จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 172 ความโกรธแค้นของหลินหยุน
ยามเช้าตรู่ เมฆหมอกหนาทึบ ทำให้ผู้คนมีความรู้สึกหดหู่
ภูเขาซวนโถว ทะเลสาบมังกรร้าย
เมื่อสองวันก่อน หลินหยุนได้เก็บเกี่ยวผลหลงเสียนที่สุกงอมเต็มที่แล้ว
ความจริงแล้วผลหลงเสียนไม่สามารถที่จะเก็บไว้นานได้ แต่โชคดีที่มีแหวนเก็บของ
ช่องว่างภายในแหวนเก็บของนั้น เป็นสัดเป็นส่วน ไม่ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเก็บไว้นานเท่าไหร่คุณภาพก็ไม่เปลี่ยนแปลง
เดิมทีหลินหยุนเตรียมตัวจะรีบกลับไปทันที แต่เมื่อเห็นการฝึกบำเพ็ญตนของซูจื่อเหลียงถึงได้มาถึงขั้นที่สำคัญแล้ว หลินหยุนจึงได้รอไปอีกสองวัน
ระหว่างนั้น หลินหยุนใช้หินหยกที่ซื้อมาจากตลาดมืดพวกนั้น วางค่ายกลรวมพลังขนาดเล็กไว้รอบๆตัวของซูจื่อเหลียง
การฝึกบำเพ็ญตนของซูจื่อเหลียงคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นมาก
ในที่สุด ซูจื่อเหลียงก็ฝึกถึงขั้นสูงสุดจนสำเร็จ กลายเป็นปรมาจารย์บู๊คนหนึ่ง
ซูจื่อเหลียงลืมตาขึ้นมา เก็บรวบรวมลมหายใจ ทันใดนั้นร่างกายค่อยๆลอยขึ้นกลางอากาศ ราวกับเทวดาลงมาจุติ
ฝึกบู๊ขั้นสูงสุด ล่องลอยบนอากาศ!
“ฮ่าๆๆ………”
ซูจื่อเหลียงปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น ที่แท้นี่ก็คือถึงขั้นสูงสุด!
เวลานี้ ทั่วฟ้าดินในสายตาของเขา ดูเหมือนชัดเจนยิ่งขึ้นเป็นพิเศษ อีกทั้งยังไม่ค่อยเหมือนกับที่เขาเคยเห็นเมื่อก่อนหน้านั้น
พลังแรงเช่นนี้ สุดยอดจริงๆ!
ซูจื่อเหลียงรู้สึกว่า ตอนนี้ฉันนี่ก็คือหนึ่งเดียวในใต้หล้าแล้ว!
“เรียบร้อยแล้ว พวกเราควรกลับไปได้แล้ว”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียบๆ ดังแว่วขึ้นมาข้างหู
อารมณ์ความรู้สึกที่ฮึกเหิมเต็มที่ หยิ่งผยองลำพองอย่างซูจื่อเหลียง ตกใจสะดุ้งขึ้นมา
รีบลงมายืนด้วยความนอบน้อม โน้มตัวลงแล้วตอบว่า “ครับ!”
ปรมาจารย์แล้วยังไงล่ะ? ซูจื่อเหลียงรู้สึกว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหยุนแล้ว แม้แต่ทั่วทั้งฟ้าดินนี้ก็ยังต้องสั่นไหว
……
ครอบครัวอันซื่อเอินสามคนพ่อแม่ลูกตัดสินใจเลือกที่จะออกไปจากหลินโจว พวกเขาเป็นเพียงแค่สามัญชนคนธรรมดา ไม่มีปัญญาที่จะไปสู้รบตบมือกับพวกกงสวี้
กงสวี้เพียงแค่พาพรรคพวกมาก่อความวุ่นวายไม่กี่วัน เขาและภรรยาก็ไม่มีอาชีพทำมาหากินแล้ว ถ้าอยู่เมืองหลินโจวอีกต่อไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ส่วนเรื่องแจ้งความตำรวจนั้น ไม่ต้องคิดหวังเลย เขาก็เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนแล้ว
แต่ว่า พวกเขาจะไม่ส่งให้ลูกสาวไปตกนรกอย่างแน่นอน แม้จะต้องตาย พวกเขาก็ต้องปกป้องอันซินไม่ให้ถูกทำร้าย
ไอ้หน้าบากเฉียงช่วยหารถให้ แล้วไปส่งอ่านชื่ออันด้วยตัวเอง เพราะเขาเป็นห่วงว่ากงสวี้จะมาดักทำร้ายกลางทาง
รถก็ได้ออกจากเมืองหลินโจวอย่างปลอดภัย เมื่อมาถึงชานเมือง ไอ้หน้าบากเฉียงก็รู้สึกโล่งอก
แต่ว่า ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาจากข้างหลัง แล้วเบรกกะทันหัน ขวางหน้ารถของไอ้หน้าบากเฉียงไว้
“แย่แล้ว!” ไอ้หน้าบากเฉียงรีบหักพวงมาลัย เตรียมตัวขับฝ่าออกไป
แต่ว่า ซ้ายขวาทั้งสองข้าง ก็มีรถอีกสองคันขับเข้ามา ทำให้รถของไอ้หน้าบากเฉียงถูกล้อมอยู่ตรงกลาง
ซ้ายขวาหน้าหลัง ถูกปิดตายทั้งหมด
ไอ้หน้าบากเฉียงหันจนปัญญาจึงหันหลังกลับไปมองครอบครัวตระกูลอันสามคนพ่อแม่ลูก แล้วพูดว่า “ลงรถกันเถอะ!”
กงสวี้พาลูกน้องสิบกว่าคน ติดตามด้วยจางจื่อเห้าอยู่ข้างกาย ล้อมครอบครัวอันซินไว้
“หนีไปสิ! ดูสิว่าพวกแกจะหนีไปไหนพ้น!” กงสวี้พูดด้วยใบหน้าหยิ่งผยอง แล้วจ้องมองไปหน้าอกที่ตั้งชันของอันซิน ด้วยสายตาที่เร่าร้อน
อันซื่อเอินโกรธจัด “พวกฉันก็ตกลงจะไปจากเมืองหลินโจวแล้ว แกจะเอายังไงอีก?”
กงสวี้หัวเราะขึ้นมาทันที “ฮ่าๆๆ แกคิดว่าฉันต้องการแค่ขับไล่แกออกจากหลินโจวจริงเหรอ? เป้าหมายของฉันแต่ไหนแต่ไรก็มีเพียงลูกสาวแกเท่านั้นแหละ”
“พวกแกไปจากหลินโจวก็ได้ แต่ต้องทิ้งคนสวยของฉันไว้ที่นี่!”
จางจื่อเห้าพูดเสริมอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “พี่สวี้ พี่ใช้เสร็จแล้วอย่าลืมเผื่อให้ผมด้วยนะครับ!”
กงสวี้มองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “วางใจเถอะ ส่วนของแกไม่น้อยแน่!”
จางจื่อเห้าดีใจขึ้นมาทันที ใครให้อันซินทำตัวเย็นชากับเขานักล่ะ ถ้ามาอยู่กับเขาแต่แรก ก็คงไม่ต้องมามีวันนี้หรอก
อันซื่อเอินโกรธจนตาแดงก่ำ จ้องมองกงสวี้และจางจื่อเห้า แค้นจนแทบอยากจะดื่มเลือด กินเนื้อพวกเขา
“ฝันไปเถอะ! ต่อให้ต้องตาย ฉันก็ไม่ยอมให้พวกแกทำร้ายลูกสาว!”
อันซินตกใจจนหน้าขาวซีด คนพวกนี้ช่างเลวทรามต่ำช้าเสียจริง
“ถึงแม้ว่าแกจะต้องตาย ลูกสาวแกก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือฉันอยู่ดี ฮ่าๆ!” กงสวี้หัวเราะอย่างสะใจ เดินไปยังอันซินทีละก้าวทีละก้าว
ไอ้หน้าบากเฉียงยืนขวางอยู่ตรงหน้าครอบครัวตระกูลอัน จ้องมองกงสวี้ด้วยความเคร่งขรึม “กงสวี้ ฉันขอเตือนแกให้คิดให้ดีๆ ครอบครัวตระกูลอันเป็นเพื่อนสนิทของคุณหลิน ถ้าแกกล้าแตะต้องคนในครอบครัวตระกูลอันละก็ หากคุณหลินรู้เข้าแกคิดว่าเขาจะปล่อยแกไปเหรอ?”
กงสวี้ยิ้มด้วยสีหน้าเหยียดหยามแล้วพูดว่า “หลิวเฉียง ไม่ต้องมาเอาคุณหลินอะไรนั่นมาข่มขู่ฉัน เป็นเพราะว่าพวกแกไม่เอาไหนเอง อย่าอวยไอ้หมอนั่นจนกลายเป็นยอดมนุษย์ไปเลย”
“ถ้าเขากล้ามาออกหน้าให้คนตระกูลอัน งั้นฉันก็จะทำให้เขามาได้แต่กลับไปไม่ได้!”
กงสวี้พูดอย่างเหี้ยมโหด
“พี่สวี้ครับ ลงมือกันเถอะ อย่าไปพูดมากไร้สาระกับเขาเลย!” จางจื่อเห้าคอยพูดยุแยงอยู่ข้างๆ
กงสวี้โบกมือให้กับลูกน้อง “ลุยเลย อย่าทำร้ายคนสวยของฉันก็แล้วกัน!”
ชายหนุ่มสิบกว่าคน ก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วรีบเดินเข้าไป
ชายหนุ่มสองคนยื่นมือจะไปจับอันซิน ไอ้หน้าบากเฉียงก็รีบเข้าไปขวางอยู่ตรงหน้าอันซินทันที
“พี่เฉียง ถึงเวลานี้แล้วพี่ยังหลงผิดไม่สำนึกอยู่อีกเหรอ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งแสยะยิ้ม เดิมทีเขาเคยเป็นลูกน้องของไอ้หน้าบากเฉียง แต่กลับแปรพักตร์มาอยู่กับกงสวี้
“ไม่ต้องพูดมาก ลงมือสิ!” ไอ้หน้าบากเฉียงตะคอกอย่างเย็นชา เขาขี้เกียจพูดมากกับคนทรยศพวกนี้
“ลุยเข้าไปอีกสองคน ไปจับกุมตัวไอ้หมอนั่นที่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมาให้ฉัน!” กงสวี้ตะโกนด้วยความโกรธ
“ครับ!”
ชายหนุ่มสี่คนก็รีบเข้าไป ล้อมรอบไอ้หน้าบากเฉียงเอาไว้
ถึงแม้ว่าไอ้หน้าบากเฉียงสามารถต่อสู้กับสองคนนั้นได้ก็ตาม แต่อีกสี่คนที่เข้ามาพร้อมกัน เขาก็ไม่สามารถที่จะรับมือไหวได้
ด้วยความรวดเร็ว ไอ้หน้าบากเฉียงก็ถูกจับกดให้ลงไปกับพื้น
“ฉันยอมสู้ตาย!” อันซื่อเอินเห็นท่าไม่ดี ก็รีบบุกเข้าไป คิดที่จะไปช่วยไอ้หน้าบากเฉียง
“จับเขาเอาไว้!” กงสวี้ตะคอกใส่
ชายหนุ่มอีกสี่คนก็บุกเข้าไป อันซื่อเอินที่ไม่รู้วิชาหมัดมวยก็ถูกจับไว้อย่างรวดเร็ว
“อย่าแตะต้องลูกสาวฉัน!” แม่ของอันซินก้าวเดินไปข้างหน้า ยืนขวางหน้าอันซินไว้ เหมือนแม่ไก่ที่กำลังปกป้องลูกไก่ กางปีกออกเพื่อปกป้องลูกเจี๊ยบเอาไว้
“ลากออกไป!” กงสวี้ตะคอกอย่างรำคาญ แล้วก้าวเดินเข้าไปยังอันซินทีละก้าว ดวงตาราวกับมีเปลวไฟที่กำลังโหมลุกไหม้อยู่
เมื่อเห็นชายหนุ่มสองคนมาลากแม่เธอออกไป อันซินก็ตะโกนด้วยความร้อนรน “อย่าทำร้ายแม่ฉัน ฉันยอมไปกับแกแล้ว!”
“อย่านะ!” อันซื่อเอินตะโกนราวกับเลือดตาแทบกระเด็น
หลี่นีก็ตกใจตะโกนว่า “อันซิน อย่าทำเรื่องโง่ๆนะ เขาไม่กล้าทำอะไรพวกเราหรอก!”
อันซินสีหน้าแสดงความสิ้นหวัง ใบหน้าขาวซีด เธอทนไม่ได้ที่จะมองดูพ่อแม่ตัวเองถูกรังแกต่อหน้าจริงๆ
กงสวี้งยักคิ้วขึ้น แล้วยิ้มด้วยความสะใจว่า “ทำถูกต้องแล้วล่ะ ทำตัวดีๆไม่ดีกว่าเหรอ?ทำไมต้องมาต่อสู้ขัดขืนกันล่ะ?”
กงสวี้มองดูพ่อแม่ของอันซิน ก็ยิ่งรู้สึกสะใจมากขึ้น
รังแกลูกสาวคนอื่นต่อหน้าพ่อแม่ของเขา ทำให้กงสวี้มีความรู้สึกราวกับเป็นผู้พิชิตอย่างบอกไม่ถูก
“ขอบคุณพวกแกที่เลี้ยงลูกสาวได้สวยงามเช่นนี้! จุ๊จุ๊ รูปร่างแบบนี้ หน้าตาอย่างนี้ ไม่เลวจริงๆเลย!”
สายตาของกงสวี้ มองอันซินจากหัวจรดเท้าด้วยท่าทีอารมณ์ที่รุกราน
อันซินหลับตาทำใจยอมรับกับโชคชะตา เธอตัดสินใจที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองแลกกับความตาย
แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ตอนนี้เธออยากจะเห็นหน้าหลินหยุนขึ้นมาทันที แทนที่จะเป็นคำสั่งเสียที่เธอต้องทิ้งไว้ให้กับพ่อแม่
อันซินก็รู้สึกตกใจที่ตัวเองมีความคิดเช่นนี้
“ไปกันเถอะ อันซินคนสวย !” กงสวี้เปิดประตูรถ ยิ้มด้วยสีหน้าระรื่นแล้วพูดขึ้นมา
อันซินมองไปยังพ่อแม่ สายตานั้นราวกับว่าเป็นการร่ำลาครั้งสุดท้ายในชีวิต
“อันซิน!” อันซื่อเอินและหลี่นีตะโกนเรียกพร้อมกัน
อันซินไม่ได้หันกลับไปมอง น้ำตาก็ไหลนองเต็มหน้าอันขาวผ่องของเธอ ในใจก็แอบพูดว่า “พ่อคะ แม่คะ ลูกขอโทษค่ะ ชาติหน้าค่อยตอบแทนบุญคุณของพวกท่านที่ได้เลี้ยงดูลูกมา!”
“พี่หลินหยุน ลาก่อนค่ะ!”
อันซินก้มหน้าลง เข้าไปนั่งในด้านหลังรถของกงสวี้คันนั้น
กงสวี้หัวเราะอย่างระรื่น แล้วพูดว่า “กลับไปได้!”
แต่ว่า ทันใดนั้น ทุกคนล้วนมีความรู้สึกเย็นวาบตรงแผ่นหลังขึ้นมาทันที ราวกับว่าอุณหภูมิบริเวณนี้ลดลงไปหลายองศา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? อากาศร้อนอย่างนี้ทำไมถึงรู้สึกหนาวเย็นขนลุกขนพองอย่างนี้!”
ลูกน้องสองคนของกงสวี้พูดพึมพำกับตัวเอง
“พวกแกจะพาเธอไปไหนกัน?”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังแว่วเข้ามาข้างหูทุกคน เสียงนั้นเยือกเย็นมาก ไม่มีความอบอุ่นของมนุษย์เลย ราวกับว่าเป็นเสียงที่จะมาเอาชีวิตที่ออกมาจากขุมนรกชั้นที่เก้า