จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 197 มันเป็นของเด็กเล่น
ใช่สิ เมื่อครู่นี้หลิ่วซิงทำร้ายไอ้หินจนบาดเจ็บ ก็ไม่ใช่พูดคำนี้ขึ้นหรอกเหรอ?
มันคือวัฏจักรแห่งสวรรค์ กรรมตามสนอง!
คิดไม่ถึงว่าคำพูดนี้ จะย้อนกลับมายังหลิ่วซิงได้รวดเร็วขนาดนี้
“นอกจากนี้ ทำไมข้ารู้สึกว่าหลินหยุนจงใจที่จะกระทำ! ” เพื่อนนักเรียนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
“ยังดีที่หลิ่วซิงได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ไม่อย่างนั้น ถ้าหากหลิ่วซิงได้ยินเข้า ว่าเขานำคำพูดมาเยาะเย้ยผู้อื่น แล้วถูกคนอื่นใช้เยาะเย้ยกลับไปที่ตัวเขาเอง เกรงว่าจะโมโหจนกระอักเลือด”
แต่ เกรงว่าเพื่อนนักเรียนคนนี้จะหลงลืมไปแล้วว่า แม้หลิ่วซิงจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบกับการได้ยินสักหน่อย!
ดังนั้น คำพูดนี้ของหลินหยุนหลิวซิงได้ยินทุกคำจนหมดสิ้น
จากนั้น หลิ่วซิงก็กระอักเลือดออกมาโดยพลัน แล้วก็สลบไป
จางซือจู่กับอีกหลายคน เห็นสภาพนั้นแล้วก็รู้สึกเหมือนได้ระบายความโกรธออกมา ถ้าหากว่าผู้ฝึกสอนไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว พวกเขาทั้งหลายก็คงจะแสดงความดีใจกันยกใหญ่ไปแล้ว
สะใจ มันช่างสะใจเสียจริง!
หลิ่วซิงนายไม่ใช่ว่าจะเบ่งอวดดีนักหรือไง? ไม่ใช่บอกว่าพวกเราไร้ความสามารถหรือไง? ตอนนี้ต่อหน้าหลินหยุนนายเองก็ เป็นแค่เพียงผู้ไร้ความสามารถเช่นกัน!
หวางหยู่หันโมโหจนอกจะแตกตาย และร้องตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ผู้ฝึกสอน คุณฟังสิ เขาทำร้ายเพื่อนนักเรียนแล้ว นึกไม่ถึงว่ายังจะพูดดูถูกเหยียดหยามกันอีก ถ้าคนแบบนี้ไม่ได้รับการลงโทษแล้ว คงจะขัดต่อหลักธรรมแห่งสวรรค์ทนยอมรับไม่ได้จริง ๆ! ”
ผู้ฝึกสอนจ้องไปที่หวางหยู่หัน เธอทำแบบนี้เหมือนเป็นการบังบังคับให้กระทำกันชัด ๆ!
“นั่งลงก่อน จะจัดการอย่างไรนั้นมันเป็นเรื่องของข้า ไม่ต้องให้คุณมาเป็นกังวลเดือดร้อน” ผู้ฝึกสอนพูดกลับอย่างเย็นชา
เห็นผู้ฝึกสอนโมโห หวางหยู่หันทำได้เพียงนั่งลงอย่างไม่เต็มใจ
ผู้ฝึกสอนหันไปมองที่หลินหยุน พูดขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า “หลินหยุน นายทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยแล้ว! ”
หลินหยุนพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าไม่รู้สึกเช่นนั้น”
ผู้ฝึกสอนขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าหลินหยุนที่อยู่เบื้องหน้าไม่เหมือนกันกับตอนช่วงก่อนหน้านี้
หลินหยุนก่อนหน้านี้เป็นคนที่ไม่ชอบพูดจาปราศรัย ถูกรังแกกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ แม้ว่าจะถูกชกต่อยทำร้ายก็จะไม่ปริปากออกเสียง
แต่ทว่า ตอนนี้หลินหยุนก็ยังคงไม่ชอบพูดจาปราศรัยเช่นเดิม แต่ไม่ได้เป็นผู้ถูกรังแกกลั่นแกล้งอีกแล้ว อีกทั้ง ร่างกายของเขายังแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความโอ้อวดหยิ่งผยองอีกด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลิ่นอายนั้น ยังส่งผลกระทบไปถึงผู้ฝึกสอนด้วย
“นายสมควรที่จะแสดงความขอโทษต่อหลิ่วซิง” ผู้ฝึกสอนพูดด้วยเสียงอันทุ้มต่ำ
หลิ่วซิงมีชาติตระกูลที่สูงศักดิ์ แต่นี่คือการประลองต่อสู้จริง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับบาดเจ็บ เขาจึงไม่สามารถที่จะลงโทษหลินหยุนต่อหน้าทุกคนได้
แต่ทว่า เขาจะต้องทำทีแสดงออกมาบ้าง อย่างน้อยเพื่อให้คนในครอบครัวของหลิ่วซิงได้เห็นถึงลักษณะท่าทีของเขา
ได้ยินผู้ฝึกสอนเร่งเร้าให้หลินหยุนแสดงความขอโทษ จางซือจู่ก็ทนต่อไปไม่ไหว พูดขึ้นอย่างเย้ยหยันว่า “ช่างน่าขันเสียจริง! ”
“ผู้ฝึกสอน ตอนที่ไอ้หินถูกหลิ่วซิงชกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ทำไมนายถึงไม่ให้หลิ่วซิงแสดงความขอโทษบ้างล่ะ! อีกทั้ง นายพูดอะไรออกไปบ้างนายจำได้ไหม? ”
ผู้ฝึกสอนสีหน้าไม่ดี
จางซือจู่พูดต่ออย่างเย็นชาว่า “ถ้าหากนายหลงลืมไปแล้ว ไม่เป็นไร ข้าจะพูดซ้ำให้นายฟังอีกรอบ! ”
“ตอนนั้นนายพูดว่า ถ้าหากมีใครสามารถแสดงฝีมือทำร้ายหลิ่วซิงจนบาดเจ็บเหมือนอย่างไอ้หิน นายก็จะคิดว่ามันเป็นเพียงความเข้าใจผิด”
“ตอนที่ไอ้หินยอมแพ้ถึงสองครั้งติดต่อกัน ยังกลับถูกหลิ่วซิงชกอัดอย่างหนักจนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งหลินหยุนนั้นได้ชกโจมตีหลิ่วซิงจนได้รับบาดเจ็บในขณะที่กำลังประลองฝีมือกันอยู่ เขามีความผิดด้วยงั้นเหรอ? ”
ต่อให้จะต้องโทษกัน ก็ต้องโทษที่ว่าหลิ่วซิงไร้ฝีมือไร้ความสามารถ!
คำพูดนี้ของจางซือจู่ ทำให้ผู้ฝึกสอนรวมไปถึงทุกคนถึงกับพูดไม่ออก
เมื่อครู่ที่ผู้ฝึกสอนพูดนั้น ทุกคนต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน ตอนนี้หากเขาคิดจะเบี้ยวคืนคำก็คงไม่มีทางที่จะทำได้
แต่ ใครจะไปคิดได้ว่า หลินหยุนจะสามารถเอาชนะการประลองต่อสู้กับหลิ่วซิงได้!
นี่มันเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์!
ใบหน้าของผู้ฝึกสอนทั้งเขียวและซีด ตอนนี้ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะตำหนิหลินหยุน นอกเสียจากว่าเขาจะยอมเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี
แต่ว่า ผู้ฝึกสอนเองก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อ ไม่อย่างนั้นเขาจะพูดบอกกับคนในครอบครัวของหลิ่ว ซิงว่าอย่างไร? อีกทั้งบารมีความน่าเชื่อถือของเขาก็คงจะถูกบั่นทอนลงไปเกินครึ่ง
“นายบอกว่าหลิ่วซิงไร้ฝีมือไร้ความสามารถ คือเพื่อจะดูถูกเหยียดหยามข้าใช่ไหม? ”
ทันใดนั้น น้ำเสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้น
กู้ซิวหรั่นที่หล่อเหลาก็ลุกยืนขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วเดินไปอยู่เบื้องหน้าหลินหยุนในสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ และมองไปที่หลินหยุนด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง ซึ่งสีหน้าเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด
“โอ้ว คือกู้ซิวหรั่น!” พวกผู้หญิงตื่นเต้นขึ้นโดยพลันจนหน้าตาแดงก่ำ ดวงตาทั้งสองข้างแวววับเป็นประกาย
จางซือจู่กับเพื่อนคนอื่น ๆ และนักเรียนชายอีกจำนวนมาก ต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยา
“เพราะอะไร? ต่างก็เป็นพ่อแม่ที่ให้กำเนิดด้วยกันทั้งนั้น ทำไมเขาถึงได้หล่อเหลาเช่นนี้ ส่วนข้าเองถึงอัปลักษณ์เช่นนี้ได้? ”
เห็นกู้ซิวหรั่นปรากฏตัวขึ้น ผู้ฝึกสอนก็เบาใจลงบ้าง
ถ้าหากกู้ซิวหรั่นออกหน้าเพื่อสั่งสอนหลินหยุน ผู้ฝึกสอนเองก็ถือว่าได้ทำบางสิ่งเพื่อตอบแทนให้กับคนในครอบครัวของหลิ่วซิงแล้ว
“กู้ซิวหรั่น นายคิดที่จะท้าประลองกับหลินหยุนไหม? ” ผู้ฝึกสอนสอบถามขึ้น
กู้ซิวหรั่นพูดอย่างเย็นชา “ท้าประลองกับเขา? ถ้าอย่างนั้นต้องดูว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่”
ฝีมือความสามารถของกู้ซิวหรั่น คืออันดับหนึ่งไม่มีผู้ใดเทียบเคียง และยังทิ้งห่างอันดับสองไกลโพ้นอย่างไม่เห็นฝุ่น
แม้ว่าหลินหยุนจะใช้เพียงหมัดเดียวก็เอาชนะหลิ่วซิงได้ แต่สำหรับผู้มีฝีมือเก่งกาจอย่างกู้ซิวหรั่นนั้นมองว่า เป็นเพราะหลิ่วซิงประมาทไม่ทันตั้งตัว
สงสัยว่าหลินหยุนจะลอบลงมือก่อน
หญิงสาวหลายคนใช้มือค้ำไปที่ปลายคาง ใบหน้าแดงก่ำมองที่กู้ซิวหรั่น “หล่อมากเหลือเกิน ดูมีมาดมีบุคลิกมาก! ขณะที่คุณชายกู้ขยับทำท่าทำทาง ต่างก็มาดเท่ห์มีเสน่ห์ไปทั้งหมด! ”
หวางหยู่หันโมโหแล้วก็จ้องมองไปที่เขาทั้งสองคน จิตใจทั้งดวงต่างก็จับจดอยู่กับร่างของกู้ซิวหรั่น และมีความตื่นเต้นตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
“ซิวหรั่น คุณเป็นของฉัน ไม่มีใครมาแย่งเอาไปได้! ” หวางหยู่หันสายตาร้อนผ่าว ไม่ทราบเหมือนกันว่าเธอได้ยินมาจากที่ไหน นึกเองว่ากู้ซิวหรั่นคือหลินชางฉองผู้ร่ำรวยที่ให้เงินรางวัลหนึ่งแสนหยวนกับเธอ ในตอนที่เธอกำลังถ่ายทอดสดวิดีโอ!
ดังนั้น หวางหยู่หันจึงนึกเอาเองว่า กู้ซิวหรั่นนั้นมีความรู้สึกที่ดีต่อเธอ
แม้แต่ดาวประจำมหาวิทยาลัยอย่างจางเหมิง รวมถึงยัยตัวแสบเถียนชุ่ยชุ่ย ก็ยังจ้องมองกู้ซิวหรั่นด้วยตาไม่กะพริบ
ไม่มีทาง เพราะกู้ซิวหรั่นนั้นมีเสน่ห์ดึงดูดมาเหลือเกิน
เพียงแต่ว่า เถียนชุ่ยชุ่ยทราบดีว่าตัวเองนั้นไม่มีทางเข้าตากู้ซิวหรั่นเป็นแน่ ดังนั้นจึงยอมถอยออกมา เพื่อไปหาเสิ่นหย่ง
จางเหมิงเองก็เช่นเดียวกัน
หลินหยุนมองไปที่กู้ซิวหรั่น ริมฝีปากก็ปรากฏรอยยิ้มที่แปลกประหลาดขึ้นโดยพลัน
“คิดไม่ถึงว่า ข้ายังไม่ทันได้เรียกหานาย นายกลับทนรอไม่ไหวจึงได้แสดงตัวออกมาเองแล้ว”
“ชาติที่แล้วพวกนายตระกูลกู้ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ผู้บงการหลัก แต่ก็ถือว่าเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลส้ง ครั้งนี้ ข้าก็ขอจัดการเก็บหนี้ดอกเบี้ยที่ยังคั่งค้างกันก่อนก็แล้วกัน”
หลินหยุนแหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อย ท่าทางอันองอาจไม่ด้อยไปกว่ากู้ซิวหรั่น น้ำเสียงที่พูดยังจะหยิ่งผยองกว่ากู้ซิวหรั่นด้วยซ้ำ “ดูถูกนายน่ะเหรอ? นายยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอขนาดนั้นหรอก”
“ในสายตาของข้า วิชาต่อสู้ทั้งหลายเหล่านี้ของพวกนาย ก็เป็นแค่เพียงของเด็กเล่นเท่านั้น”
ครั้งนี้ คำพูดของหลินหยุนได้ล่วงเกินผู้คนเป็นจำนวนมาก
ผู้ฝึกสอนมีสีหน้าเปลี่ยนไป พูดขึ้นมาเป็นคนแรก “หลินหยุน นายกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว! กล้าดีอย่างไรถึงได้ดูถูกวิชาต่อสู้ที่ข้าสอน! ”
“หากนายสามารถเอาชนะกู้ซิวหรั่นได้ ข้าจะลงมือสั่งสอนนายด้วยตัวข้าเอง จะทำให้นายได้รับผลตอบแทนอย่างสาสมจากการโอ้อวดของตน! ”
“จบกันจบกัน หรือว่าสมองของหลินหยุนเจ้าเด็กคนนี้ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงแล้ว! ทำไมถึงพูดแบบนี้ออกมาได้! ผู้ฝึกสอนให้ความสำคัญในชื่อเสียงของตนมาก ครั้งนี้หลินหยุนล่วงเกินเขาอย่างหนักเสียแล้ว” จางซือจู่มีสีหน้าท่าทางที่เป็นกังวล
“ผู้ฝึกสอนลงมือสั่งสอนหลินหยุนด้วยตนเอง ฮ่าฮ่า ครั้งนี้มาดูกันว่าเขายังจะเอาตัวรอดไปได้อย่างไรกัน! ” หวางหยู่หันดีใจจนแทบที่จะกระโดดโลดเต้น
เพื่อนนักเรียนคนอื่นมองหลินหยุนด้วยความสงสาร แอบส่ายศีรษะไปมา ครั้งนี้หลินหยุนรนหาที่ตายเอาเองชัด ๆ!
ผู้ฝึกสอนโมโหขนาดนี้ เขาคงจะถูกต่อยตีอย่างเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
เถียนชุ่ยชุ่ยกำหมัดแน่น ตื่นเต้นดีใจ “หลินหยุน นายนี่มันช่างเลือกที่จะหาที่ตายได้เก่งจริง ๆ ขนาดผู้ฝึกสอนยังกล้าที่จะล่วงเกิน ครั้งนี้ฉันคงไม่ต้องออกแรง นายก็คงจะได้รับการสั่งสอนเป็นแน่”
จางเหมิงมีสีหน้าท่าทางเหยียดหยาม “ไอ้คนกระจอกไม่ได้เรื่องได้ราวผู้นี้ ยังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง นายคิดว่าผู้ฝึกสอนจะใจกว้างเหมือนอย่างฉันงั้นเหรอ ที่จะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับนาย? ”
“รนหาที่ตาย! ”
สีหน้าของกู้ซิวหรั่นค่อย ๆ เปลี่ยนไปดูไม่ดียิ่งนัก มองไปยังหลินหยุนอย่างเย็นชา และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นายเป็นคนแรกที่กล้ามาพูดอย่างนี้กับข้า”
“วางใจได้ ข้าจะทำให้นายต้องตอบแทนชดใช้อย่างสาสม ให้นายได้รับรู้ถึงระยะความห่างระหว่างข้ากับนายอย่างชัดเจน แม้ว่านายจะเพียรพยายามไปทั้งชีวิต ก็ทำได้เพียงแค่แหงนมองเลื่อมใสในตัวข้า ทำให้นายเข้าใจรับรู้ว่าข้ากับนายนั้นมันอยู่กันคนละโลก”