จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 176 ซูจื่อเหลียงปะทะซูหนัน
พวกที่อยู่ฝ่ายข้างหลัง พวกลูกน้องของลูกพี่ใหญ่ทั้งหลาย ก็ยิ่งแสดงความตื่นเต้นตกใจที่ส่งเสียงตะโกนออกมา
“โอ้สวรรค์! ฉันเห็นอะไรเนี่ย! มีคนสามารถเหาะอยู่บนท้องฟ้าด้วย!”
“นั่นคือใคร เทวดาเหรอ?”
“เทวดาลงมาช่วยพวกเราแล้ว ดีจังเลย!”
พวกลูกน้องที่เป็นคนธรรมดาทั่วไป ตื่นเต้นจนกระโดดขึ้นมา หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าลูกพี่ใหญ่ทั้งหลายควบคุมอยู่ พวกเขาก็คงบุกเข้าไปกอดขาซูจื่อเหลียงไว้แล้ว
ซูจื่อเหลียงลงมายืนอยู่ข้างตัวเฟิงเหมียน แล้วถามว่า “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เฟิงเหมียนลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มที่กระเซ้าหยอกล้อ พลันเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่สุขุมโค้งตัวลงแล้วพูดว่า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณท่านปรมาจารย์ที่ช่วยชีวิต!”
ปรมาจารย์ นั่นหมายถึงบุคคลยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของโลกบู๊
แม้แต่เฟิงเหมียนที่ชอบพูดเล่นกระเซ้าเย้าแหย่มาโดยตลอด ก็ยังจำเป็นต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเมื่อเวลาอยู่ต่อหน้า
เมื่อเห็นหน้าซูจื่อเหลียงชัดเจนขึ้นแล้ว พวกเส้เทียนหัวที่เคยเห็นหน้าซูจื่อเหลียงก็จำเขาได้ทันที
“คุณซูนี่เอง ปรมาจารย์หลินกลับมาแล้ว!”
“สุดยอดไปเลย ปรมาจารย์หลินกลับมาทันเวลาพอดี!”
ทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจ ข่าวการกลับมาของปรมาจารย์หลิน ก็แพร่สะพัดไปทั่วถึงหูทุกคนทันที
ควีนจินก็รู้สึกโล่งอก ในที่สุดปรมาจารย์หลินก็กลับมาแล้ว
แต่ว่า ในที่นี้คนที่รู้จักปรมาจารย์หลินก็มีเพียงลูกพี่ใหญ่เพียงไม่กี่คน คนอื่นๆก็เพียงแต่เคยได้ยินชื่อของปรมาจารย์หลินเท่านั้น แต่ยังไม่รู้ว่าปรมาจารย์หลินมีความสามารถเก่งกาจอย่างไรบ้าง
“ปรมาจารย์หลินคนนี้เป็นใครกันแน่? พอได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว ลูกพี่ใหญ่พวกเราทุกคนดูสีหน้าท่าทางเหมือนโล่งอก ปรมาจารย์หลินคนนี้เก่งกาจมากจริงเหรอ?” ชายหนุ่มคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ หันไปถามชายวัยชราคนข้างๆ
“ไม่แน่ใจ ได้ยินว่าร้ายกาจมาก!”
“คุณเคยเห็นปรมาจารย์หลินหรือเปล่า?” ชายหนุ่มก็ไปถามคนอื่น
“ไม่เคยเห็น ได้ยินมาว่าร้ายกาจมาก!”
ทุกคนต่างก็พูดถึงแต่ปรมาจารย์หลิน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังเต็มไปด้วยความสงสัย สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นหน้าอย่างปรมาจารย์หลินนั้นพวกเขาก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไหร่นัก
ซูจื่อเหลียงหันหน้ามา จ้องมองเจ้าสาม ด้วยสายตาเย็นชา ในกายก็เปล่งประกายความกระหายในการต่อสู้ที่แข็งกร้าวออกมา
เพิ่งจะได้เป็นปรมาจารย์หมาดๆ ซูจื่อเหลียงตอนนี้ใจร้อนอยากจะแสดงฝีมือเต็มทนแล้ว
“ฉันขอมาประมือกับแกหน่อย!”
เจ้าสามสีหน้าเคร่งเครียดทันที เขาไม่เคยคิดอยากจะเปิดศึกกับปรมาจารย์
แต่ว่า เหตุการณ์บังคับตรงหน้าหลบไม่พ้นแล้ว
“ได้!”
เจ้าสามตะโกนเสียงดัง ควันดำกลุ่มก้อนหนึ่งก็แผ่ซ่านออกมาจากตัว ใช้วิชาศพทองแดงของสำนักยินซือ ทำให้ตัวเองกลายร่างเป็นผีดิบที่สูงถึงกว่าสองเมตร
“อุ๊ย ปีศาจ!”
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนพวกฝ่ายควีนจิน หรือกลุ่มคนพวกที่อยู่ฝ่ายสำนักยินซือ ซึ่งเป็นลูกน้องคนธรรมดาทั่วไปต่างตกใจจนหน้าขาวซีดไปหมด
ต่อให้เป็นนักบู๊ สีหน้าก็ตื่นตกใจเหมือนกัน
“มาเลย ฉันก็อยากดูว่าปรมาจารย์มีความแข็งแกร่งขนาดไหนกันเชียว!”
เจ้าสามอารมณ์คึกคะนอง พลังความเร็วระเบิดออกมาทั้งหมด ใช้กรงเล็บจิกไปที่หัวใจของซูจื่อเหลียง
หากซูจื่อเหลียงเป็นปรมาจารย์ธรรมดาคนหนึ่ง อาจไม่แน่ว่าจะทำอะไรเจ้าสามไม่ได้
แต่ว่า วรยุทธ์ของซูจื่อเหลียง ได้รับการถ่ายทอดจากหลินหยุนโดยตรง เมื่อเทียบกับปรมาจารย์ในระดับเดียวกันในโลกบู๊แล้ว จะแข็งแกร่งเกินกว่าสิบกว่าเท่า
เมื่อผ่านไปสิบกระบวนท่าแล้ว ซูจื่อเหลียงออกหมัดชกไปยังหน้าอกของเจ้าสามอย่างแรง เจ้าสามแพ้แล้ว!
ซูจื่อเหลียงเตรียมที่จะสังหารเจ้าสาม แต่ว่า ในใจรู้สึกมีลางสังหรณ์ชอบกล จึงเหลียวหลังหันไปมองข้างหลัง
ก็เห็นชายหนุ่มชุดดำหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไหร่ มายืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ
ซูจื่อเหลียงตกใจสะดุ้ง เขาฝึกจนถึงบรรลุขั้นสูงสุดแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกตัวว่าชายหนุ่มคนนี้มาอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
เป็นที่แน่นอนว่า พลังความสามารถของฝ่ายตรงข้าม ต้องลึกล้ำยากที่จะหยั่งถึง!
ชายหนุ่มมองเจ้าสามที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาที่รังเกียจ แล้วตะคอกว่า “พวกไม่เอาไหน ยังไม่ไสหัวกลับไปอีก!”
“ครับ!” เจ้าสามสีหน้าอับอาย เดินกลับไปยังฝ่ายค่ายรบของเมืองทางเหนือทั้งสิบ
ชายหนุ่มชุดดำมองไปยังซูจื่อเหลียงด้วยการหรี่ตา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พลังของแกไม่เลวเลย แต่ว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน ไปเรียกปรมาจารย์หลินออกมา!”
ซูจื่อเหลียงถูกยั่วยุให้เกิดความฮึกเหิม ตอนนี้เขาได้เป็นถึงปรมาจารย์คนหนึ่งแล้ว!
“ชนะฉันให้ได้ก่อน แกก็จะได้เห็นปรมาจารย์หลินเองแหละ!”
ชายหนุ่มชุดดำดวงตาคู่นั้นดำมืดสนิท ส่องประกายภัยร้ายออกมา พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “มาเลย!”
“ระวังหมัด!”
กลิ่นอายพลังมหาศาลแผ่ซ่านออกมาจากร่างของซูจื่อเหลียง ประกายลำแสงสีเขียว ห่อหุ้มกำปั้นหมัดของซูจื่อเหลียง
หมัดนี้ ชกผ่านทะลุอากาศไป
เหล่านักบู๊ของทั้งสองค่าย ต่างมีสีหน้าที่ตื่นเต้น
“พลังชี่แท้แปลงร่าง เป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแน่แท้!”
ซูจื่อเหลียงเหินจากข้างบนลงสู่ข้างล่าง ราวกับเป็นเทวดาบนสรวงสวรรค์ลงมาจุติ ชกหมัดไปยังชายหนุ่มชุดดำอย่างแรง!
“แข็งแกร่งมาก ปรมาจารย์แข็งแกร่งจริงๆ!”
“แข็งแกร่งมาก หมัดนี้พอที่จะจัดการกับพวกนักบู๊ที่มีพรสวรรค์ติดตัวทุกคนเลย!”
“มิน่าล่ะปรมาจารย์ขั้นสูงสุดจึงถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอดแห่งโลกบู๊ที่ยังคงอยู่ ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ น่ากลัวมากจริงๆ!”
เหล่านักบู๊ทั้งหลายต่างก็แอบตกใจ ถ้าเป็นปรมาจารย์ธรรมดา อาจจะยังไม่มีความแข็งแกร่งได้เพียงนี้
แต่ว่าวรยุทธ์ของซูจื่อเหลียงได้รับการถ่ายทอดมาจากหลินหยุน ถึงแม้จะเป็นการเริ่มเข้าสู่ขั้นสูงสุดแล้วก็ตาม แต่ว่าเมื่อเทียบกับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่อยู่ในระดับต้นแล้ว มีแต่จะแข็งแกร่งกว่า
เผชิญหน้ากับการบุกโจมตีที่แข็งแกร่งของซูจื่อเหลียงแล้ว ชายหนุ่มชุดดำก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ สายตาที่มืดดำทั้งคู่ ส่องแสงประกายแปลกประหลาดออกมา
รอให้ซูจื่อเหลียงเข้าใกล้เขาภายในสามเมตรแล้ว เงาร่างของชายหนุ่มชุดดำก็หายไปจากที่เดิมทันที
ไม่มีใครได้เห็นว่าเขาขยับตัวเมื่อไหร่ แล้วก็ไม่มีใครเห็นว่าเขาหายตัวไปไหนด้วย
มีเพียงแต่เงามืดดำ แวบผ่านหน้าทุกคน ก็ไม่พบร่องรอยของชายหนุ่มชุดดำแล้ว
ซูจื่อเหลียงสะดุ้งตกใจ “แย่แล้ว!”
ซูจื่อเหลียงชกหมัดออกไปด้านข้างอย่างกะทันหัน
โป้ง!
ซูจื่อเหลียงถูกชกกระเด็นปลิวออกไป โซซัดโซเซถอยออกไปสี่ห้าก้าวจึงจะยืนตั้งตัวได้
ชายหนุ่มชุดดำคนนั้นก็ถอยหลังไปสองก้าว มองไปยังซูจื่อเหลียง นัยน์ตาที่มืดดำส่องแสงประกายมากขึ้น
“ไม่เลวนะ สามารถตามความเร็วของฉันได้ทัน!”
“เอาใหม่!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของชายหนุ่มชุดดำ ตัวเขาก็หายไปจากที่เดิมอีกครั้ง
ดวงตาทั้งคู่ของซูจื่อเหลียงหรี่ลง ด้วยการฝึกบำเพ็ญตนระดับปรมาจารย์ของเขาแล้ว ก็มองเห็นได้เพียงแค่เงามืดดำเท่านั้น ที่ลอยหมุนวนอยู่รอบๆตัว แต่ไม่สามารถที่จะจับทิศทางการจู่โจมของชายหนุ่มชุดดำได้
“ความเร็วของคนนี้น่าทึ่งมาก นอกจากอาจารย์แล้ว คงไม่มีใครสามารถเทียบเท่า!”
ทันใดนั้น ซูจื่อเหลียงเงยหน้าขึ้น ก็เผชิญกับหมัดจากท้องฟ้าของฝ่ายตรงข้ามที่ชกออกไป
โป้ง!
อีกครั้งหนึ่งที่ซูจื่อเหลียงถอยหลังไปอีกหลายก้าว
แต่ชายหนุ่มชุดดำคนนั้น คราวนี้แค่ค่อยๆลงมายืนอยู่บนพื้น ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“แกมีเพียงแต่การฝึกบำเพ็ญตน แต่ยังไม่มีวิชาศิลปะการต่อสู้เลย ฉันจะไม่เอาเปรียบแก”
ซูจื่อเหลียงรู้สึกละอายใจนัก หลินหยุนยังไม่เคยสอนวิชาศิลปะการต่อสู้ให้เขาเลย ไม่เช่นนั้นแล้วหมัดทั้งสองเมื่อครู่นี้ บางทีเขาอาจจะไม่เสียเปรียบก็ได้
“ตอนนี้ฉันจะไม่ใช้วิชาศิลปะการต่อสู้แล้ว ก็แค่ต่อสู้ซึ่งหน้ากับแกโดยตรง”
ชายหนุ่มชุดดำพูดอย่างเยือกเย็น ออกหมัดชกออกมาอีกครั้ง
ซูจื่อเหลียงตกใจมาก เขาพูดว่าเขาจะไม่ใช้ ก็ไม่ได้ใช้อะไรจริงๆ
หมัดนี้เป็นเพียงหมัดพลังแท้จริงที่ชกออกมา
ถึงแม้เขาจะเป็นศัตรู แต่ในใจของซูจื่อเหลียงก็รู้สึกเลื่อมใสฝ่ายตรงข้าม
“ดี!”
ใช้หมัดพลังบริสุทธิ์ในการต่อสู้ ซูจื่อเหลียงชอบมากที่สุด
ถึงแม้ว่าตาแก่ที่เจ้าเล่ห์เพทุบายชอบหลอกลวงปลิ้นปล้อนคนนี้ แต่นั่นเป็นเพียงเพราะว่าสถานการณ์บีบบังคับ นิสัยโดยแท้ของเขาก็ยังคงชอบการที่จะทำอะไรตรงไปตรงมามากกว่า
ดังนั้น วิธีการต่อสู้ของชายหนุ่มชุดดำ ตรงกับใจของซูจื่อเหลียงทีเดียว
ต่อจากนั้น ทั้งสองคนก็ยกเลิกการใช้กระบวนท่าใดๆ ใช้แต่เพียงพลังงานบริสุทธิ์ในการต่อสู้กัน
หนึ่งหมัด!
สองหมัด!
สามหมัด………
เมื่อชกผ่านไปแล้วสิบหมัด ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ที่ซูจื่อเหลียงฝึกฝนมาจะแข็งแกร่งกว่านักบู๊ทั้งหลายก็ตาม แต่ตอนนี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว
พลังชี่แท้ถูกใช้ไปเกินครึ่งแล้ว พลังของหมัดทุกหมัดก็อ่อนแอลง
แต่ว่าเมื่อหันกลับไปดูคู่ต่อสู้ แทบจะไม่รู้สึกความเหนื่อยล้าเลย พลังแรงก็ยังแข็งแกร่งเหมือนเช่นเดียวกับหมัดแรก
ในใจซูจื่อเหลียงเริ่มเคร่งเครียด
ค่ายรบของทั้งสองฝ่าย มองดูใช้พลังบริสุทธิ์ในการต่อสู้ของทั้งสองคน ทุกคนล้วนแสดงท่าทีน่าทึ่งตกใจ!
นั่นมันไม่เหมือนกับสองคนกำลังต่อสู้กัน แต่เหมือนรถถังสองคันกำลังไล่ยิงกัน แกยิงระเบิดมาหนึ่งลูก ฉันก็ยิงกลับไปหนึ่งลูก
ทุกครั้งที่หมัดทั้งสองคนปะทะกัน ก็จะเกิดเสียงดังมหาศาลขึ้น เหมือนเสียงระเบิดดังขึ้น
“พลังแรงของคน ทำไมถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”
ในใจทุกคนต่างก็คิดเช่นเดียวกัน