จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 177 เขาก็คือปรมาจารย์หลิน
หลังจากผ่านไปแล้วสิบสองหมัด ในที่สุดซูจื่อเหลียงก็สู้ไม่ได้ จึงต้องพ่ายแพ้ไป
“คุณซู!”
ควีนจินตกใจตะโกนเสียงดัง จินไซทั้งสองที่เป็นลูกน้องก็รีบเข้าไปพยุงซูจื่อเหลียงไว้
ยังดีที่ชายหนุ่มชุดดำฝ่ายตรงข้ามคนนั้นไม่ได้ฉวยโอกาสเข้ามาจู่โจม เพียงแต่ยืนอยู่ที่เดิม มือทั้งสองไขว้หลัง ด้วยท่าทีที่เหยียดหยามผู้คนทั่วใต้หล้านี้
“สวามิภักดิ์ หรือว่าตาย!”
น้ำเสียงชายหนุ่มเย็นชา ไม่มีความรู้สึกเมตตาแต่อย่างไร นี่ก็คือโอกาสครั้งสุดท้ายที่เขาจะให้กับพวกกลุ่มควีนจินทั้งหลาย
ซูจื่อเหลียงเช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก หันหลังแล้วกวาดสายตาไปยังกลุ่มผู้คนที่สีหน้าตึงเครียดทั้งหลาย
“อา….ปรมาจารย์หลินกำลังจะมาถึงแล้ว ขอให้ทุกคนอดทนไว้!” ซูจื่อเหลียงคิดว่าใช้คำว่าปรมาจารย์หลินแทนคำว่าอาจารย์จะส่งผลดีมากกว่า
บางคนที่คิดจะยอมแพ้ เมื่อได้ยินก็เริ่มลังเลใจ
ควีนจินมองไปยังกลุ่มลูกพี่ใหญ่ทั้งหลาย พูดด้วยเสียงต่ำว่า “ถ่ายทอดคำพูดลงไป ปรมาจารย์หลินจะมาถึงแล้ว ขอให้ทุกคนอดทนไว้!”
กลุ่มลูกพี่ใหญ่ทั้งหลายก็เข้าใจดี ตอนนี้จำเป็นที่จะต้องพยุงขวัญกำลังใจนักรบไว้ ไม่เช่นนั้นถ้าพวกเขารอปรมาจารย์หลินไม่ไหว ก็จะเกิดความวุ่นวายกับพวกเขาเองด้วย
ชายหนุ่มชุดดำกวาดสายตาไปยังกลุ่มคน หันหลังกลับไปยังค่ายรบของตัวเอง
“ลุยเข้าไป!”
“ครับ!”
ศิษย์ผู้พี่คนที่สองคนที่สามแห่งสำนักยินซือ และลูกน้องสำนักอื่นๆ ก็รีบพร้อมใจกันตะโกนเสียงดังว่า “ลุยเข้าไป!”
“บุกเลย!”
การที่ชายหนุ่มชุดดำได้รับชัยชนะ พวกกลุ่มคนเมืองทางเหนือทั้งสิบรู้สึกมีขวัญกำลังใจที่ฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น
หันมามองไปทางค่ายรบฝ่ายเมืองทางใต้ทั้งเจ็ด ทุกคนต่างระแวดระวังภัย มองเห็นฝ่ายตรงข้ามมีคนจำนวนมากเช่นนี้กำลังบุกเข้ามา บางคนที่ขี้ขลาดขาทั้งสองก็เริ่มสั่น
ซูจื่อเหลียงจิตใจร้อนรน “ท่านอาจารย์ ท่านจัดการทางนั้นเสร็จแล้วยัง? ถ้าท่านยังไม่มาไม่ทัน วันนี้คนพวกนี้ก็จะต้องตายอยู่ที่นี่แน่นอนเลย!”
ระยะห่างสามสิบเมตร ก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นยี่สิบเมตร สิบเมตร……
การต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายจึงเริ่มขึ้นแล้ว ฝ่ายควีนจินทางนี้ตั้งแต่ลูกพี่ใหญ่จนถึงลูกน้องตัวเล็ก แต่ละคนสีหน้าแตกตื่น เหมือนเผชิญการสู้รบครั้งยิ่งใหญ่
ทันใดนั้น ซูจื่อเหลียง ควีนจิน ชายหนุ่มชุดดำฝั่งตรงข้ามนั้น รวมทั้งลูกศิษย์หลายคนของเขาเหมือนมีความรู้สึกอะไรบางอย่าง ทุกคนต่างมองไปยังท้องฟ้าทางตะวันตกอย่างพร้อมเพรียงกัน
ลำแสงสว่างสีเขียวราวกับเป็นแสงดาวตก พุ่งลงมาอย่างรวดเร็ว ค่อยๆปรากฏชัดเจนขึ้นต่อหน้าสายตาทุกคนสุดท้ายเปลี่ยนเป็นลูกศรลำแสงสีเขียว
โป้ง!
เสียงดังลั่นขึ้น ลูกศรลำแสงสีเขียวราวกับเป็นขีปนาวุธลูกหนึ่ง ตกลงระหว่างกลางค่ายรบของทั้งสองฝ่ายที่กำลังจะเกิดการต่อสู้กันขึ้น
“โอ๊ย!”
พวกกลุ่มคนที่บุกเข้าไปก่อนหน้าหลายคน ตกอยู่ในรัศมีวงรอบของลูกศรลำแสงสีเขียว กลายเป็นแพะรับบาปทันที ถูกลำแสงสีเขียวระเบิดกระเด็นปลิวออกไป ร่าง
แหลกเหลวไม่มีชิ้นดี
ซูจื่อเหลียงในใจรู้สึกโล่งอก “ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!”
ชายหนุ่มชุดดำยกมือขึ้น ตะโกนออกไปว่า “หยุด!”
กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังรีบหยุดอยู่กับที่ มองดูคนที่ถูกระเบิดกระเด็นออกไปด้วยความตื่นตกใจ
ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันเพียงแค่ห้าเมตร จากนั้นก็เริ่มจะเผชิญหน้ากันอีกครั้ง
“เมื่อกี้มันคืออะไร? ขีปนาวุธเหรอ? หรือว่าอาวุธเลเซอร์?”
“น่ากลัวมากเลย เจ้าหมาน้อยกับเจ้าเสือบุกไปข้างหน้าสุดเมื่อครู่นี้ ถูกระเบิดสลายไปทั้งตัวเลย!”
กลุ่มคนที่เป็นพวกลูกน้องต่างก็แสดงความเห็นต่างๆนานา ตื่นตกใจขวัญกระเจิง
หางออกไปไม่ไกลนัก มีคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆเดินเรียงรายเข้าใกล้ค่ายรบของทั้งสองฝ่าย กลุ่มคนพวกเมืองหลินโจวเมื่อเห็นแล้ว รีบตะโกนว่า “ลูกพี่ใหญ่เจี่ยงกลับมาแล้ว!”
“ลูกพี่ใหญ่เจี่ยงกลับมาแล้ว!”
“ไอ้หนูน้อยที่เดินอยู่ข้างหน้าลูกพี่ใหญ่เจี่ยงเป็นใครกัน? ใครกล้าที่จะเดินนำหน้าลูกพี่ใหญ่เจี่ยงได้!”
“นั่นสิ เจ้าหนูน้อยคนนั้นเป็นใคร? ถึงได้ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย!”
“หุบปาก นั่นคือปรมาจารย์หลิน!” อะเฟิงตะโกนด่าออกไป ถ้าให้ลูกพี่ใหญ่เจี่ยงได้ยินคำพูดของเจ้าโง่สองคนนี้เข้า ตัวเองจะต้องถูกด่าเป็นชุดแน่เลย
“อะไรนะ! เขาก็คือปรมาจารย์หลิน!”
“เป็นไปได้อย่างไร?”
คำอุทานตกใจเสียงดังของคนทั้งสองถูกแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว
“แม่งเอ๊ย เป็นไปไม่ได้มั้ง! นี่ก็คือปรมาจารย์หลินเหรอ? ยังหนุ่มไปหรือเปล่า!”
“โกหกคนละมั้ง! ปรมาจารย์ที่ไหนอายุอย่างน้อยก็ต้องมีเจ็ดแปดสิบปีทั้งนั้น ไอ้หนูน้อยคนนี้อย่างมากอายุก็แค่ยี่สิบปี ทำไมถึงกล้าเรียกตัวเองว่าปรมาจารย์!”
สายตาทุกคนล้วนมองไปยังชายหนุ่มชุดกีฬาสีขาวที่ค่อยๆเดินเข้ามา
ควีนจินและลูกพี่ใหญ่ทั้งเจ็ดเมือง ก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ “ท่านปรมาจารย์หลิน!”
หลินหยุนพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าซูจื่อเหลียง มองดูซูจื่อเหลียง ด้วยสายตาสั่นไหวเล็กน้อย
“บาดแผลของคุณไม่เป็นไร พักผ่อน 2-3 วันก็ดีขึ้นแล้ว แต่ว่ามีคนที่สามารถทำร้ายคุณได้ นั่นกลับเป็นเรื่องที่ทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจมากกว่า”
หลินหยุนหันกลับไป กวาดสายตาไปยังกลุ่มผู้คน จากนั้นก็จ้องไปยังชายหนุ่มชุดดำ
“เอ๊ะ น่าสนใจดีนะ”
ชายหนุ่มชุดดำมองมายังหลินหยุน พูดอย่างเย็นชาว่า “คุณก็คือปรมาจารย์หลินหรือ?”
“ใช่แล้ว” หลินหยุนตอบรับด้วยท่าทีสบายๆ
เมื่อได้ยินที่หลินหยุนยอมรับจากปากของตัวเอง ภายในค่ายรบของเมืองทางเหนือทั้งสิบก็เกิดเสียงหัวเราะกึกก้องขึ้นมาทันที
เมื่อตอนที่หลินหยุนอยู่บนเวทีสมาคมประลองยุทธ์นั้น ชกแค่สามหมัดเท่านั้นก็ทำให้ปรมาจารย์กู่จบชีวิตในทันที ลูกพี่ใหญ่ของเมืองทางใต้ทั้งเจ็ดก็เคยเห็นความเก่งกาจสะท้านโลกันตร์ที่น่ากลัวของหลินหยุนแล้ว
แต่ว่า พวกลูกพี่ใหญ่ฝ่ายเมืองทางเหนือทั้งสิบกลับไม่เคยได้เห็น พวกเขาจึงไม่เชื่อสายตาว่าชายหนุ่มที่อายุยี่สิบกว่าคนนี้ ก็คือปรมาจารย์หลินที่เลื่องลือในตำนานที่มีความเก่งกล้าสามารถครอบคลุมไปทั่วใต้หล้า!
ลูกพี่ใหญ่ของเมืองหวยหยางจางกั๋วเหา ส่งเสียงหัวเราะดังขึ้น “มันน่าขำจริงๆ คนพวกเจี่ยงสงนี้สงสัยหัวสมองถูกลาโง่เตะเข้าให้แล้วมั้ง? ถึงขนาดต้องเคารพนอบน้อมไอ้เด็กเมื่อวานซืนคนนี้!”
“ปรมาจารย์หลินอะไรกัน! เหลวไหลทั้งนั้น! ฉันใช้แค่มือข้างเดียวก็บีบเขาให้ตายคามือแล้ว!”
“น้องจาง ฉันว่าสงสัยพวกคนของเจี่ยงสงตั้งใจอุปโลกน์ปรมาจารย์หลินคนนี้ออกมา เพื่อทำให้พวกเราตื่นตกใจกลัวไม่กล้าลงมือ ปรมาจารย์หลินคนนี้ เป็นพวกแอบอ้างสวมรอยชัดๆ!” ลูกพี่ใหญ่อีกคนพูดขึ้น
เมื่อได้ยินพวกลูกพี่ใหญ่ก็ไม่เชื่อถือ ลูกน้องตัวเล็กตัวน้อยก็ยิ่งไม่ระแวดระวัง
“ฮ่าๆๆ ขำกลิ้งเลย ที่แท้นี่คือคนที่ได้ชื่อว่าปรมาจารย์หลินเหรอ! เพิ่งจะหย่านมไปไม่นานก็ออกมาสร้างเรื่องโกหกไปทั่วแล้วเหรอ?”
“ปรมาจารย์หลินหรือ? ฮาฮา งั้นฉันก็เป็นปรมาจารย์หวัง แกก็เป็นปรมาจารย์เสิ่ง ฮ่าๆ!”
“ทางนั้นก็ยังมีปรมาจารย์จาง ปรมาจารย์เฉิง ปรมาจารย์หู………”
“ฮ่าๆๆ………….”
“น่าขำที่พวกเจ้าโง่ฝ่ายตรงข้ามทางนั้น ถึงกับถูกเด็กเมื่อวานซืนมาหลอกจนหัวหมุน พวกกระจอกหน้าโง่จริงๆ!”
กลุ่มคนฝ่ายเมืองทางเหนือทั้งสิบ เริ่มต้นจากการพูดจากระแนะกระแหนภายในก่อน เมื่อได้ยินว่าลูกพี่ใหญ่ตัวเองก็ไม่เชื่อถือปรมาจารย์หลิน ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกจองหองพองขนยิ่งขึ้น
“เฮ้ย พวกพี่น้องฝั่งตรงข้าม นี่ก็คือดวงดาวกู้ชีพที่พวกแกรอคอยเหรอ? ยังมีปรมาจารย์หลิน ถุย! ถ้าเขาเป็นปรมาจารย์ได้ งั้นพวกเราทุกคนก็ต้องเป็นพ่อของปรมาจารย์ของเขาล่ะสิ!”
“พวกเจ้าโง่บรรลัย ถึงกับถูกเด็กเมื่อวานซืนหลอกได้ น่าขายหน้าจริง!”
กลุ่มคนพวกนี้ก็หัวเราะเยาะเย้ยกลุ่มคนฝ่ายเมืองทางใต้ทั้งเจ็ด
เจี่ยงสงและลูกพี่ใหญ่ทั้งหลาย สีหน้าเคอะเขิน แต่ว่าพวกเขาก็สามารถที่พอจะเข้าใจความคิดของคนฝ่ายตรงข้ามได้
หากไม่ใช่เพราะเคยเห็นความเก่งกล้าสามารถครอบคลุมทั่วใต้หล้าของหลินหยุนด้วยสายตาตัวเองแล้ว พวกเขาก็ไม่เชื่อว่าชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบคนนี้จะเป็นปรมาจารย์หลินที่มีความเก่งกล้าสามารถครอบคลุมทั่วใต้หล้านี้
พวกเจี่ยงสงเคยเห็นหลินหยุนแสดงพลังแรงอันยิ่งใหญ่แล้ว แต่ว่าลูกน้องปลายแถวพวกนั้นยังไม่เคยได้เห็น
เดิมทีพวกเขาก็สงสัยอยู่ว่าหลินหยุนคนนี้จะเป็นปรมาจารย์หลินจริงหรือไม่ แต่ตอนนี้ถูกฝ่ายตรงข้ามด่าทอ ก็รู้สึกอับอายจนหน้าแดง
“แม่งเอ๊ย ฉันรู้สึกว่าลูกพี่ใหญ่พวกเราจะถูกหลอกแล้ว ปรมาจารย์อะไรเหลวไหลทั้งนั้น มันจะมีปรมาจารย์อะไรที่อายุน้อยเพียงนี้เหรอ?”
“ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ต้องโทษไอ้หมอนี่ ทำให้พวกเราต้องมาขายหน้าไปด้วย!”
“ใช่แล้ว ว่างมากรึไงที่มาปลอมตัวเป็นปรมาจารย์อะไรเนี่ย! อยากตายก็อย่ามาทำให้พวกเราเดือดร้อนไปด้วยสิ!”
พวกลูกน้องตัวเล็กตัวน้อยฝ่ายค่ายรบเมืองทางใต้ทั้งเจ็ด ก็เริ่มไม่พอใจพลันด่าทอสาปแช่งหลินหยุนไปด้วย
พวกกลุ่มลูกพี่ใหญ่เจี่ยงสง ได้ยินแล้วก็ตกใจเกือบตาย รีบตะโกนด่าออกไป “พูดอะไรกัน! อยากตายหรือพวกแก!”
ภายใต้การควบคุมของลูกพี่ใหญ่ทั้งหลาย เสียงด่าทอของพวกลูกน้องปลายแถวก็ค่อยๆสงบลง แต่ว่าในใจก็ยิ่งดูถูกหลินหยุนมากขึ้น
พวกเขารู้สึกว่า ถ้าหลินหยุนเป็นปรมาจารย์หลินที่มีความเก่งกล้าสามารถครอบคลุมทั่วใต้หล้านี้จริง ก็ควรจะรีบพิสูจน์ตัวเอง แต่ไม่ใช่อาศัยพวกลูกพี่ใหญ่มากดดันพวกเขาเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าหลินหยุนไม่พูดจาอะไรเลย ฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งเชื่อแน่ว่า ที่พูดว่าเป็นปรมาจารย์หลินนั้นก็คงเป็นพวกที่แอบอ้างสวมรอยคนหนึ่งเท่านั้น
ลูกพี่ใหญ่เมืองหวยหยางจางกั๋วเหาก็ยืนออกมา เดินไปยังข้างกายชายหนุ่มชุดดำ แล้วยกมือทั้งสองคารวะ “ท่านเจ้าสำนัก นี่เป็นปรมาจารย์หลินอะไรกัน ให้ผมช่วยท่านจับกุมเขาเอาไว้ก่อน!”