรงอิทธิพลผู้ทรงอำนาจงามสง่าแห่งชิ่งโจว มาบัดนี้กลับตายอนาถคาที่ไปแล้วเรียบร้อย!
พวกเจิ้งเทียนหว้าต่างพากันขมวดคิ้วมุ่น พวกเขาต่อสู้แย่งชิงกันมานานหลายปี จู่ๆก็ได้มาเห็นการตายของคู่ปรับตัวเอง จึงอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเศร้า ในแบบที่เรียกว่า คนตะเภาเดียวกันย่อมเห็นใจซึ่งกันและกันขึ้นมา
เดิมทีพวกเขาคิดว่าพอปรมาจารย์กู่ตายแล้ว พวกเขาก็คงจะปลอดภัยได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า วิธีการของปรมาจารย์หลินที่อายุยังน้อยผู้นี้ ก็โหดเหี้ยมชั่วร้ายไม่ต่างไปจากปรมาจารย์กู่สักเท่าไหร่เลย
หลินหยุนกวาดตามองบรรดาขาใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้น เอ่ยถามเสียงราบเรียบว่า “ทรัพย์สินทั้งหมดของเจียงจงโหยว ฉันจะขอรับไว้ มีใครที่ไม่เห็นด้วยหรือเปล่า?”
ไม่มีใครพูดอะไรทั้งสิ้น ใครมันจะกล้าไม่เห็นด้วยกันล่ะ?
หานกั๋วเฉียง เป็นคนแรกที่แสดงเจตจำนงของตัวเอง เขายืนขึ้นแล้วหันไปเผชิญหน้ากับหลินหยุน พูดขึ้นว่า “ปรมาจารย์หลินฆ่าปรมาจารย์กู่ไป ก็เท่ากับทำลายแผนการที่เขาจะยึดครองสี่เมืองทางใต้ลง นับเป็นผู้มีพระคุณสำหรับผมแล้ว”
“จากนี้ไป ผมยินดีที่จะทำตามคำสั่งปรมาจารย์หลินอย่างเคร่งครัด!”
แน่นอนว่าเจี่ยงสงก็ไม่เต็มใจจะแสดงความอ่อนแอ จึงรีบแสดงจุดยืนของตนเองเช่นกัน “ผมเจี่ยงสง ก็ยินดีที่จะทำตามคำสั่งของปรมาจารย์หลินอย่างเคร่งครัด!
เจิ้งเทียนหว้าไม่เต็มใจ แต่เมื่อสายตาของหลินหยุนปรายมองมา เขาก็อดตัวสั่นงันงกไม่ได้ รีบโค้งคำนับแล้วพูดว่า ” ผมเจิ้งเทียนหว้า ยินดีที่จทำตามคำสั่งของปรมาจารย์หลินอย่างเคร่งครัด!”
หลินหยุนเดินกลับไปที่สังเวียนอีกครั้ง แล้วพูดกับผู้ทรงอิทธิพลทั้งสามว่า “ฉันต้องการให้ทุกคนช่วยฉันตามหาของบางอย่าง ส่วนที่ว่ามันคืออะไรนั้น เจี่ยงสงมีข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งนี้อยู่ ทุกคนสามารถไปดูได้”
“คุณเจียง เดี๋ยวส่งคนมาช่วยฉันรับมอบอาณาเขตของชิ่งโจวด้วยล่ะ ถ้าใครกล้าขัดขืน ก็ให้ฆ่าทิ้งไปซะ!”
เจี่ยงสงโค้งคำนับพลางตอบรับ “ครับผม!”
หลินหยุนสาวเท้าก้าวเดินออกจากสังเวียนเงียบ ๆ กำชับคำสั่งกับเจี่ยงสงอีกสองสามคำ จากนั้นจึงหันไปมองคนดูที่อยู่รอบๆ “ทุกคนต่อเถอะ ฉันไปก่อนนะ”
สามผู้ทรงอิทธิพลยิ้มอย่างฝืดฝืน ให้ต่องั้นเหรอ? จะต่อกันยังไงได้ล่ะนี่?
ตอนนี้ทุกคนต่างก็ยอมจำนนกันหมดแล้ว ประลองต่อไปมันยังจะมีความหมายอะไรอีกล่ะ?
“งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันเถอะ!” เจี่ยงสงเอ่ยแนะนำ
“แยกย้ายเหอะ! วันนี้ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว! ” แค่วันนี้วันเดียว เจิ้งเทียนหว้ากลับดูเหมือนแก่ขึ้นไปหลายสิบปีเลยทีเดียว
แน่นอนว่า ประสบการณ์ที่ได้เจอวันนี้ น่ากลัวว่าจะเหนือกว่าประสบการณ์ของทุกคนในช่วงครึ่งชีวิตที่ผ่านมารวมกันเสียด้วยซ้ำ
หานกั๋วเฉียงไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่มองตามเงาหลังของหลินหยุนที่จากไป แล้วลอบถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“นับจากนี้ไป สี่เมืองใหญ่ทางใต้จะเคารพเชื่อฟังเขาแต่เพียงผู้เดียว! มณทลหลิงหนานจะยึดถือเขาเป็นผู้นำสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!”
เมื่อเฉินหมิงวั่งกับหลี่เมิ่งเห็นว่าหลินหยุนจากไปแล้ว ก็รีบคลานออกมาจากใต้เก้าอี้อย่างทุลักทุเล
“รีบไปสิ! รีบไป! อาศัยจังหวะที่ปรมาจารย์หลินยังไม่คิดจะแก้แค้น รีบไปจากที่นี่เร็วเข้า!”
แต่เมื่อพวกเขาเพิ่งจะเดินไปถึงประตูหน้า ลูกน้องของเจี่ยงสง ก็เข้ามาหยุดพวกเขาไว้เสียก่อน
“ทุกท่าน ปรมาจารย์หลินขอเชิญพวกคุณไปพบหน่อย!”
ในห้องของคลับเฮาส์ หลินหยุนนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีเสี่ยวยู่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยท่าทางที่เคารพนบน้อมอย่างยิ่ง
เฉินหมิงวั่งสองคนพี่น้องและหลี่เมิ่ง ตลอดจนพวกเจิ้งหงยู่ ต่างพากันยืนตัวสั่นงันงก แทบจะแนบทั้งตัวชิดไปกับกำแพงจนเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว
ปรมาจารย์หลินคงไม่ได้คิดจะฆ่าคนปิดปากหรอกใช่ไหม?
เฉินหมิงวั่งหันไปมองเฉินฟางน้องสาวของเขา ด้วยสายตาราวกับจะบอกว่า ยังไงๆเธอก็มีความสัมพันธ์อันดีกับปรมาจารย์หลินนี่นะ อีกเดี๋ยวต้องขอร้องท่านปรมาจารย์หลิน ให้กรุณาไว้ชีวิตฉันสักครั้งด้วยเถอะ!
“พวกเธอไม่ต้องกลัวไปหรอก ที่ฉันเรียกทุกคนมาที่นี่ ก็เพราะฉันมีเรื่องบางอย่างจะมอบหมายให้ทำ!” หลินหยุนมองไปที่คนทั้งกลุ่มด้วยแววตาที่นิ่งเรียบ
หลี่เมิ่งรีบพูดด้วยท่าทีประจบเอาใจจนออกนอกหน้า“ ขอเพียงปรมาจารย์หลินสั่งมา ไม่ว่าจะต้องฝ่าภูเขาดาบลุยทะเลไฟ กระผมก็พร้อมจะทำจนสำเร็จได้อย่างแน่นอนครับ!”
เฉินหมิงวั่งรีบละล่ำละลักพูดตามไปทันที “ผมด้วย! ไม่ว่าปรมาจารย์หลินจะให้ผมทำอะไร ผมก็พร้อมจะทำทุกอย่าง ขอเพียงปรมาจารย์หลินอย่าถือสาเรื่องที่ผ่านมา ละเว้นชีวิตน้อย ๆ ของผมก็พอแล้วล่ะครับ!”
เจิ้งหงยู่จ้องมองทั้งคู่อย่างดูถูกเหยียดหยาม เชิดหน้าขึ้นน้อย ๆ ไม่มีความตั้งใจที่จะผูกสัมพันธ์ฉันมิตรใด ๆ กับหลินหยุน
หลินหยุนเองก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เดิมทีเขาไม่ได้ต้องการจะทำให้คนพวกนี้ต้องลำบากใจ เพราะสำหรับเขาแล้ว คนพวกนี้ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย
“วางใจเถอะ ฉันไม่ได้จะให้พวกเธอไปปีนภูเขาดาบลุยทะเลไฟอะไรทั้งนั้น ฉันแค่อยากให้ทุกคนอย่าพูดออกไปว่าฉันเป็นใครก็พอ”
“ถ้าพวกเธอทำได้ ก็ไปกันได้แล้ว”
แต่ละคนประสานสายตามองกันไปมา ง่ายขนาดนี้เลยเนี่ยนะ!?
ก่อนหน้านี้ พวกเขาทำเรื่องฉีกหน้าให้ปรมาจารย์หลินอับอายมากมายขนาดนั้นแท้ ๆ นี่ปรมาจารย์หลิน จะไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรกับพวกเขาสักนิดเลยจริงๆน่ะเหรอ!?
“ แน่นอนว่า ถ้าพวกเธอเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฉันออกไป ก็อย่าได้โทษว่าฉันลงมือโหดเหี้ยมล่ะ!”
พวกเฉินหมิงวั่งรีบพยักหน้ารับเร็วรี่ ” ทำได้ครับ ทำได้ครับ ปรมาจารย์หลินโปรดวางใจได้ พวกเราสัญญาว่า จะลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นในวันนี้ให้หมดเกลี้ยงเลยครับ!”
คราวนี้ แม้แต่เจิ้งหงยู่ก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย
เดิมทียังคิดอยู่ว่า หลินหยุนคงจะหาเรื่องทำให้เธอต้องอับอายแน่ เจิ้งหงยู่พร้อมที่จะตายเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองแล้วด้วยซ้ำ คิดไม่ถึงว่าหลินหยุนจะแค่สั่งให้พวกเขาเก็บเรื่องตัวตนของหลินหยุนไว้เป็นความลับ เจิ้งหงยู่ไม่แค่ไม่ต้องถูกทำให้อับอาย ทั้งยังรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้อีก เธอย่อมต้องน้อมรับไว้ด้วยความยินดีอย่างที่สุดอยู่แล้ว
“เอาล่ะ พวกเธอไปซะเถอะ!” หลินหยุนโบกมือไล่
ทั้งหมดต่างมองหน้ากัน แล้วรีบเผ่นออกไปให้เร็วที่สุด
รอจนทั้งหมดจากไปแล้ว เสี่ยวยู่ก็พูดขึ้นว่า “หลิน….ปรมาจารย์หลิน พวกเขาจะช่วยคุณเก็บความลับจริงๆเหรอ? คุณน่าจะป้อนยาพิษอะไรสักอย่าง เพื่อข่มขู่พวกนั้นเสียหน่อย จากนั้นก็ให้พวกเขามาหาคุณเดือนละครั้งเพื่อรับยาแก้พิษ ทำแบบนี้ พวกนั้นจะได้ไม่กล้าแพร่งพรายความลับออกไป”
หลินหยุนมองเสี่ยวยู่อย่างประหลาดใจ “เรื่องพรรค์นี้ เธอไปฟังใครพูดมารึ?”
เสี่ยวยู่ตอบกลับด้วยท่าทีจริงจัง “ในนิยายเรื่องไหน ๆ ก็เขียนแบบนี้กันทั้งนั้นแหล่ะ! ถ้าอยากให้คนเชื่อฟังล่ะก็ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการควบคุมพวกเขาด้วยยาพิษ!”
หลินหยุนถึงกับพูดไม่ออก
ในโลกนี้จะไปมียาพิษแบบนั้นได้ยังไง? ยาพิษส่วนใหญ่ หากแค่กินเข้าไปก็ถึงตายกันทั้งนั้น อีกทั้งสนนราคาของยาพิษนั้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกยาทิพย์ครอบจักรวาลทั้งหลายเลยด้วย จะต้องสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุไปกับคนพวกนี้ทำไมล่ะ?
นอกจากนี้ เขาก็แค่เตือนคนพวกนี้เฉยๆ ว่าอย่าไปพูดพล่ามเรื่องไร้สาระ แม้ว่าพวกนั้นจะหลุดปากพูดออกไปจริง ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพราะถึงยังไงไม่ช้าก็เร็ว สุดท้ายผู้คนก็ต้องรู้เรื่องนี้กันอยู่ดี
จู่ๆหลินหยุนก็หันไปมองเสี่ยวยู่ เขากำลังจะไปจากที่นี่ในไม่ช้าแล้ว ในเมื่อเขาได้มีชะตามาพบกันโดยบังเอิญ หลินหยุนจึงรู้สึกว่า เขาน่าจะช่วยอะไรเสี่ยวยู่บ้างสักนิดสักหน่อยก็ยังดี
“เสี่ยวยู่ ฉันจะไปจากที่นี่เร็ว ๆ นี้แล้ว ฉันจะให้เงินเธอไว้ห้าล้าน เธอกลับไปรักษาอาการป่วยของแม่ให้ดีเถอะนะ อย่ากลับมาทำงานในสถานที่แบบนี้อีกเลย!”
เสี่ยวยู่ถึงกับผงะไปชั่วขณะหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองหลินหยุนเงียบ ๆ
ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้น หรือความรู้สึกซาบซึ้งใดๆ อย่างที่หลินหยุนคิดเอาไว้บนใบหน้าของเสี่ยวยู่ แต่กลับปรากฏเป็นความรู้สึกลังเลใจขึ้นมาแทน
ดูเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ตัดสินใจอย่างเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวยู่ก็มองหลินหยุน อย่างจริงจัง แล้วคุกเข่าตรงหน้าหลินหยุนทันที
“ พี่หลิน ฉันไม่อยากได้เงิน ฉันอยากคารวะคุณเป็นอาจารย์ ฉันอยากเป็นเหมือนคุณ เป็นคนที่มีความสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเองได้เหมือนอย่างคุณ!”
ฉับพลันหลินหยุนก็เกิดความรู้สึกว่า ก่อนหน้านี้ เขาประเมินเด็กผู้หญิงคนนี้ต่ำเกินไปจริงๆ ความมองการณ์ไกลของเธอนั้น สูงกว่าที่หลินหยุนจินตนาการเอาไว้มากเลยทีเดียว
เสี่ยวยู่รักเงินมาก แต่เธอกลับไม่ได้ถูกเงินบังตา เงินห้าล้านสำหรับเสี่ยวยู่แล้ว นับว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล มันสามารถทำให้เธอมีชีวิตที่สุขสบายได้
แต่ถ้าได้เรียนรู้ฝึกฝนในสายวิชาบู๊ เปิดประตูสู่โลกใบใหม่ แน่นอนว่าในอนาคต จะต้องได้ไม่ใช่เพียงห้าล้าน แต่ต้องได้มากกว่านั้นตั้งไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าเลยไม่ใช่หรือ?
แต่การจะคารวะหลินหยุนเป็นอาจารย์ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ในสถานการณ์ของเสี่ยวยู่ หากหลินหยุนยอมถ่ายทอดเทคนิควิชาบู๊ให้กับเธอ นั่นไม่เพียงจะไม่ช่วยให้เธอได้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง แต่ยังจะไปดึงดูดความโลภของคนอื่นเสียมากกว่า
และนั่นจะเป็นการทำร้ายทั้งครอบครัวของเสี่ยวยู่ในที่สุด
“ฉันไม่รับลูกศิษย์”
“ฉันจะให้คนโอนเงินห้าล้านไปให้เธอแล้วกัน ตอนนี้เธอไปได้แล้ว”
เสี่ยวยู่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าผิดหวัง พูดด้วยรอยยิ้มฝืดฝืนว่า “ฉันนี่โลภเกินไปจริง ๆ นั่นแหล่ะ ในหนังสือก็บอกไว้แล้วนี่นะ ว่าศาสตร์วิชาบู๊ใด ๆ ต่างก็เป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักนั้นๆ จะเอามาเผยแพร่ให้คนนอกง่าย ๆ ได้ยังไงกันล่ะ?”
เสี่ยวยู่เดินออกไปด้วยท่าทางที่สับสนงงงัน ตอนนี้เธออยู่ในอารมณ์ที่เหมือนกับว่า ได้เห็นประตูบานหนึ่ง ที่เปิดออกสู่โลกใบใหม่ตรงหน้าเธออย่างชัดเจน แต่แล้วกลับถูกผู้พิทักษ์ประตูมาขัดขวางไว้อย่างไร้ความปรานีก็ไม่ปาน
สุดท้ายก็ทำได้เพียงเฝ้าดูโลกใบใหม่ที่แสนวิเศษงดงามใบนั้น ค่อยๆไกลห่างเธอออกไปเรื่อย ๆ จนเลือนหายไปในที่สุด
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังอันซึมเซาห่อเหี่ยวของเสี่ยวยู่ หลินหยุนยังคงไม่แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น การบำเพ็ญวิชาเซียน สามารถนำมาซึ่งพลังอันยิ่งใหญ่ได้ก็จริง แต่ไม่ใช่ว่าคนทุกคนจะเหมาะสมกับการฝึกบำเพ็ญวิชาเซียน
เขาปฏิเสธเสี่ยวยู่ ก็เพราะเขาหวังดีกับเธอจริงๆ