จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 1339 เจ็บใจ
ทว่า แม้ว่าภายในใจเธอ ณ ตอนนี้จะรู้สึกคาดไม่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจเอ่ยปากถามที่นี่ได้
ทำได้เพียงเดินตามหลังมุ่งหน้าเข้าไปข้างในต่อ
หลินหยุนและสองเยว่เดินอยู่ตรงด้านหน้า
ทั้งคู่ไม่ได้กล่าวอะไรด้วยกันอีก
เพียงแต่ก็พอเห็นได้ชัด
ว่าหลังจากที่เห็นหลินหยุนแล้ว อารมณ์ของสองเยว่ก็พลันดีขึ้นมาทันตาไม่น้อย
เดินไปได้ไม่ไกล โจวฮ่าวก็เดินมาหาพวกเขาอย่างเร่งรีบ
พวกหลินหยุนและสองเยว่เองก็หยุดฝีเท้าลง
กระทั่งโจวฮ่าวมาถึงตรงหน้า ชายหนุ่มพลันโค้งคำนับสองเยว่และเอ่ยว่า น้อมคารวะเจ้าสำนักสองเยว่แห่งสำนักหยุนเยว่และผู้อาวุโสทุกท่าน ผมคือโจวฮ่าว เป็นเพื่อนของพี่หลิน พวกผมเดินทางมาที่นี่ด้วยกัน!
สองเยว่ไม่ตอบอะไร กลับหันไปมองหลินหยุนแทน
หลินหยุนพยักหน้าและเอ่ยว่า ไม่ผิด ทุกท่าน เราไม่ขออยู่รบกวนต่อแล้ว จึงจะขอตัวลาไปก่อน
สองเยว่ชะงัก ก่อนจะพยักหน้าตอบว่า ได้ เราทราบแล้ว
หลินหยุนพยักหน้ารับรู้กับเธอเล็กน้อย แล้วจึงจะเอ่ยกับซิงเฟยและโจวฮ่าวว่า เอาล่ะ เราไปกันเถอะ!
โจวฮ่าวได้ยินดังนั้นก็รีบโค้งคำนับสองเยว่อีกครั้ง
จากนั้นก็เดินตามหลินหยุนและซิงเฟย ทั้งสามคนเหาะเหินเดินอากาศไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ต่อ
เมื่อเห็นทั้งสามคนจากไป สองเยว่ก็อดถอนหายใจไม่ได้
สามเยว่ที่อยู่ด้านหลังรีบก้าวขาขึ้นมาหนึ่งก้าว พลันเอ่ยว่า ท่านพี่หญิงรอง เจ้าพระคุณเขา……
สองเยว่หมุนตัวหันขวับมามองสามเยว่
สามเยว่เองก็รู้ตัวว่าตนนั้นได้กล่าววาจาไม่สมควร จึงรีบเงียบปากลงทันที
สองเยว่เอ่ยว่า เราก็รีบเดินทางกันต่อเถอะ
พูดเสร็จก็เหาะเหินเดินอากาศ พวกสามเยว่เองก็รีบตามหลังไป
ส่วนพวกหลินหยุนที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ก็เห็นแท่นบูชาสูงพันจั้งขนาดมหึมานั่นจากที่ไกลๆ
แม้จะไม่รู้ว่าผ่านพายุฝนมากี่ปีแล้วบ้าง
ตอนนี้ถึงได้ไม่เหลือเค้าโครงความเฟื่องฟูเมื่อยามอดีต
แต่มองดูแล้วก็ยังคงให้ความรู้สึกน่าอัศจรรย์ใจ
ทว่าโจวฮ่าวในตอนนี้กลับไม่มีอารมณ์ชมดูแท่นบูชานั่น
เขาจดจ้องหลินหยุนไม่วางตา
สายตาที่กำลังมองหลินหยุน ก็ประหนึ่งกำลังมองสัตว์ประหลาด ขณะเดียวกันก็เสมือนกำลังมองสมบัติล้ำค่า
กระทั่งเดินทางต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง จนในที่สุดโจวฮ่าวก็อดถามไม่ได้ว่า พี่หลิน พี่……พี่เป็นใครกันแน่? ฉันขอถามหน่อยได้ไหม?
ตอนนี้ เขาชักจะเริ่มกลัวหลินหยุนขึ้นมาแล้ว
เมื่อครู่ที่หลินหยุนประมือกับนิ่งโม่
นั่นก็พอจะน่าพิศวงแล้ว
สำหรับโจวฮ่าว หลินหยุนแข็งแกร่งมากจนเลยเถิด
แดนยาทองระดับสี่ ดูท่าแล้วน่าจะยังไม่ได้แสดงฤทธิ์เดชทั้งหมดออกมาด้วยซ้ำ
หากจะบอกว่าหลินหยุนมีพลังบำเพ็ญแดนยาทองระดับห้า……
ก็ดูน่าสะพรึงไปหน่อย
หากลงมือกับเขา เกรงว่าตัวเองก็เสมือนมดแมลง
อีกอย่าง ไม่คิดเลยว่าหลินหยุนจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับสำนักหยุนเยว่
นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
หลินหยุนเอ่ยตอบเสียงเรียบว่า ไม่ใช่ใครและไม่มีความสัมพันธ์อะไรทั้งนั้น
โจวฮ่าวชะงัก
รู้สึกจนใจเล็กน้อย
แต่ถ้าหลินหยุนไม่อยากพูด งั้นเขาก็ไม่อาจถามต่อได้
โจวฮ่าวกลอกลูกตาเล็กน้อย พลันเปลี่ยนบทสนทนาว่า พี่หลิน เข้ามาแล้วทั้งที จะไม่อยู่ดูงานประลองยุทธเก้าสำนักนั่นแล้วค่อยว่ากันอีกทีเหรอ? เราจะเข้าไปยังสุดหล้าทะเลตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือยังไง?
เพราะหลินหยุนได้แสดงพลังบำเพ็ญที่แกร่งกล้า
อำนาจในการตัดสินใจและชักนำย่อมตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย
สิ้นเสียงโจวฮ่าว ซิงเฟยเองก็มองไปยังหลินหยุนและเอ่ยว่า นั่นสิ เราไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้หรอกมั้ง?
หลินหยุนหยุดฝีเท้า ยืนบนยอดเขาที่ไม่นับว่าสูงมากนัก
ก่อนจะหันมาเอ่ยกับทั้งสองคนว่า พวกเธออยากดูงานประลองยุทธเก้าสำนักนั่นเหรอ?
โจวฮ่าวตอบว่า ยังไงนี่ก็นับว่าเป็นงานใหญ่แห่งโลกคุนชาง ก็ต้องน่าตื่นตาตื่นใจอยู่แล้วล่ะ อีกอย่าง เล่าลือกันว่า ครั้งนี้สำนักเฮยสุ่ยและสำนักจวู้หลิงต่างมีโอกาสสูงที่จะได้ทดแทนตำแหน่งของสำนักหยุนเยว่และสำนักเทียนหยุนแห่งเก้าสำนักใหญ่
พี่หลิน……ดูแล้วก็น่าจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ธรรมดากับสำนักหยุนเยว่แน่ ๆ พี่ไม่อยากลองไปดูหน่อยเหรอ ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง?
หลินหยุนครุ่นคิด
ที่จริงเรื่องที่สำนักหยุนเยว่อาจถูกทดแทนตำแหน่งเก้าสำนักใหญ่นั้น ซิงเฟยเองก็ไม่ได้เคยพูดถึงเพียงครั้งเดียว
เขารับรู้มานานแล้ว
ทว่าเรื่องนี้ เขาไม่ได้เก็บมาคิดในใจมากนัก
และเขาเองก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าไปพัวพันกับเรื่องของสำนักหยุนเยว่
สำนักหนึ่ง นับตั้งแต่ที่เย่เยว่เริ่มก่อตั้งขึ้นมา ก็ถูกสืบสานมานับพันปีแล้ว
จะถูกพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร
อย่าว่าแต่เขา เกรงว่าแม้แต่เย่เยว่เอง ก็คงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนัก
ดังคำกล่าวหนึ่งของโลกมนุษย์ที่ว่า อนุชนย่อมมีบุญวาสนาของพวกเขาเอง
ยกมากล่าวที่ไหนก็นับว่าเหมาะสมเช่นกัน
หากไม่สามารถรักษาตำแหน่งเก้าสำนักใหญ่ได้ก็ใช่ว่าจะหนักหนาอะไร
มันยังไม่ได้สาหัสถึงขั้นสำนักจะถูกยุบสลาย
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง หลินหยุนก็เอ่ยว่า ก่อนจะเริ่มงานประลองยุทธเก้าสำนักยังพอมีเวลาอยู่อีกหน่อย ฉันไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ แต่หากเธอสองคนอยากดู ก็ย่อมอยู่ต่อได้!
โจวฮ่าวได้ยินดังนั้น ก็เอ่ยยิ้มๆว่า จะทำเช่นนั้นได้ยังไงล่ะ ฉันกับแม่นางซิงก็แค่พูดไปงั้น หากไม่อยู่ดูก็น่าเสียดายจริง แต่ไม่ว่างานประลองยุทธเก้าสำนักนั่นจะน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน ก็ย่อมเป็นเรื่องของผู้อื่นอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา
แน่นอนว่าก็ไม่สำคัญเท่าการเดินทางของเราในครั้งนี้
ในเมื่อพี่หลินพูดมาขนาดนี้แล้ว งั้นเราก็รีบเข้าไปยังสุดหล้าทะเลนั่นจะดีกว่า!
เข้าไปเร็วหนึ่งวันก็ได้ออกมาเร็วหนึ่งวัน อีกทั้งยังสามารถลบล้างคำสาปทางสายเลือดได้เร็วขึ้นหนึ่งวันด้วย!
พี่หลิน ฉันว่าเรารีบเดินทางกันต่อเลยดีกว่า!
ซิงเฟยได้ยินดังนั้น ก็พลันกลอกตาบนใส่โจวฮ่าวทีหนึ่ง เอ่ยว่า เจ้าคนไม่มีจุดยืน!
โจวฮ่าวหันไปมองซิงเฟย พลางเอ่ยอย่างจริงจังว่า แม่นางซิง พูดแบบนี้ได้ยังไงกัน ทีแรกที่เราสองคนอยากอยู่ดูงานประลองยุทธเก้าสำนักนั่น ก็เพราะอยากร่วมวงสนุกด้วยก็แค่นั้น!
แต่ความสนุกนั่น ยังไงก็เป็นเรื่องของคนอื่น!
พวกอัจฉริยะยอดฝีมือที่เข้าร่วมงานประลองนั่นก็มีแต่คนอื่นทั้งนั้น ไม่ใช่เราเสียหน่อย!
คำพูดของพี่หลินเมื่อกี้นี้ ทำให้ฉันได้ประจักษ์แจ้ง!
ดังนั้นฉันจึงเปลี่ยนความคิดทันที!
แม่นางซิงทำไมจึงได้เปลี่ยนความคิดช้าถึงเพียงนี้?
หรือว่ายังไม่อาจทำความเข้าใจถึงเหตุผลนี้อีกงั้นเหรอ?
นี่!
แม่นางซิง อย่าหาว่าฉันสอนเลยนะ แม่นางควรต้องพัฒนาด้านนี้อีกเยอะ!
มีคนแบบพี่หลินอยู่เคียงข้างทั้งคนแบบนี้ ก็ควรที่จะเรียนรู้จุดเด่นของพี่หลินบ้างสิถึงจะถูก!
โจวฮ่าวมองซิงเฟยด้วยสีหน้าจริงจัง เผยแววเสียดายระคนเจ็บใจ
ซิงเฟยเผยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หากสายตาสามารถฆ่าคนได้ เดาว่าวันนี้โจวฮ่าวก็น่าจะตายไปนานแล้ว เธอกัดฟันกรอด แล้วเอ่ยเสียงแค้นว่า เจ้าคนขี้ประจบ!
โจวฮ่าวได้ยินดังนั้นก็พลันถอนหายใจยาว แล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า ดูเหมือนว่าแม่นางซิงก็ยังคงไม่เข้าใจถึงเจตนาอันยากลำบากของพี่หลินสินะ! แต่ไม่เป็นไร มีพี่หลินคอยอยู่เคียงข้างตลอดแบบนี้ แม้ว่าแม่นางซิงยังไม่อาจตระหนักได้ในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร!
ซิงเฟยเผยสีหน้าขุ่นเคือง แล้วหันขวับไปมองหลินหยุน เอ่ยว่า นายช่วยฉันสั่งสอนหมอนี่หน่อยสิ!
หลินหยุนทำหูทวนลม เอ่ยเสียงเรียบว่า เอาล่ะ เราเดินทางกันต่อเถอะ!
โจวฮ่าวได้ยินดังนั้นก็เอ่ยเสียงขำว่า ใช่ๆ เดินทางกันต่อดีกว่า จริงสิพี่หลิน ไม่นานเราก็จะสามารถเข้าไปยังสุดหล้าทะเลนั่นได้แล้ว!