จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 17 คำเชิญจากโจวชิงเหอ
บทที่ 17 คำเชิญจากโจวชิงเหอ
หลินหยุนกลับถึงบ้านตระกูลเซี่ย เซี่ยเจี้ยนโก๋รอให้เขากลับมาถึงก่อน
พอกลับมาถึง โจวเฟินสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เธอดึงตัวหลินหยุนนั่งบนโซฟา แล้วพูดไม่หยุด
“เสียวหยุน วันนี้เก่งมากเลยนะ นายไม่รู้หรอกว่า พวกเพื่อนกับญาติพวกนั้นชมนายจนตัวลอยขึ้นฟ้าเลยนะ!”
“คุณลุงใหญ่บอกว่ามีเวลาจะมาขอบคุณเป็นการใหญ่ นายไม่รู้หรอกว่าสีหน้าป้าสะใภ้ใหญ่นั่นแย่แค่ไหน ใครใช้ให้เมื่อก่อนเธอดูถูกนายกันล่ะ ครั้งนี้ต้องเสียใจมากแน่ๆ!”
“วันนี้ฉันน่ะดีใจมากเลยจริงๆนะ”
เมื่อเห็นโจวเฟินมีความสุข หลินหยุนเองก็ยินดีมากเช่นกัน “น้าเฟินมีความสุขก็ดีแล้วครับ”
“ทำไมยังเรียกน้าเฟินอยู่อีก? เปลี่ยนไปเรียกแม่สิ!” โจวเฟินมองบนใส่หลินหยุน
เซี่ยเจี้ยนโก๋ที่เดินออกมาจากห้องน้ำ ก็กระแอมไอเล็กน้อย เขายังคงมีท่าทางเคร่งขรึมเหมือนอย่างเก่า
“หลินหยุน ในเมื่อนายโชคดีได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตอย่างประธานจิน จากนี้ก็ต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวัง อย่าไปล่วงเกินเขาล่ะ!”
หลินหยุนสีหน้านิ่งเรียบ ในสายตาขอพวกคนอย่างเซี่ยเจี้ยนโก๋ บางทีจินซื่อหรงก็คือคนใหญ่คนโตที่น่าสรรเสริญ แต่สำหรับมหากษัตริย์ชางฉองแล้ว จินซื่อหรงก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเท่านั้น เป็นเช่นเดียวกับมดนั่นล่ะ
เมื่อเห็นหลินหยุนไม่ได้พูดอะไรสักคำ เซี่ยเจี้ยนโก๋ก็คิดว่าหลินหยุนต้องยังเกลียดเขาอยู่แน่ เขาก็เลยทำหน้าตาอัปลักษณ์กลับเข้าห้องไป
โจวเฟินจ้องเซี่ยเจี้ยนโก๋ แล้วพูดกับหลินหยุนว่า “เสียวหยุน อย่าไปสนใจเขา ใบหน้านั่นของเขาไม่เคยมีสีหน้าดีๆได้หรอก!”
หลินหยุนพูดอย่างอบอุ่นว่า “ผมไม่เป็นไรครับ”
“นั่นสินะ เวยเวยหลับไปแล้ว จะว่าไปเมื่อไรพวกเธอจะมีเด็กอ้วนตัวโตให้ฉันกันล่ะ ฉันรอมานานแล้วนะ!” โจวเฟินพูดเสียงเบา สีหน้ารอคอยอย่างมีความหวัง ดูออกว่าเธออยากได้หลานสักคนจริงๆ
หลินหยุนรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย บทสนทนานี้จะปล่อยให้ไปต่อไม่ได้
“น้าเฟินครับ ผมเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ ขอตัวกลับห้องไปพักก่อนนะครับ” พูดจบ หลินหยุนก็รีบวิ่งเข้าไปในห้อง
“เด็กคนนี้นี่ กับฉันยังจะเขินอายอีก ตอนเข้าเรียนฉี่รดที่นอน ยังได้ฉันเป็นคนเปลี่ยนกางเกงให้อยู่เลยนะ!” โจวเฟินบ่นไปยิ้มไป ก่อนจะกลับไปยุ่งกับชีวิตของตัวเองต่อ
เมื่อกลับถึงห้องก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆโชยมา เซี่ยหยู่เวยเปลี่ยนชุดมาเป็นชุดนอนสีขาวเรียบๆ เธอเอนตัวพิงอ่านหนังสืออยู่กับหัวเตียง เส้นผมเปียกหมาดๆน่าจะพึ่งอาบน้ำเสร็จ
เซี่ยหยู่เวยก็เป็นคนสวยคนหนึ่ง ยิ่งใส่ชุดนอนสีขาวแบบนี้ คำสแลงเรียกว่าสาวงามในชุดขาว เซี่ยหยู่เวยในตอนนี้น่ะ ต่อให้เป็นหลินหยุนก็ยังอดใจเต้นแรงไม่ได้
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเป็นผู้ชายคนอื่นล่ะก็ คาดว่าจะต้องสามปีขึ้นไป สิบปีลงมาแน่ๆ
หลินหยุนเดินไปยังฟูกนอนบนพื้น เขานั่งลงทำท่าขัดสมาธิ เตรียมพร้อมที่จะเริ่มฝึกบำเพ็ญ
จู่ๆเซี่ยหยู่เว่ยก็พูดขึ้นอย่างนิ่งเรียบว่า “วันนี้ที่นายอยู่กับท่านประธานจิน นายทำอะไรไปบ้างเหรอ?”
ดวงตาของหลินไม่ได้ลืมด้วยซ้ำ เขาทำเพียงตอบไปอย่างนั้นว่า “ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่ช่วยอะไรเขาไปนิดหน่อย”
เซี่ยหยู่เวยสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย หลินหยุนเมื่อก่อนมักจะไม่พูดไม่จา ไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอด้วยซ้ำ ดูเป็นคนไร้ประโยชน์จริงๆ
แต่เธอกลับพบว่าสองวันมานี้หลินหยุนเปลี่ยนไปเล็กหน่อย ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่ถามสิบคำตอบหนึ่งคำแบบแต่ก่อน แต่กลายเป็นคนหยิ่งผยองไปแทน
การเปลี่ยนไปแบบนี้ทำให้เซี่ยหยู่เวยไม่เข้าใจจริงๆ แต่มันก็กลับทำให้เธอเพิ่มพูนความรังเกียจมากขึ้น
ถ้าหากมีความสามารถแล้วหยิ่งผยอง คนอื่นก็จะมองคุณเป็นคนมั่นใจในตัวเอง แต่ถ้าหากเป็นพวกไร้ประโยชน์แล้ววางท่าทางหยิ่งผยองตลอดทั้งวัน นั่นก็คือการรนหาที่ตายนั่นล่ะ
เธอไม่สนว่าหลินหยุนจะรู้จักกับจินซื่อหรงได้ยังไง แต่ว่าภายในใจของเธอ หลินหยุนก็ยังคงเป็นไอ้คนไร้ประโยชน์ที่เธอเกลียดขี้หน้าคนนั้นอยู่ดี
“ครั้งนี้ถือว่านายโชคดี แต่ขอเตือนนายให้นายสำนึกไว้นะว่าตัวเองเป็นใคร อย่าคิดว่าตัวเองรู้จักกับท่านประธานจินแล้วจะทำเป็นไม่สนใจใครก็ได้นะ ตัวเองมีความสามารถถึงจะเป็นพลังที่แท้จริงต่างหาก”
หลินหยุนลืมตาขึ้น แล้วมองเซี่ยหยู่เวยอย่างเย็นชา
เขารู้ว่าผู้หญิงที่ชื่อเซี่ยหยู่เว่ยคนนี้ยังคงดูถูกดูแคลนเขาอยู่ เธอคิดว่าตัวเขาวันนี้แค่ยืมใช้ศักดิ์ศรีอำนาจของชื่อจินซื่อหรงมาแอบอ้างบารมีเท่านั้น
“เซี่ยหยู่เวย บางทีในสายตาของเธอ จินซื่อหรงอาจจะเป็นคนที่อยู่สูงจนเอื้อมไม่ถึง แต่ในสายตาของผมน่ะ เขาไม่มีค่าพอให้พูดถึงด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมอาศัยน่ะ ไม่ใช่โชคชะตา แล้วก็ไม่ใช่จินซื่อหรงด้วย”
“แต่มันจะคืออะไร หลังจากนี้คุณจะได้รู้เอง”
เซี่ยหยู่เว่ยเตือนเขาด้วยความหวังดี หลินหยุนกลับไม่รับความหวังดี แล้วยังหันมาโต้เธอกลับ!
ทันใดนั้น ความรังเกียจบนใบหน้าของเซี่ยหยู่เวยก็ยิ่งลึกขึ้น
เทียบกันกับเว่ยเทียนหมิงแล้ว เธอรู้สึกว่าหลินหยุนมันก็แค่คนโง่เท่านั้นแหละ!
“พูดจาขี้โม้ใครจะทำไม่ได้กัน? ยังไงก็ถือว่าฉันเตือนนายแล้วนะ จะฟังหรือไม่ก็เรื่องของนาย!”
พูดจบ เซี่ยหยู่เวยก็หยิบหนังสือโยนเข้าไปในตู้หัวเตียง แล้วทิ้งตัวลงนอน
หลินหยุนเองก็ไม่ได้สนใจเธออีก เขาหลับตาลง แล้วเริ่มฝึกวิชากลืนสวรรค์
ระดับการบรรลุแรกของการฝึกเซียนคือระยะฝึกลมปราณ ในการฝึกลมปราณลำดับแรกคือระยะปฐมภูมิ
เมื่อวานฝึกบำเพ็ญมาทั้งคืน หลินหยุนคาดว่าตัวเขาน่าจะยังต้องใช้เวลาฝึกอีกราวๆสามวัน ก็จะสามารถไปถึงระยะปฐมภูมิขั้นแรกได้ ถึงตอนนั้นความสามารถในการป้องกันเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แม้จะเผชิญหน้ากับกระสุนธรรมดาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว
ถ้าหากเข้าสู่ระยะปฐมภูมิขั้นแรกได้ล่ะก็ ถ้างั้นหลินหยุนก็สามารถดูดกลืนชี่มหาโหดจากพระพุทธรูปพระกษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์องค์นั้นได้ แล้วยังมีชี่ทิพย์บนพระพุทธรูปที่เพิ่งได้มาวันนี้องค์นั้นด้วย
เซี่ยหยู่เวยหลับ ส่วนหลินหยุนก็หลับตาฝึกบำเพ็ญ
ทั้งคืนผ่านไปโดยไร้การพูดคุย
ตอนเช้าตรู่ ทั้งสองยังคงไปที่คลินิกเพื่อให้คำปรึกษา เซี่ยเจี้ยนโก๋กำลังตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากช่วงวันหยุดฤดูร้อนนี้ในการฝึกเซี่ยหยู่เวย ให้เธอมารับช่วงต่อในอนาคต
ความจริงแล้วเหตุผลที่สำคัญกว่านั้น เซี่ยหยู่เวยเองก็ยังไม่เข้าใจ เซี่ยเจี้ยนโก้อยากเอาความหวังทั้งหมดฝากไว้กับเซี่ยหยู่เวย เขาอยากจะหวนคืนตระกูลเซี่ยที่เป็นตระกูลแพทย์แผนจีนผ่านทางเธอ
เมื่อทั้งสองคนมาถึงคลินิก ที่หน้าประตูก็มีรถโฟล์คสีดำจอดอยู่แล้วหนึ่งคัน
เมื่อเห็นหลินหยุน ประตูรถก็ถูกเปิดออกจากด้านในทันที โจวชิงเหอที่มีทรงผมยุ่งเหยิงเดินลงมาจากรถ เขาเดินตรงมาหาหลินหยุนอย่างรีบร้อน
“คุณชายหลิน ในที่สุดผมก็หาคุณเจอสักทีนะครับ!” โจวชิงเหอสีหน้าท่าทางดูโล่งใจ
หลินหยุนถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจว่า “ผู้อำนวยการโจวรอผมอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอครับ?”
“ผมมารอคุณอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตีห้าแล้วล่ะ ยังกังวลอยู่ว่าวันนี้คุณจะไม่มาที่นี่” โจวชิงเหอพูดอย่างดีใจ
“ผู้อำนวยการโจวมาหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ?” หลินหยุนไม่เข้าใจ ในความทรงจำของเขา เขาแทบไม่เคยมีสมาคมกับโจวชิงเหอเลย
“คุณชายหลิน ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคแปลกประหลาด เคยไปหาหมอมาหลายที่แล้วแต่ก็รักษาไม่หาย ตอนนี้ทุกครั้งที่อาการกำเริบก็จะเจ็บปวดทรมานมาก ผมอยากเชิญคุณหมอหลินไปช่วยตรวจดูให้หน่อยครับ!” โจวชิงเหอมีสีหน้าเว้าวอน
ตอนแรกหลินหยุนตั้งใจว่าหลังจากมาคลินิกแล้ว เค้าก็จะแยกตัวจากเซี่ยหยู่เวย หาที่ฝึกบำเพ็ญเงียบๆสักวัน มุ่งมั่นที่จะเข้าสู่ระยะปฐมภูมิขั้นแรกให้ได้
นึกไม่ถึงว่าโจวชิงเหอจะมาขอให้เขาไปช่วยดูคนป่วยอีก
“ดูเหมือนว่าจะเป็นโรคผีเสื้อขยับปีกที่เกิดขึ้นหลังจากช่วยเด็กคนนั้น”
เพื่อเกียรติของโจวชิงเหอแล้ว หลินหยุนทนไม่ได้ที่จะปฏิเสธ ไม่ว่าจะด้วยเพราะนิสัยหรือที่เคยช่วยเขาไว้เมื่อชาติที่แล้วนั้น โจวชิงเหอก็เป็นผู้ใหญ่ที่ควรค่าแก่การเคารพคนหนึ่ง
“ได้ครับ ผู้อำนวยการโจวพาผมไปเถอะ!” หลินหยุนตอบตกลง
“ดีจังเลยครับ รีบขึ้นรถไปกันเลย!”
โจวชิงเหอเปิดประตูรถให้หลินหยุนด้วยตัวเอง ทั้งสองคนนั่งลงที่เบาะหลัง แล้วโจวชิงเหอก็พูดกับคนขับรถที่นั่งอยู่เบาะหน้าว่า “ออกรถ ไปเมืองหนานหลิง!”
“เพื่อนของผู้อำนวยการโจวคนนี้เป็นคนเมืองหนานหลิงเหรอครับ?” หลินหยุนถามอย่างสงสัย
“ครับ อีกพักคุณเจอเพื่อนคนนี้แล้ว คุณก็อย่าตกใจไปล่ะ!” โจวชิงเหอยิ้มอย่างมีเลศนัย
เมืองหนานหลิงเป็นเมืองหลวงของมณฑลหลิงหนาน เทียบกับเมืองหลินโจวที่หลินหยุนอยู่แล้วที่นั่นเจริญกว่ากันมาก
คนผู้นี้สามารถให้ผู้อำนวยการผู้สง่างามแห่งโรงพยาบาลประชาชนเมืองหลินโจวไปดูอาการป่วยด้วยตัวเองได้ คนที่กำลังจะไปเจอคนนี้จะต้องมีฐานะไม่ธรรมดาแน่!
หลินโจวห่างจากหนานหลิงร้อยกว่ากิโลเมตร รถถูกขับอย่างรวดเร็วไปจนถึงจุดหมายในเวลาเพียงสองชั่วโมงกว่า
รถหยุดลงตรงหน้าคฤหาสน์แถบหนึ่งในเขตชานเมืองหนานหลิง โจวชิงเหอพาหลินหยุนเดินไปจุดที่อยู่สูงที่สุด ตรงหน้าประตูของคฤหาสน์ที่หลังใหญ่ที่สุดนั่น
“เป็นที่นี่ล่ะครับ” คนขับรถไม่ได้มาด้วย มีเพียงแค่โจวชิงเหอและหลินหยุนเท่านั้น
ประตูคฤหาสน์เป็นประตูรั้วเหล็กที่สามารถมองเห็นทะลุไปถึงทิวทัศน์ที่สวยงามของสนามได้ หญิงสาวคนหนึ่งในชุดกระโปรงสีขาวกำลังเดินโซซัดโซเซ ก่อนที่เธอสูดหายใจรดลงบนผลองุ่น