จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 171 วิกฤติของครอบครัวตระกูลอัน
“เจ้าใหญ่ เจ้าห้า เจ้าเก้าถูกฆ่าอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามมุ่งเป้ามาที่สำนักยินซือของพวกเรา” ชายหนุ่มที่นั่งเป็นประธานนั้น พูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย
หลายคนภายในถ้ำล้วนไม่กล้าส่งเสียง บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที
กลิ่นอายเย็นแห่งความตาย ค่อยๆปกคลุมไปทั่วภายในถ้ำ
ชายหนุ่มคนนั้นพูดอย่างเยือกเย็น “สังหารลูกศิษย์ฉัน แค้นนี้จะต้องชำระ คราวนี้ พวกเราก็จะลงจากเขาอย่างเป็นทางการ เริ่มจากการจัดการเก็บมณฑลหลิงหนานก่อน!”
คนอื่นที่เหลือตาลุกวาวขึ้น ในที่สุดก็ไม่ต้องทนอยู่ในถ้ำที่มืดมนไม่เห็นแสงตะวันเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว
“ท่านอาจารย์ปราดเปรื่อง!”
ในขณะที่หลินหยุนและซูจื่อเหลียงเก็บตัวฝึกบำเพ็ญตนอยู่ในภูเขาซวนโถวเป็นวันแรกนั้น ภายในคืนเดียวนั้น เมืองทางเหนือทั้งห้าของมณฑลหลิงหนาน ถูกผู้มีวรยุทธ์สูงส่งไม่ทราบนามรับช่วงดูแลต่อแล้ว
แต่เดิมนั้นลูกพี่ใหญ่ของห้าเมืองนั้น มีจำนวนสามคนยอมสวามิภักดิ์ ที่เหลืออีกสองคนถูกสังหาร
พอถึงวันที่สาม ที่เหลืออีกห้าเมืองก็ถูกถล่มยับเยิน ลูกพี่ใหญ่ทั้งสี่คนคนถูกสังหาร สองคนนั้น คือหนึ่งในลูกน้องสิบสองคนของควีนจินหลิงหนาน เมืองทางเหนือทั้งสิบเมืองถูกถล่มราบคาบทั้งหมด
โลกบู๊ในมณฑลหลิงหนานทั้งหมดก็วุ่นวายขึ้นมาทันที เพราะว่าพวกเขาได้รับข่าวมาว่า สำนักยินซือในตำนานจะลงมาจากเขาแล้ว
เมืองทั้งเจ็ดเมืองทางใต้ที่ประกาศตัวสวามิภักดิ์ต่อหลินหยุนนั้น ต่างรู้สึกหวาดกลัว จึงรีบมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาวางแผนการรับมือ
ถึงแม้ว่าสำนักยินซือยังไม่ได้กระจายข่าวแผนการเข้าโจมตีพวกเขาออกไป ต่อให้เป็นคนภายนอกที่เดินผ่าน ก็ได้กลิ่นอายของลางเหตุเตือนภัยที่โชยมาแล้ว
ช่วงเวลาที่คับขันเช่นนั้น ควีนจินหลิงหนานที่ไม่ค่อยปรากฏตัวบ่อยครั้งนัก ก็มานั่งบัญชาการตามเมืองทางใต้ทั้งเจ็ดทันที เรียกกำลังพลสี่คนในกลุ่มจินไซทั้งหกกลับมาเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสำนักยินซือ
ในวันเดียวกันนั้นเอง สำนักยินซือก็ได้ส่งบัตรเชิญมา กล่าวอย่างไม่เกรงใจว่าจะให้ควีนจินยอมสวามิภักดิ์ ไม่เช่นนั้นจะสังหารไม่ให้เหลือ!
ควีนจินก็ได้ฉีกบัตรเชิญนั้นต่อหน้าลูกพี่ใหญ่เมืองทางใต้ทั้งเจ็ด ประกาศกร้าวว่าจะยอมสู้ตายในสนามต่อสู้ ก็ไม่ยอมสวามิภักดิ์ให้กับพวกลัทธิมารอย่างเด็ดขาด
ในวันรุ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็เกิดการปะทะกันในวงแคบๆ สถานการณ์ต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างเจ็บตายไม่น้อย
ควีนจินก็ออกศึกด้วยตัวเอง ได้ต่อสู้ชนะศิษย์ผู้พี่สี่ของสำนักยินซือ จึงได้รับชัยชนะเป็นการชั่วคราว
แต่ว่า ข่าวการได้รับบาดเจ็บของควีนจินนั้น ก็ไม่รู้ว่าถูกใครกระจายข่าวออกไป
โลกใต้ดินของเมืองทางใต้ทั้งเจ็ดนั้น ทุกคนต่างก็ระแวดระวังภัย
สำนักยินซือก็รีบส่งสารแจ้งเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ให้เวลาควีนจินคิดตัดสินใจภายในสามวัน หลังจากสามวันแล้วหากยังไม่ยอมสวามิภักดิ์ สำนักยินซือก็จะเปิดศึกเข่นฆ่าสังหารให้สิ้นซาก
ที่เมืองหลินโจว ภายในห้องลับใต้ดินบ้านพักของเจี่ยงสง
ควีนจินภายใต้หน้ากากผ้าสีดำ นอนอยู่บนเตียง สีหน้าขาวซีด อาการไอไม่หยุด
พวกลูกพี่ใหญ่อย่างเช่นเจี่ยงสงและเส้เทียนหัว สีหน้าแสดงความเป็นห่วงใย
“แค่ก แค่กแค่ก…..ติดต่อคุณหลินได้เหรอยัง?” เสียงของควีนจินอ่อนแอมาก แสดงว่าข่าวที่นางได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นเรื่องจริง
“นายหญิงคะ มือถือของคุณหลินปิดเครื่องตลอดเลยค่ะ!” หยุนเยว่พูดด้วยสีหน้ากังวล
“หรือว่า นี่เป็นเพราะฟ้าลิขิตเหรอ?” ควีนจินรู้สึกถอดใจ ตอนนี้พลังของเธอเป็นพลังที่มีพรสวรรค์สูงสุด แต่ว่าก็ยังแพ้ให้กับลูกน้องของชายหนุ่มชุดดำแห่งสำนักยินซือ
นึกถึงฝีมือร้ายกาจของชายหนุนชุดดำคนนั้น สายตาของควีนจินก็แสดงออกถึงความหมดเรี่ยวหมดแรงขึ้นมา
“ดูอายุเขาแล้ว ก็น่าจะไล่เลี่ยกับคุณหลิน แต่วิชาบู๊ที่เขาฝึกมานั้น มันไม่ธรรมดาเลยนะ”
“เขา น่าจะเป็นเจ้าของสำนักยินซือ”
“คนในหลิงหนานที่สามารถจัดการเขาได้ เกรงว่าก็มีแต่คุณหลิวเท่านั้น!”
กลุ่มคนพวกเจี่ยงสงมองไปยังควีนจิน ไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ
ตามปกติแล้วพวกเขาเป็นลูกพี่ใหญ่ที่แสนจะยิ่งใหญ่พวกนี้ มักจะได้รับการยกย่องบูชาจากสามัญชนคนทั่วไป แต่ว่าเมื่อเวลาอยู่ต่อหน้านักบู๊ที่มีฝีมือสูงส่งพวกนี้ ก็ไม่แตกต่างอะไรกับพวกมดตัวเล็กตัวน้อยเท่าไรนัก
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะทำยังไงต่อไปดี? ถ้าหากไม่สามารถติดต่อท่านปรมาจารย์หลินได้อีก?” เจี่ยงสงก็ถามขึ้นอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
พวกกลุ่มเส้เทียนหัวก็หูผึ่งขึ้นมา นี่ก็เป็นปัญหาในใจของพวกเขาที่อยากรู้ที่สุดเหมือนกัน
ควีนจินครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ถ้ายังติดต่อปรมาจารย์หลินไม่ได้อีก ใครที่ยอมสู้ตายก็ให้ตามฉันมา ถ้าไม่อยากสู้ตายก็ให้ออกไปจากที่นี่”
ทุกคนก็เงียบสงบ ไม่มีใครส่งเสียงอะไรเลย
พวกเขาเป็นเพียงแค่สามัญชนคนธรรมดา ถ้าหากไม่มีปรมาจารย์หลินออกหน้าแล้ว จะให้พวกเขาต่อสู้กับสำนักยินซือ นั่นก็หมายความว่าไม่ใช่ไปสู้ตาย แต่ว่าเป็นการไปรนหาที่ตาย
ควีนจินรู้ดีว่าพวกลูกพี่ใหญ่พวกนี้จะตัดสินใจลำบากในการเลือกข้าง ดังนั้นจึงไม่บีบบังคับให้ทุกคนต้องเลือกตัดสินใจ แต่กลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นมาทันที
“พวกแกไปเกลี้ยกล่อมลูกน้องตัวเองให้ดี ภายในพวกเราอย่าเพิ่งให้เกิดความแตกแยกกัน”
กลุ่มคนพวกเจี่ยงสงก็พยักหน้าตอบรับ “ครับ!”
ควีนจินก็พูดอีกว่า “หยุนเยว่ แกให้คนติดต่อปรมาจารย์หลินต่อไป หากมีข่าวคราวอะไร รีบมารายงานฉันก่อน”
หยุนเยว่ตอบด้วยความนอบน้อม “ค่ะ!”
ในเวลาเดียวกันนั่นเอง ณ มุมหนึ่งของเมืองหลินโจว
ชายหนุ่มสิบกว่าคนยืนล้อมอยู่หน้าบ้านของครอบครัวอันซิน คนที่เป็นหัวโจกก็คือหลานชายของเจี่ยงสง มีนามว่ากงสวี้
ข้างกายกงสวี้ จางจื่อเห้าหน้าตาเจ้าเล่ห์พูดขึ้นว่า “พี่สวี้ครับ ไอ้หน้าบากเฉียงไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงขนาดกล้ามาต่อต้านท่าน ท่านจะต้องจัดการให้เขาเข็ดหลาบไปเลย!”
ใบหน้าขาวซีดของกงสวี้ แสดงทีท่าเหี้ยมโหด ตะโกนพูดกับคนที่อยู่ในบ้านว่า “ไอ้หน้าบากเฉียง ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากแกส่งคนมาให้ฉันดีๆ ฉันก็จะปล่อยแกไป!”
ภายในห้อง ไอ้หน้าบากเฉียงและลูกน้องชายหนุ่มอีก3คน สีหน้าตื่นตระหนกยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
ครอบครัวอันซินสามคนพ่อแม่ลูก นั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก สีหน้าไม่สู้ดีนัก
คราวก่อนในงานแสดงภาพวาดของอันซินนั้น จางจื่อเห้าต้องการจะกระทบหลินหยุน เลยเชิญไอ้หน้าบากเฉียงมาก่อกวนในงาน
หลินหยุนลงมือจัดการกับไอ้หน้าบากเฉียง ไอ้หน้าบากเฉียงจึงไปเชิญลูกน้องเจี่ยงสง ที่มีนามว่าพี่ตาว
ผลก็คือ เมื่อพี่ตาวได้มาเห็นหลินหยุน ก็รีบคุกเข่าให้
แต่ว่าสุดท้ายแล้วอันซินก็ไม่ได้เอาผิดอะไรกับไอ้หน้าบากเฉียง ทำให้ไอ้หน้าบากเฉียงตาในใจรู้สึกซาบซึ้งมาก
หลังจากกลับไปแล้ว ไอ้หน้าบากเฉียงก็อบรมสั่งสอนจางจื่อเห้ายกใหญ่ แต่เจ้าหมอนั่นเก็บความโกรธแค้นอยู่ในใจมาตลอด
เมื่อสองวันก่อน ภายใต้การนำของเจี่ยงสงพี่ตาวก็ได้เข้าร่วมต่อสู้กับสำนักยินซือ แต่โชคร้ายเสียชีวิตในสนามต่อสู้ กงสวี้ซึ่งเป็นหลานชายของเจี่ยงสงก็ได้มารับผิดชอบคุมพื้นที่ของพี่ตาวแทน
จางจื่อเห้าคนนี้ก็มาเอาใจกงสวี้ คิดจะใช้แผนกดดันพ่อแม่ของอันซิน ไล่ให้ครอบครัวอันซินออกไปจากหลินโจว เพื่อที่จะบีบบังคับให้อันซินเชื่อฟังเขาแต่โดยดี
โชคดีที่ไอ้หน้าบากเฉียงพาลูกน้องมาช่วยปกป้องด้วยชีวิต ไม่เช่นนั้นอันซินก็คงถูกพวกเขาจับตัวไปนานแล้ว
อันซื่อเอินมองดูไอ้หน้าบากเฉียงด้วยความซาบซึ้ง แล้วพูดว่า “พี่เฉียง หลายวันมานี้ดีที่มีพี่มาอยู่ด้วย บุญคุณที่มีต่อครอบครัวพวกเรา ฉันไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดี”
“แต่ว่า พวกเราก็ไม่รู้จะยื้อไปทำไม พี่ไปเถอะ พวกเราไม่อยากทำให้พี่ต้องลำบาก”
“ถึงแม้ครอบครัวเราไปจากหลินโจว ก็ไม่ยอมให้คนชั่วพวกนั้นรังแกลูกสาวฉัน!” อันซื่อเอินสีหน้าเด็ดเดี่ยว มุ่งหมายจะยอมสู้ตาย
ไอ้หน้าบากเฉียงก็ไม่ได้ตอบอะไร เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้เขาอยากจะถอนตัวก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว กงสวี้ไม่ปล่อยเขาไว้แน่
อีกอย่าง ในสมองของไอ้หน้าบากเฉียงก็ยังปรากฏภาพเงาร่างของเทพเซียนมาจุตินั้น คอยย้ำเตือนให้เขาจะต้องอดทนให้ถึงที่สุด
“มีข่าวคราวคุณหลินหรือยัง?” ไอ้หน้าบากเฉียงมองไปยังอันซินแล้วถามขึ้นมา
อันซินกอดมือถือไว้ ใบหน้าที่สะสวยเต็มไปด้วยท่าทีร้อนรน “มือถือของหลินหยุนยังโทรติดต่อไม่ได้ ฉันส่งข้อความให้เขาแล้ว หวังว่าเขาคงเปิดอ่านทัน”
ไอ้หน้าบากเฉียงขมวดคิ้ว ความอดทนของกงสวี้คงจะใกล้หมดลงแล้ว ถ้าคุณหลินยังไม่มา แล้วพวกเขาต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน
นอกประตูบ้าน สายตาของจางจื่อเห้าแสดงถึงความร้อนรน “พี่สวี้ครับ พวกเราก็ให้เวลาเขาคิดตัดสินใจอยู่สามวันแล้ว ผมว่าพวกเขาคงใจแข็ง ปฏิเสธความหวังดีของพี่แล้ว พวกเราก็อย่าได้เกรงใจพวกเขาเลย”
สายตากงสวี้แสดงถึงความโหดเหี้ยม หันไปโบกมือให้ลูกน้อง “เปิดประตู!”
ช่างปลดล็อกกลอนประตูคนหนึ่งถูกลูกน้องของกงสวี้จับโยนมาตรงหน้าประตู ชายคนนั้นตกใจจนมือสั่น เอาเครื่องมือออกมา เริ่มที่จะปลดล็อกกลอนประตู
ภายในบ้าน ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวภายนอก ไอ้หน้าบากเฉียงพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “แย่แล้ว พวกเขากำลังจะปลดล็อกกลอนประตูหน้าบ้าน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ครอบครัวตระกูลอันสามคนพ่อแม่ลูกก็ตกใจสีหน้าตึงเครียด
อันซื่อเอินกัดฟันแน่น เขาในฐานะหัวหน้าครอบครัว จำเป็นที่เขาจะต้องตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
“พี่เฉียง เปิดประตูเถอะ! พวกเราก็สู้เขาไม่ได้ พวกเราจะไปจากเมืองหลินเอง”