จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 175 หมัดเดียวสยบเฟิงเหมียน
อันซินมองไปยังหลินหยุน สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่? ทำไมพี่หลินหยุนจึงกลายเป็นปรมาจารย์หลินแล้วล่ะ!”
“ลูกพี่ใหญ่เจี่ยงสงแห่งเมืองหลินโจว ทำไมถึงได้เคารพยำเกรงพี่หลินหยุนเช่นนี้?”
อันซินคิดจนหัวจะระเบิดก็ยังไม่เข้าใจ
แต่ว่า ฉากน่ากลัวที่หลินหยุนสังหารผู้คนมากมายด้วยความโกรธแค้นนั้น ในใจของ อันซิน ไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัว กลับทำให้เกิดรู้สึกอบอุ่นในใจ
พี่หลินหยุนสังหารผู้คนมากมายเช่นนี้ ก็เป็นเพราะทำเพื่อเธอทั้งนั้น!
สำหรับศพของกงสวี้นั้นหลินหยุนไม่ได้หันไปมองแต่อย่างไร เขาสามารถหยั่งรู้ชัดเจนได้ว่า กลิ่นอายชีวิตของกงสวี้ได้สูญสลายไปหมดแล้ว
ทันใดนั้นหลินหยุนก็หันไปมองไอ้หน้าบากเฉียง ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ไอ้หน้าบากเฉียงรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ก้มหน้าลงด้วยความนอบน้อม “คารวะท่านปรมาจารย์หลิน”
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “นายนี่ ไม่เลวเลย”
ไอ้หน้าบากเฉียงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นทันที เกือบจะล้มลงไปกับพื้นแล้ว
แต่ว่า สิ่งที่ตามมาก็คือ เลือดลมร้อนก็พุ่งขึ้นทั่วทั้งร่างของเขา คุณหลินชมฉันแล้ว! คุณหลินถึงกับออกปากชมฉันแล้ว!
ไอ้หน้าบากเฉียงมีความรู้สึกเหมือนครั้งแรกที่เข้าไปเป็นลูกน้องของพี่ตาว ความรู้สึกเลือดลมร้อนพลุ่งพล่านเช่นนั้น
“ต่อไปก็ให้เขาเป็นผู้ช่วยของคุณ” หลินหยุนหันไปมองเจี่ยงสงแล้วพูดขึ้นมา
เจี่ยงสงสะดุ้งตกใจ รีบก้มหน้าลงแล้วตอบรับว่า “ครับ!”
ไอ้หน้าบากเฉียงถึงกลับตกตะลึงมึนงง
ฉันไม่ได้ฟังผิดนะ ปรมาจารย์หลินถึงกับให้ฉันไปเป็นผู้ช่วยของลูกพี่ใหญ่เจี่ยง! นั่นมันหมายถึงว่าอยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่นเลยนะ!
นึกไม่ถึงเลยว่า ฉันไอ้หน้าบากเฉียงถึงกับมีวันที่เชิดหน้าชูตาเข้าสักวันแล้ว
หลินหยุนก็มองไปยังอันซื่อเอินสองสามีภรรยา พูดด้วยสีหน้าอบอุ่นว่า “ขอโทษครับ ผมมาช้าไป ทำให้พวกคุณต้องตกใจแล้ว”
อันซื่อเอินสองสามีภรรยาก็รีบส่ายหน้า “ไม่หรอก ไม่สายเกินไป ขอบคุณท่านปรมาจารย์หลิน!”
น้ำเสียงของพวกเขายังมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่หลินหยุนไม่ได้ใส่ใจมาก สามัญชนคนธรรมดาส่วนใหญ่ที่ได้เห็นฉากนี้แล้ว ก็ต้องตกใจกลัวเป็นธรรมดาทั้งนั้น
หลินหยุนหันมามองอันซิน หญิงสาวสดใสไฉไล ไม่ได้หวาดกลัวอย่างที่หลินหยุนคาดเดาไว้
สีหน้าหลินหยุนอ่อนโยน น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา “ไม่ได้ทำให้คุณตกใจใช่ไหม?”
อันซินส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ขอบคุณค่ะ พี่หลินหยุน!”
หลินหยุนเดินเข้าไปหา แล้วใช้มือเขี่ยปลายผมที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าผากของอันซิน อันซินดื่มด่ำความสุขด้วยการหรี่ตาทั้งสองข้าง
ท่าทางเช่นนี้ เมื่อชาติก่อนนั้นในสมองหลินหยุนได้มโนภาพไว้หลายครั้ง แต่เสียดาย ไม่ได้มีโอกาสที่จะทำจริงเสียที
รอให้เขากลับไปอยู่กับพ่อแม่บังเกิดเกล้าที่แท้จริงแล้ว และถึงเวลาที่มีสิทธิ์ยอมรับความรักของอันซินแล้ว เมื่อกลับไปหาอันซินอีกครั้ง แต่ว่าครอบครัวอันซินก็หายสาบสูญไปไม่มีข่าวคราวเลย
ในชาตินี้ ด้วยท่าทางเช่นนี้แทบจะกลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งของหลินหยุนไปแล้ว
อันซินก็ได้รับรู้ถึงความห่วงใยของหลินหยุนที่มีต่อเธอจากการกระทำของเขาครั้งนี้
เห็นสีหน้าอันอบอุ่นของหลินหยุนแล้ว ในใจที่ร้อนรนของเจี่ยงสงก่อนหน้านี้ ก็ค่อยผ่อนคลายลงแล้วจึงพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า
“ท่านปรมาจารย์หลินครับ ตอนนี้สำนักยินซือเริ่มโจมตีครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว ควีนจินพวกเธอก็ได้เริ่มเปิดศึกกับสำนักยินซือแล้ว”
“หวังว่าท่านจะรีบกลับไปบัญชาการสู้รบด้วยครับ!”
หลินหยุนมองไปยังเจี่ยงสง แล้วพูดอย่างเรียบๆว่า “ไม่เป็นไร ฉันให้ซูจื่อเหลียง ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
……
เมืองลี่ชวน เป็นเมืองชายแดนที่แบ่งเขตระหว่างเมืองทางเหนือทั้งสิบและเมืองทางใต้ทั้งเจ็ดของมณฑลหลิงหนาน
ก็เป็นเมืองทางใต้ทั้งเจ็ดเมืองที่ควีนจินเป็นผู้นำอยู่ และเป็นสนามต่อสู้ด้านหน้าของสิบเมืองทางเหนือที่ถูกสำนักยินซือรับช่วงไป
เมืองลี่ชวน เป็นอาณาเขตภายใต้ความคุ้มครองของหานกั๋วเฉียง
เพียงแต่ว่า หานกั๋วเฉียงถูกศิษย์คนที่สามของสำนักยินซือฆ่าตายไปแล้ว
เวลาเช้าตรู่ ควีนจินก็ได้นำไพร่พลหลายร้อยคนจากเมืองทางใต้ทั้งเจ็ดเมือง เคลื่อนพล อย่างเอิกเกริกไปยังเชิงเขาชิงเหยียน
ที่นี่เป็นเขตชานเมืองของเมืองลี่ชวน ปกติจะไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน ทั้งสองฝ่ายจึงเลือกที่นี่เป็นสนามต่อสู้
อย่างน้อยปัจจุบันก็เป็นสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมาย ถ้าหากต่อสู้กันในใจกลางเมืองใหญ่ ก็จะทำให้ทำการตำรวจไม่พอใจอย่างแน่นอน
ถ้าหากทำให้สังคมวุ่นวาย ทางการตำรวจก็อาจจะระดมกำลังรบทางทหารมายับยั้งก็ได้
ถึงเวลานั้น ต่อให้มีผู้แข็งแกร่งฝีมือสุดยอดระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ก็คงทำได้แต่เพียงหาทางหนีให้รอด
แต่ว่า โดยปกติแล้วทางการตำรวจก็มักจะไม่ค่อยมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกบู๊ ต่อให้ใช้กำลังรบทางทหาร แค่นักบู๊ระดับพรสวรรค์คนเดียว ก็สามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับกองกำลังทางทหารได้แล้ว
เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง นักบู๊พรสวรรค์คนหนึ่ง ก่อคดีไปทั่ว ทางการตำรวจจึงต้องใช้กองกำลังทางการทหาร ไปล้อมนักบู๊พรสวรรค์คนนี้ในเขตบริเวณภูเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
ทั้งปืนใหญ่ ปืนกลอาวุธหนักทั้งหมดก็นำมาใช้กันหมด สุดท้ายแล้วก็ต้องบาดเจ็บล้มตายสูญเสียอย่างใหญ่หลวง
ดังนั้น ขอเพียงคนในโลกบู๊ไม่ก่อกวนจนวุ่นวายมากเกินไป ทางการตำรวจก็จะไม่มายุ่งเกี่ยวด้วย
ข้างกายควีนจินนั้น ติดตามด้วยจินไซทั้งสี่ จากนั้นก็เป็นลูกพี่ใหญ่ทั้งเจ็ดเมือง เพราะว่าเจี่ยงสงติดธุระกะทันหัน จึงให้อาเฟิงทำหน้าที่แทนเจี่ยงสง ควบคุมลูกน้องทั้งหมด ของเมืองหลินโจว
ภูเขาชิงเหยียน เชิงเขาข้างล่างเป็นที่ราบว่างเปล่า ควีนจินจึงโบกมือแล้วสั่งว่า “หยุด!”
ผู้คนหลายร้อยคนก็หยุดทันที มองไปยังฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยคลื่นมหาชนมืดฟ้ามัวดิน กำลังค่อยๆเดินมายังพวกเขา
เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใกล้จนห่างกันสามสิบเมตร ชายหนุ่มชุดดำที่เดินนำหน้าอยู่ฝ่ายตรงข้ามคนนั้น ค่อยๆยกมือขึ้น
“หยุด!”
ฝ่ายควีนจินทางนี้ ในใจทุกคนล้วนแต่เคร่งเครียด ฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนคนมากกว่า ถึงสิบเท่าเลยทีเดียว
อีกทั้งควีนจินก็ยังบาดเจ็บอยู่ ส่วนชายหนุ่มชุดดำฝ่ายตรงข้ามคนนั้นปลอดภัยไร้กังวล การต่อสู้ครั้งนี้สงสัยจะโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้วสิ!
ฝ่ายตรงข้าม ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นพูดกับชายวัยชราหน้าตาขี้เหร่คนหนึ่งว่า “เจ้าสาม แกไปก่อน!”
ชายชราคนนี้เป็นลูกศิษย์คนที่สามของสำนักยินซือ พลังความสามารถเก่งกาจไม่เลวทีเดียว
เจ้าสามเดินเข้าไปอยู่ตรงกลาง ตะโกนพูดว่า “ท่านอาจารย์เคยบอกไว้ว่า ถ้าพวกคุณ ยอมสวามิภักดิ์ตอนนี้ ก็จะรักษาชีวิตไว้ได้! ไม่เช่นนั้นแล้ว ถูกฆ่าไม่เว้นสักคน!”
ข้างกายของควีนจิน หญิงสาวท่าทางพราวเสน่ห์ขยับเอวโค้งลงเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “นายหญิงคะ คราวนี้ให้ฉันเปิดเป็นคนแรกก่อนเถอะ!
ควีนจินพยักหน้า “เฟิงเหมียน ระวังหน่อย!”
หญิงสาวคนนี้ ก็คือเจ้าของหอมังกรทอง หนึ่งในจินไซทั้งหกลูกน้องของควีนจิน ฉายา ‘รอยยิ้มเชือดเฉือน’นามว่าเฟิงเหมียน
เฟิงเหมียนคนนี้ ก็เป็นนักบู๊ที่มีพรสวรรค์ระดับสูงคนหนึ่งเหมือนกัน
“ฉันมาขอรับคำชี้แนะจากท่าน!” เฟิงเหมียนยกมือคำนับเจ้าสาม ด้วยท่าทางเสน่ห์แพรวพราว
แต่เสียดายที่ว่า คนของสำนักยินซือไม่รู้จักทะนุถนอมสาวงาม
เจ้าสามแสยะยิ้ม พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ยังหลงผิดไม่สำนึกกัน ถ้าเท่านั้นแล้วฉันก็จะฆ่าแกก่อน เชือดไก่ให้ลิงดู!”
พูดจบ เงาร่างของเจ้าสามขยับอย่างว่องไว ชกหมัดออกไปยังเฟิงเหมียน
เฟิงเหมียนหน้าเปลี่ยนสี รีบรับมือต่อต้านไว้
โป้ง!
เฟิงเหมียนราวกับว่าวที่สายขาดกลางอากาศ ถูกชกจนกระเด็นปลิวออกไป แล้วตกลงมาบนพื้น อาเจียนออกมาเป็นเลือด
“เฟิงเหมียน!”
ควีนจินตกใจร้องเสียงดัง คิ้วทั้งสองข้างขมวดไว้แน่น
ลูกน้องคนอื่นต่างก็รีบแสดงความเห็นต่างๆนานา
“ฝ่ายนั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้ว! คุณหนูเฟิงเหมียนเป็นถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งในบรรดาจินไซทั้งหก รับหมัดฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แม้แต่หมัดเดียว!”
“หมดกันคราวนี้ ชายหนุ่มชุดดำฝ่ายตรงข้ามคนนั้นยังไม่ทันได้ลงมือเลย พวกเราฝั่งนี้ ยอดฝีมือสูงสุดอย่างคุณหนูเฟิงเหมียนก็พ่ายแพ้ไปแล้ว!”
“การต่อสู้คราวนี้ดูเหมือนว่า จะโชคร้ายมากกว่าโชคดีแน่เลย!”
“ถ้าไม่งั้น……..”
มีบางคนในใจก็เริ่มหวั่นไหวคิดจะหาทางหนีทีไล่
เจ้าสามแสยะยิ้ม จ้องไปยังเฟิงเหมียนที่อยู่บนพื้น “ยอมสวามิภักดิ์สำนักยินซือของฉัน แล้วจะไว้ชีวิตอันต่ำต้อยของแก!”
ใบหน้าของเฟิงเหมียนยังคงยิ้มหวานดั่งเช่นดอกไม้เหมือนเดิม ถึงแม้ได้รับบาดเจ็บก็ยังคงความเสน่ห์แพรวพราวเสมอ “ไอ้หยา ฉันไม่ชอบที่จะเป็นพวกทรยศหักหลัง เอาอย่างนี้ดีไหม แกแปรพักตร์มาอยู่กับเจ้านายฉันสิบ้านเจ้านายฉันกำลังขาดสุนัขอยู่พอดีเลย!”
“รนหาที่ตาย!” เจ้าสามโกรธจัด ยกขาขึ้นแล้วเล็งเตะไปตรงส่วนหัวใจของเฟิงเหมียน“หยุดเดี๋ยวนี้!”
มีเสียงตะคอกดังขึ้น ซูจื่อเหลียงในชุดยาวสีเขียว เหินฟ้าลอยกลางอากาศ เหาะเหินเดินอากาศมาด้วยความว่องไว
เมื่อมองไปทางฝ่ายควีนจิน ยังไม่ได้เกิดความเสียหายร้ายแรง ซูจื่อเหลียงก็โล่งอก ในที่สุดก็มาทันเหตุการณ์!
เจ้าสามรู้สึกมีกลิ่นอายพลังแรงผ่านมาด้านหลัง จึงไม่สนใจที่จะไปทำร้ายเฟิงเหมียน รีบกระโดดให้ห่างออกไปไกลกว่าห้าเมตรอย่างรวดเร็ว
เจ้าสามมองไปยังซูจื่อเหลียงที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “ล่องลอยกลางอากาศ ปรมาจารย์ขั้นสูงสุด!”
เฟิงเหมียนที่กำลังหลับตารอความตายอยู่นั้น ลืมตามองเห็นฉากนี้ ทันใดนั้น ใบหน้าก็แสดงความดีใจออกมา!
ควีนจินและลูกพี่ใหญ่ทุกคนต่างก็เบิ่งตามอง
นั่นคือ ปรมาจารย์บู๊ในตำนาน!