จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 1335 ลงมือโจมตี
เครื่องรางทิพย์ชั้นสูงสองชิ้นที่หลินหยุนเอาออกมา
แม้ว่าจะยังถูกนับอยู่ในหมวดของล้ำค่าชั้นสูง ทว่าแท้จริงนั้นก็ค่อนข้างใกล้เคียงกับเครื่องรางทิพย์ชั้นยอดมากแล้ว
ของแบบนี้ ในตอนต้นก็เคยกล่าวไปแล้ว ว่าหากเทียบวัดด้วยน้ำชี่ทิพย์แสนหยด
จะว่ามากก็ไม่ได้มาก
จะว่าน้อยก็ไม่ได้น้อย
น้ำชี่ทิพย์แสนหยดคือเงินก้อนใหญ่ก็จริง
แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถหาซื้อของแบบนี้ได้
ไม่งั้นทั้งโลกคุนชางนี้ เครื่องรางทิพย์ชั้นสูงก็คงจะไม่มีจำนวนน้อยขนาดนี้หรอก ส่วนเครื่องรางทิพย์ชั้นยอดก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้แต่เก้าสำนักเองก็คงมีนับชิ้นได้
ฉะนั้น หนึ่งชิ้นแลกแผ่นหยกแสดงตัวตนหนึ่งแผ่น ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ได้ยินซิงเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร ศิษย์อัจฉริยะแห่งสำนักอริยสัจนั่นก็ไม่ได้โกรธอะไร เขาเพียงแค่เผยยิ้มอ่อนๆและเอ่ยว่า หากเป็นเช่นนั้น งั้นก็คงต้องขออภัย เพราะนี่ถือว่าเป็นกฎ
หากพวกท่านใช้น้ำชี่ทิพย์ งั้นมันก็คือจำนวนหนึ่งแสน
ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะใช้ของล้ำค่าอะไร ก็ต้องคิดเป็นเจ็ดส่วนไม่ก็แปดส่วนในสิบของมูลค่าทั้งหมด
นี่ไม่ใช่การจงใจหาเรื่องใครทั้งนั้น
แต่เป็นกฎเกณฑ์ที่มีมานานแล้ว ส่วนท่านจะยอมรับหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของท่านแล้วล่ะ!
พูดเสร็จ อีกฝ่ายก็ยื่นเครื่องรางทิพย์ชั้นสูงทั้งสองชิ้นที่อยู่ในมือของตัวเองและในมือของหญิงสาวอีกคนกลับคืนมาให้
หลินหยุนพยักหน้า พลางยื่นมือรับไว้
จากนั้นก็หันกลับไปมองกลุ่มคนที่ต่อแถวอยู่ด้านหลัง พลันเอ่ยเสียงเรียบว่า ทุกท่าน เครื่องรางทิพย์ชั้นสูงที่อยู่ในมือฉันตอนนี้ เป็นของล้ำค่าที่ใกล้เคียงกับเครื่องรางทิพย์ชั้นยอด หนึ่งชิ้นต่อน้ำชี่ทิพย์แสนหยด หากมีผู้ใดต้องการแลกก็สามารถเดินขึ้นมาได้เลย
สิ้นเสียงของหลินหยุน ในศิษย์อัจฉริยะเก้าคนแห่งเก้าสำนัก ก็พลันมีชายคนหนึ่งทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเยือกเย็น และปริปากตำหนิว่า ที่นี่ใช่ที่สำหรับให้นายมาทำการค้าขายหรือยังไง?
หากต้องการแลกน้ำชี่ทิพย์ก็ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ซะ ไปแลกกันที่อื่น
อย่ามารบกวนกฎระเบียบของที่นี่!
ไม่งั้นนายได้เจอดีแน่!
สิ้นเสียงชายหนุ่มเสื้อน้ำเงินคนนี้ ทำให้ผู้คนที่เดิมต่างตื่นตาตื่นใจเงียบสงบลงทันที
พวกเขามองไปยังเครื่องรางทิพย์ชั้นสูงสองชิ้นที่อยู่ในมือหลินหยุน
แม้ว่าดวงตายังคงเป็นประกายเผยแววอยากได้ ทว่ากลับไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่คนเดียว
เพราะพวกเขาฟังความหมายแฝงในคำพูดนั้นออก
มีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าที่มีพลังบำเพ็ญเซียนอันแข็งแกร่ง
พวกเขาต่างเป็นคนฉลาดทันคน
ทันทีที่หนุ่มเสื้อน้ำเงินปริปากพูด พวกเขาก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ของสองชิ้นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะครอบครองได้!
ก็จริง
ของที่ผ่านการยืนยันมาจากศิษย์อัจฉริยะสองคนแห่งสำนักอริยสัจแบบนี้ ก็นับว่าเป็นของล้ำค่าที่ใกล้เคียงกับเครื่องรางทิพย์ชั้นยอดจริงๆ
คนอย่างพวกเขาต้องใจอยากได้
มีหรือที่ศิษย์อัจฉริยะผู้สูงส่งแห่งเก้าสำนักที่อยู่ตรงหน้านี่จะไม่ถูกตาต้องใจด้วย?
สำนักอริยสัจอาจยังดีหน่อย
เพราะยังไงก็เป็นถึงสำนักใหญ่อันดับหนึ่ง
อีกทั้งพวกเขายังเห็นแก่ภาพลักษณ์ของสำนักตัวเองเป็นอย่างมาก
คงไม่มีทางที่จะมาแก่งแย่งเป็นแน่
ทว่าคนอื่นๆนั้นก็ไม่แน่แล้ว
หลินหยุนได้ยินดังนั้นก็พลันเผยสีหน้าหม่นลง เขาหมุนตัวมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง แต่กลับไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าแล้วเอ่ยกับซิงเฟยว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเราออกจากที่นี่ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า!
พูดเสร็จ ก็หันไปเอ่ยเสียงกังวานอย่างเคร่งขรึมกับฝูงคนว่า หากมีสหายผู้ใดต้องการเครื่องรางทิพย์สองชิ้นนี้ ก็สามารถนำน้ำชี่ทิพย์มาแลกได้
สิ้นเสียง ก็พาซิงเฟยเดินออกจากฝูงคนออกไปยังที่ไกลๆ
ทว่าเพิ่งก้าวขาออกไปหนึ่งก้าว ชายหนุ่มเสื้อน้ำเงินนั่นก็ตวาดเสียงดุด้วยสีหน้าขุ่นเคืองว่า บังอาจนัก! ทั้งที่ก็เคยเตือนไปแล้วว่าอย่ารบกวนกฎระเบียบของที่นี่ก็ยังจะพูดพล่ามไร้สาระอีก!
หากวันนี้ไม่สั่งสอนนายเสียหน่อย นายก็คงจะไม่รู้ถึงความน่าเกรงขามของเก้าสำนักสินะ!
สิ้นเสียงชายหนุ่มเสื้อน้ำเงิน ฉับพลันนั้นเขาก็กระโดดลอยตัวขึ้น
แล้วพุ่งหมัดมายังหลินหยุน
หลินหยุนหันกลับไปทันที พลางพุ่งหมัดใส่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าหม่นหมองเช่นกัน
บูม—
เสียงระเบิดสนั่นขึ้น หลินหยุนยืนอยู่ที่เดิมด้วยสภาพสมบูรณ์ ส่วนชายหนุ่มเสื้อน้ำเงินนั่นกลับกระอักเลือดตัวกระเด็นออกไป
หญิงสาวเสื้อชมพูอีกคนพลันลุกยืนขึ้นมารับตัวชายหนุ่มเสื้อน้ำเงินเอาไว้
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ทุกคนต่างก็อดรู้สึกพรั่นพรึงจนใจแทบตกไปอยู่ตาตุ่มไม่ได้
สายตาที่มองไปยังหลินหยุน ก็ประหนึ่งกำลังมองสัตว์ประหลาด
โดยเฉพาะโจวฮ่าว
ที่ ณ ตอนนี้เบิกตาโพลง
แทบจะไม่อยากจะเชื่อว่าภาพตรงหน้านั้นเป็นความจริง
เขารู้ว่าหลินหยุนอยู่ในขั้นแดนยาทอง
ทว่าจากที่เขาพิจารณา ก็น่าจะไม่พ้นเพิ่งหล่อหลอมยาทองสำเร็จ
ส่วนชายหนุ่มเสื้อน้ำเงินคนนั้น เขาก็รู้ด้วยเช่นกัน
นิ่งโม่แห่งสำนักเต๋าเฉินเซียว
น้องชายฝาแฝดของศิษย์อัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสำนักเต๋าเฉินเซียวนิ่งเป่ยเฉิน
ศิษย์อัจฉริยะแดนยาทองระดับสาม มีชื่อเสียงระบือไกลเหมือนกัน แต่หากพูดถึงความน่าเคารพนับถือ เมื่อเทียบกับพี่ชายฝาแฝดนิ่งปิ่งเฉยแล้ว ก็ต้องนับว่าเป็นฟ้ากับดิน
แต่คนคนนี้ไม่ได้อ่อนแอแน่ ๆ และก็เหมาะสมพอที่จะได้รับฉายาอัจฉริยะ
ด้วยวิชาฟ้าร้องเสินเซียว แม้ว่าจะเป็นฝีมือแดนยาทองระดับสี่ ก็ใช่ว่าจะประมือด้วยไม่ได้
พลังบำเพ็ญแบบนี้ เดินไปไหนในโลกคุนชาง ก็ไม่ใช่คนที่สามารถมีเรื่องบาดหมางด้วยได้แน่ ๆ
ทว่า ชายหนุ่มผู้แกร่งกล้าอย่างไร้ข้อกังขาคนนี้ กลับถูกหลินหยุนเล่นงานจนเลือดกระอักตัวกระเด็น
หลินหยุน……แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
เพียงชั่วพริบตาเดียว โจวฮ่าวก็เข้าใจแล้ว ว่าตั้งแต่จนจบ เขาดูเบาหลินหยุนมาโดยตลอด
ส่วนศิษย์แห่งเก้าสำนักที่เหลือ รวมทั้งหนุ่มสาวคู่อัจฉริยะสองคนแห่งสำนักอริยสัจต่างก็เบิกตากว้างและเผยสีหน้าเปลี่ยนไป
พวกเขาคิดไม่ถึง ว่าหลินหยุนที่ดูน่าจะอายุใกล้เคียงกับพวกเขา จะมีพลังบำเพ็ญแกร่งกล้าถึงเพียงนี้
ทั่วทุกสารทิศพลันเงียบสงัด
ส่วนชายหนุ่มเสื้อน้ำเงินที่ถูกหญิงสาวเสื้อชมพูรับตัวเอาไว้ ก็เผยสีหน้าเขียวระคนซีดเซียว สายตาจ้องหลินหยุนเขม็งอย่างโกรธเคือง พลันเช็ดเลือดที่มุมปาก ก่อนจะตวาดเสียงอย่างโมโหว่า ดีๆๆ คิดไม่ถึงเลย ว่านายจะมีพลังบำเพ็ญถึงเพียงนี้
แต่นายคิดเหรอ ว่านี่จะให้สิทธิ์นายมากำเริบเสิบสานที่นี่ได้?
ไม่ นายกำลังรนหาที่ตายต่างหาก!
แม้ว่าเขาจะกระอักเลือด แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บหนักมากนัก
หลินหยุนลงมือนับว่ายังรู้จักหนักเบา
เขาเองก็ไม่ได้อยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย
เพราะเป้าหมายของเขาคือสุดหล้าทะเล
มาก่อปัญหาเพิ่มที่นี่ ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
แต่ว่า
หากอีกฝ่ายจงใจหาเรื่อง งั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องพูดอีก
ทันใดนั้น นิ่งโม่นั่นก็สะบัดหญิงสาวเสื้อชมพูออก ก่อนจะก้าวเหยียบบนอากาศ กลิ่นอายในตัวพลันถูกปลดปล่อยออกมา
เพียงชั่วพริบตา ก็มีสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องคำรามขึ้นกลางอากาศ
ท้องฟ้าที่เดิมยังสดใสเมื่อวินาทีก่อน พลันปรากฏเมฆครึ้มและสายฟ้า ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องลั่นสนั่น
นิ่งโม่ยื่นมือชี้ไปที่หลินหยุน พลางเอ่ยเสียงเหี้ยมว่า ไอ้เด็กเหลือขอ ขึ้นมารบกับฉัน
หลินหยุนเผยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเงยหน้ามองนิ่งโม่ที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ แล้วเอ่ยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า อย่างนายน่ะเหรอ? ยังไม่เหมาะสมพอ!
สิ้นเสียง หลินหยุนชี้นิ้วไปข้างหน้า
ทันใดนั้น พลังล่องหนขนาดใหญ่ลอยตัวออกมา พลันพุ่งไปยังบนตัวนิ่งโม่ในพริบตา
นิ่งโม่กระอักเลือดอีกครั้ง ตัวกระเด็นออกไปเป็นพันเมตร
ส่วนเมฆครึ้มและสายฟ้าที่ก่อตัวขึ้นเมื่อกี้ ก็พลันหายวับไปทันที
ท้องฟ้ากลับมาแจ่มใสอีกครั้ง
นิ่งโม่เผยสีหน้าซีดเผือด ทว่ากลับดูโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม เขาฝืนควบคุมร่างกายเอาไว้ สายฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้ง รุนแรงกว่าเก่าประหนึ่งโทสะที่ปะทุมากขึ้น
เขารู้สึกว่าถูกเหยียดหยามเป็นอย่างหนัก