จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 243 จี้
ในร่างกายของคนชราผู้นี้หลินหยุน สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเซียน
ไม่ผิดแน่ ไม่ใช่นักบู๊ แต่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนโดยแท้
แม้ว่ากำลังลมหายใจจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่กลับมีกลิ่นอายของความเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอย่างแท้จริง
เห็นหลินหยุนจ้องมองไปที่อาจารย์ผู้มีพระคุณอยู่ตลอด ไม่พูดเพียงแม้แต่คำเดียว หยางหยิงจึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ: “คุณหลิน คุณสังเกตเห็นอะไรแล้วอย่างนั้นเหรอ? ”
หลินหยุนไม่ได้ตอบกลับ แต่ได้เดินตรงเข้าไปยังด้านข้างของคนชรา โดยที่กวาดส่องสายตาไปบริเวณรอบ ๆ ร่างกายของคนชราผู้นี้
โจวต่งกำลังจะเดินเข้ามา แต่กลับถูกคนชรายื่นมือห้ามเอาไว้
“หมอเทพหลิน มีอะไรผิดปกติอย่างงั้นเหรอ? ” คนชราถามขึ้นด้วยความสงสัย
สายตาของหลินหยุนยังคงสอดส่องไปบริเวณรอบ ๆ ร่างกายของคนชรา เหมือนว่ากำลังค้นหาสิ่งของอะไรบางอย่าง
เป็นจริงดังนั้น หลินหยุนกำลังค้นหาสิ่งของบางอย่าง เขามองไปโดยรอบอย่างละเอียดแล้ว โดยที่คนชราไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเซียน แม้แต่นักบู๊ก็ยังไม่ใช่ เป็นเพียงแค่คนธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น
แต่ว่า ในร่างกายของคนธรรมดาผู้หนึ่ง ทำไมถึงได้มีกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเซียนกันล่ะ?
อธิบายได้อย่างเดียวคือว่า ร่างกายของคนชราผู้นี้ มีสิ่งของที่เกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเซียน
“หาเจอแล้ว! ”
สายตาของหลินหยุนมองไปที่จี้หยกที่ปรากฏออกมาบริเวณหน้าอกของคนชรา กลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเซียน ก็แพร่กระจายออกมาจากจี้หยกชิ้นนี้นั่นเอง
หลินหยุนมองไปที่คนชรา ถามขึ้นว่า: “จี้หยกที่หน้าอกของท่าน ขอให้ฉันดูหน่อยจะได้ไหม? ”
คนชราไม่ลังเลใจแต่อย่างใด ถอดจี้หยกนั้นออกมา ส่งมอบให้กับหลินหยุน: “เชิญดูได้เลย! ”
ในขณะนั้นเอง ได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดินอย่างเร่งรีบดังมาจากด้านนอก
“คุณพ่อ ได้ยินว่าหยางหยิงได้เชิญหมอเทพท่านหนึ่งมาดูอาการ ส่วนฉันก็ได้เชิญหมอเทพท่านหนึ่งมาจากเมืองหลวงเช่นกัน ถ้าอย่างนี้ก็เชิญหมอเทพทั้งสองท่านวินิจฉัยอาการของคุณพ่อเลย! ”
ตามเสียงที่ดังเมื่อครู่นั้น ผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ดินเข้ามา
ชายผู้นี้อยู่ในชุดสูทสีดำที่รีดเรียบ สีหน้าขาวซีดไม่มีหนวดเครา รอยดำคล้ำใต้ดวงตาชัดเจน เมื่อเห็นก็รู้ได้ว่าเป็นคนรวยรุ่นที่สองที่ร่างกายทรุดโทรมจากการดื่มสุราเคล้านารีมาเป็นเวลานาน
“คุณชายเสี้ยง! ” เมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา โจวต่งก็พยักหน้าเล็กน้อยแสดงการทักทาย
“พี่โจว คุณก็มาด้วยเหรอ! ” เสี้ยงจื๋อหนานพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เสี้ยงจื๋อหนานมองไปยังหยางหยิง ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “หยางหยิงลำบากคุณอีกแล้ว ไม่ผิดหวังเสียจริงที่ในตอนนั้นคุณพ่อได้สั่งสอนปลูกฝังคุณอย่างตั้งใจ! ”
แววตาของหยางหยิงปรากฏความรังเกียจขึ้นมาแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ไม่ได้พูดจาอะไร เพียงแต่จ้องมองไปที่เสี้ยงจื๋อหนานด้วยความระมัดระวัง
นายท่านเสี้ยงมองไปยังเสี้ยงจื๋อหนาน พูดขึ้นว่า: “ลำบากยุ่งยากกันแล้ว”
“ท่านคือคุณพ่อของฉัน! จะมาพูดว่าลำบากไม่ลำบากอะไรยังไงกันอีกล่ะ! ” เสี้ยงจื๋อหนานตะโกนเรียกคนชราที่มีผมขาวครึ่งศีรษะที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขา: “หมอเทพหวาง เชิญคุณเข้ามาตรวจดูอาการของคุณพ่อหน่อย! ”
“เจ้าหนุ่มน้อย นายหลีกทางให้หน่อย! ” เสี้ยงจื๋อหนานมองไปยังหลินหยุนด้วยสายตาที่เหยียดหยาม
นายท่านเสี้ยงตะโกนพูดขึ้นว่า: “ห้ามเสียมารยาท หมอเทพหลินท่านนี้ทางหยางหยิงเป็นคนเชิญมาจากหลินโจวโดยเฉพาะ! ”
“อะไรกัน! หยางหยิง เขาผู้นี้คือหมอเทพที่คุณเชิญมาอย่างนั้นเหรอ? คุณกำลังก่อกวนกันอยู่หรือเปล่า มองดูจากอายุก็ชัดเจนว่าเป็นเพียงแค่นักเรียน จะเป็นหมอเทพได้อย่างไรกัน! ” เสี้ยงจื๋อหนานดุด่าอย่างเย็นชา
หยางหยิงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า: “คุณชายเสี้ยงวางใจได้ วิชาการแพทย์ของหมอเทพหลิน ฉันเห็นด้วยกับตาของตนเองมาแล้ว! ”
เสี้ยงจื๋อหนานยิ้มและพูดอย่างเย็นชาว่า: “หยางหยิง คุณยังเด็กอยู่มาก บางครั้งสิ่งที่เห็นด้วยตาของตนเองนั้นก็อาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป! บางทีกลอุบายของพวกคนหลอกลวงนั้น ยากที่จะป้องกันเสียจริง”
“ยังไงก็ต้องหาหมอเทพที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้! ”
“หมอเทพหวางมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ยังไงก็ให้เขามาตรวจดูอาการป่วยของคุณพ่อเถอะ! ”
นายท่านเสี้ยงพูดขึ้นว่า: “พอได้แล้ว หมอเทพหลินผู้นี้ข้าเป็นคนบอกให้หยางหยิงเชิญมาเอง นายห้ามพูดซี้ซั้วเด็ดขาด! ”
“คุณพ่อ ฉันก็แค่เป็นห่วงท่าน! ” เสี้ยงจื๋อหนานพูดอธิบาย
“ไม่อย่างนั้นก็ ให้หมอเทพทั้งสองท่านช่วยกันตรวจดูอาการป่วยของนายท่านเสี้ยงดีไหม? ” โจวต่งพูดแสดงความคิดเห็นขึ้น
หมอเทพหวางยิ้มเยาะเหอะๆ : “น่าขันเสียจริง ข้าเป็นหมอรักษาผู้ป่วยมาทั้งชีวิต รักษาผู้ป่วยมากมายนับไม่ถ้วน จะให้ข้ามาร่วมมือกับเด็กที่ไร้เดียงสาอย่างนั้นเหรอ! ”
“คุณเสี้ยง ข้าไม่ตรวจรักษาโรคนี้ให้ท่านแล้ว! ขอลาก่อน! ”
พูดจบก็หันหลังแล้วเดินจากไป
เสี้ยงจื๋อหนานรีบพูดขึ้นว่า: “หมอเทพหวางหยุดก่อน! ”
“คุณพ่อ ท่านเห็นไหมว่าหมอเทพหวางโมโหแล้ว! ให้หมอเทพหวางช่วยตรวจดูอาการป่วยของท่านก่อนก็แล้วกัน! ” เสี้ยงจื๋อหนานพูดบ่นขึ้น
“นี่มัน……” นายท่านเสี้ยงค่อนข้างอึดอัดใจเล็กน้อย มองไปทางหลินหยุนและพูดขึ้นว่า: “หมอเทพหลิน ท่านว่าอย่างไรดี……”
หลินหยุนพูดอย่างเฉยเมยว่า: “ไม่เป็นไร เชิญเขาตรวจดูอาการก่อนได้เลย! ”
“ขอบคุณหมอเทพหลินมากที่เข้าใจ” นายท่านเสี้ยงชื่นชมอยู่ในใจ หลินหยุนที่อายุยังน้อย กลับไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น จิตใจที่กว้างขวางขนาดนี้คือคุณสมบัติมาตรฐานของหมอเทพที่พึงจะมี
กลับมามองดูที่หมอเทพหวาง จิตใจคับแคบ คนแบบนี้เกรงว่าวิชาการแพทย์ก็คงจะไม่ได้สูงส่งเท่าไหร่นักหรอก
แต่ว่า นายท่านเสี้ยงไม่ต้องการที่จะหักหาญจิตใจที่กตัญญูของลูกชาย
“เชิญเข้ามาสิ! ” นายท่านเสี้ยงพูดบอกกับลูกชาย
เสี้ยงจื๋อหนานรีบพูดขึ้นว่า: “หมอเทพหวาง รบกวนท่านแล้ว! ”
หมอเทพหวางมีสีหน้าท่าทางภาคภูมิใจในแบบผู้ชนะ จงใจที่จะเดินวางมาดผ่านด้านหน้าของหลินหยุนไปยังที่เตียงของนายท่านเสี้ยง และเริ่มที่จะตรวจจับชีพจรของนายท่านเสี้ยง
แต่ว่า หมอเทพหวางใช้เวลาตรวจจับชีพจรไปแล้วถึงสิบนาที กลับไม่พูดจาอะไรออกมาสักคำ หยาดเหงื่อเริ่มปรากฏบนหน้าผากมากขึ้นมากขึ้น
“หมอเทพหวาง เป็นอย่างไรบ้าง? ” เสี้ยงจื๋อหนานถามอย่างเป็นกังวล
ผ่านไปสักพัก หมอเทพหวางก็ลุกยืนขึ้น คำนับไปที่นายท่านเสี้ยง: “ขออภัยด้วยที่ข้าไร้ความสามารถ วินิจฉัยอาการของนายท่านเสี้ยงไม่ออกจริง ๆ ว่าป่วยเป็นโรคอะไร”
วินิจฉัยอาการไม่ได้ก็พูดบอกออกมาตรง ๆ ซึ่งในจุดนี้หมอเทพหวางเปิดเผยไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ ทั้งสิ้น
นายท่านเสี้ยงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า: “หมอเทพหวางอย่าโทษตนเองไปเลย อาการป่วยของข้านี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านก็ไม่สามารถวินิจฉัยได้ ข้าเคยชินกับคำตอบที่ได้ฟังนี้แล้ว”
“ทำไมถึงวินิจฉัยอาการไม่ได้ล่ะ? หมอเทพหวาง คุณตรวจดูอย่างละเอียดแล้วเหรอยัง? ” เสี้ยงจื๋อหนานถามขึ้น
“ฉันเป็นแพทย์รักษาผู้ป่วยมานานนับหลายสิบปี ไม่เคยได้พบเจออาการป่วยลักษณะนี้มาก่อน จากที่ฉันประเมินไว้ คงน่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งฉันไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะรักษา ขอประทานอภัย! ” หมอเทพหวางพูดวิเคราะห์
“อาจารย์ผู้มีพระคุณ ถึงเวลาให้หมอเทพหลินตรวจดูอาการแล้ว” หยางหยิงเตือนขึ้นด้วยเสียงนุ่มนวล
นายท่านเสี้ยงมองไปที่หลินหยุน พูดว่า: “หมอเทพหลิน รบกวนด้วยแล้ว! ”
เสี้ยงจื๋อหนานพูดอย่างเย็นชาว่า: “ขนาดหมอเทพหวางยังวินิจฉัยอาการป่วยไม่ได้ แล้วเขาจะไปทำอะไรได้! ”
หลินหยุนไม่เคลื่อนไหว แต่จ้องมองไปที่จี้หยกที่อยู่ในมือ แล้วสายตาก็ค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ ไปยังร่างกายของนายท่านเสี้ยง: “แท้ที่จริงแล้ว ต้นเหตุของโรคนี้ไม่ได้อยู่ที่ร่างกายของท่าน แต่มันอยู่ที่จี้หยกชิ้นนี้ต่างหาก”
ได้ยินคำพูดนี้ เสี้ยงจื๋อหนานที่อยู่ด้านข้างสายตาของเขาปรากฏถึงความเฉียบขาดขึ้นแวบหนึ่ง
นายท่านเสี้ยงถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ: “คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? ”
หลินหยุนก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี โดยจากที่เขาได้สังเกตเมื่อครู่นี้ ภายในจี้หยกชิ้นนี้มีวิญญาณตนหนึ่งสิงสถิตอยู่ ซึ่งวิญญาณตนนี้เอง ที่ได้ดูดพลังชีวิตของนายท่านอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้นายท่านเสี้ยงป่วยเป็นโรคอยู่ในขณะนี้
พูดกันตามตรงก็คือ ทุกครั้งที่นายท่านเสี้ยงมีอาการป่วยกำเริบ ซึ่งก็เป็นเพราะวิญญาณตนนี้กำลังดูดพลังชีวิตของเขาอยู่
หากใช้วิธีทางการแพทย์ในสมัยปัจจุบันนี้ คงยากที่จะตรวจพบหรือวินิจฉัยอาการป่วยของนายท่านเสี้ยงได้ โดยมากที่สุดคงจะวินิจฉัยว่าเป็นอาการระบบประสาทอ่อนแอ
แต่ว่า ที่หลินหยุนพูดออกมานั้น เกรงว่านายท่านเสี้ยงจะไม่เชื่อ และยิ่งกว่านั้นเรื่องเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญเซียน สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว มันคงเป็นแค่เรื่องราวที่ไร้สาระไม่น่าเชื่อถืออย่างแน่นอน
คิดไปคิดมา หลินหยุนตัดสินใจพูดอธิบายในอีกวิธีหนึ่ง
“ที่จริงแล้ว จี้หยกชิ้นนี้คือสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ด้านในมีสิ่งที่ไม่สะอาดชั่วร้ายบรรจุอยู่ อาการป่วยของท่าน ก็เป็นเพราะสิ่งที่ไม่สะอาดชั่วร้ายที่บรรจุอยู่ด้านในนี้ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้เกิดปัญหา”
หมอเทพหวางที่อยู่ด้านข้างตะโกนพูดว่า: “ไร้สาระ! เป็นถึงแพทย์ กล้าที่จะพูดเรื่องลักษณะนี้ออกมา นายคือคนเลวทรามแห่งวงการแพทย์ของเราจริง ๆ! ”
“นายท่านเสี้ยง เขาคือนักหลอกลวงต้มตุ๋น ท่านอย่าไปหลงเชื่อในคำพูดของเขาเด็ดขาด! ”
เสี้ยงจื๋อหนานก็พูดเตือนเสียงดัง: “คุณพ่อ ท่านอย่าไปเชื่อในคำพูดซี้ซั้วของเขา โลกใบนี้มันจะมีผีสางเทวดาอะไรที่ไหน เขาเป็นนักหลอกลวงต้มตุ๋นมืออาชีพอย่างแน่นอน โดยหลอกลวงหยางหยิงก่อน จากนั้นก็ใช้หยางหยิงเป็นเครื่องมือเพื่อมาหลอกหลวงท่าน! ”
“พวกแกหลายคนทำไมยังยืนกันอยู่ได้ ทำไมยังไม่รีบที่จะขับไล่นักหลอกลวงผู้นี้ออกไป! ”
เสี้ยงจื๋อหนานตะโกนพูดกับลูกน้องหลายคนที่ยืนกันอยู่ที่ประตู
แม้แต่หยางหยิงเอง ก็เกิดความคลางแคลงใจขึ้นบ้าง
ตอนที่หลินหยุนรักษาอาการป่วยให้กับคุณแม่นั้น แม้ว่าจะพูดถึงหยินชี่กับหยางชี่ แต่ทว่า ก็ยังสามารถที่จะรับฟังได้อยู่บ้าง
แต่ตอนนี้นึกไม่ถึงว่าจะพูดถึงภูตผีวิญญาณ ยากที่จะรับฟังและเชื่อถือเสียจริง