จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 256 กลับมาแล้ว
หลินหยุนมองไปที่ฉินหลัน ถามขึ้นว่า: “ถ้าหากฉันไปแล้ว เขากลับมาแก้แค้น คุณจะทำอย่างไร?”
ฉินหลันยิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้นว่า: “น่าขันสิ้นดี ฉันคือผู้ช่วยของประธานกรรมการบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป เขากล้าจะทำอะไรฉันได้?”
“นายรีบไปเถอะ!หากช้าไปกว่านี้คงจะไม่ทันการแล้ว!”
หลินหยุนครุ่นคิด พูดขึ้นว่า: “เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเรารอกันอยู่ที่นี่ครึ่งชั่วโมง ถ้าหากไอ้คนนั้นไม่กลับมา คุณก็ไล่ฉันออกได้เลย”
“ถ้าหากเขากลับมาภายในเวลาครึ่งชั่วโมง และก็ตอบตกลงที่จะพาคุณไปร่วมการประชุมสุดยอดขนาดเล็ก คุณก็จ้างงานฉันต่อ ว่าอย่างไรล่ะ?”
ฉินหลันมองไปที่หลินหยุนด้วยความสับสน ขมวดคิ้วและพูดว่า: “นายบ้าไปแล้วเหรอ?คนนิสัยแบบเหยียนรุ่ยเหวินมีความแค้นก็จะต้องชำระ ซึ่งเขาจะต้องกลับมาแก้แค้นเอาคืนอย่างแน่นอน!นายยังจะกล้ารออยู่ที่นี่อีกครึ่งชั่วโมงอย่างนั้นเหรอ!”
“นายรีบไปเถอะ!อย่ามามัวชักช้าอยู่เลย นายเป็นเพียงแค่คนนอก ฉันไม่ต้องการจะลากนายเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วย”
หลินหยุนอยากที่จะพูดออกไปว่าที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนนอกแต่อย่างไร
แต่ว่า เพื่อไม่ให้กระทบกับการดำเนินไปของประวัติศาสตร์ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะแสดงตัวเปิดเผยสถานะที่แท้จริงออกมา
“รออีกเพียงครึ่งชั่วโมง” หลินหยุนท่าทางแน่วแน่
ฉินหลันเหมือนกับว่าถูกโน้มน้าวด้วยความมั่นใจของหลินหยุน ตอบตกลงออกไปอย่างไม่ตั้งทันตัวว่า: “ตกลง!ฉันจะลองบ้าไปกับนายสักครั้ง แต่ว่า หากภายในครึ่งชั่วโมงแล้วเหยียนรุ่ยเหวินยังไม่กลับมา นายจะต้องรีบไปในทันที!”
“ตกลง” หลินหยุนพยักหน้าตอบรับ
ที่มุมหนึ่งของบันได เหยียนรุ่ยเหวินที่วิ่งหนีออกมาอย่างหัวซุกหัวซุนรีบโทรศัพท์ไปหาพ่อของเขาในทันที
“คุณพ่อ ฉันโดนบอดี้การ์ดคนหนึ่งของฉินหลันทำร้ายร่างกาย!ท่านต้องแก้แค้นแทนฉันด้วย พวกเราตอนนี้รีบถอนหุ้นออกมา!ฉันต้องการให้ไอ้สารเลวนั่นคุกเข่าขอร้องต่อหน้าของฉัน!”
โทรศัพท์ฝั่งนั้น เสียงของชายวัยกลางคนผู้หนึ่งตวาดดังขึ้น: “ไร้สาระ!แกคิดเรื่องอะไรหัดใช้มันสมองเสียบ้าง!ตอนนี้คือช่วงเวลาที่เหมาะสมในการลงมือจัดการกับหวางซูเฟิน แกจะให้ข้าถอนหุ้น?สมองของแกมีปัญหาผิดปกติไปแล้วงั้นเหรอ!”
เหยียนรุ่ยเหวินพูดขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม: “แล้วควรทำอย่างไรล่ะ?ปล่อยให้ฉันถูกทำร้ายร่างกายฟรี ๆ อย่างนั้นเหรอ?”
“รุ่ยเหวิน จำคำพูดหนึ่งไว้นะว่า ไม่ยอมอดทนต่อเรื่องเล็กน้อยจะทำให้เสียการใหญ่ได้ แกกลับบ้านไปก่อน ทำเหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หรือจะยอมแสดงความขอโทษต่อเธอ เพื่อเป็นการไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น รอจนถึงตอนที่พวกเราร่วมมือกันกับตระกูลส้ง ครอบครองบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปแล้ว เวลานั้นแกคิดจะแก้แค้นเอาคืนฉินหลันอย่างไร ก็ตามแต่ที่แกต้องการเลย”
เหยียนรุ่ยเหวินสีหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจ แววตาเป็นประกายร้อนผ่าว
“คุณพ่อ ฉันก็ยังลืมความแค้นในครั้งนี้ไม่ลง หรือไม่ท่านก็ช่วยคิดหาวิธีทางอย่างอื่น ลงมือจัดการกับไอ้บอดี้การ์ดที่สมควรตายผู้นั้นของฉินหลันก่อน?”
โทรศัพท์ฝั่งนั้นเงียบลงไปชั่วครู่ และพูดขึ้นว่า: “ไม่ใช่ว่าฉินหลันจะไปร่วมการประชุมสุดยอดขนาดเล็กเพื่อหาเงินทุนสำรองไม่ใช่เหรอ?แกก็ไปหาคนในการประชุมสุดยอดขนาดเล็กเพื่อลงมือจัดการกับบอดี้การ์ดของเธอสิ!”
เหยียนรุ่ยเหวินดวงตาเป็นประกาย: “ยืมมือคนอื่นมาสังหาร!รับทราบ คุณพ่อท่านยอดเยี่ยมเสียจริง!”
ในห้องโถง ฉินหลันกับหลินหยุนนั่งรออยู่ในโซนพักผ่อน
เวลาที่หลินหยุนกับฉินหลันตกลงกันไว้ครึ่งชั่วโมง ตอนนี้ผ่านพ้นไปแล้วสิบนาที
ฉินหลันมองไปที่หลินหยุนที่นั่งพิงโซฟา หลับตาพักผ่อนอย่างสบายใจ
“หึ ดูเหมือนว่านายจะไม่กระวนกระวายใจอะไรเลย นายมั่นใจมากขนาดนี้เลยเหรอว่าเหยียนรุ่ย เหวินจะกลับมา?”
หลินหยุนลืมตาขึ้น ยิ้มเล็กน้อย: “ฉันก็เชื่อมั่นในตนเองสูงแบบนี้อยู่แล้ว”
ฉินหลันเงียบกริบ: “นายคือบอดี้การ์ดที่อวดเก่งมากที่สุดที่ฉันเคยพบเจอมา ถ้าหากครั้งนี้เป็นไปตามที่นายพูดเอาไว้จริง ฉันก็จะเพิ่มเงินค่าแรงให้นายหนึ่งเท่า”
หลินหยุนพูดว่า: “ไม่ต้องเพิ่มเงินค่าแรงหนึ่งเท่าให้ฉันหรอก หากว่าครั้งนี้ฉันชนะ ถ้าอย่างนั้นต่อไปหากตอนที่ประสบกับอันตราย คุณห้ามไล่ฉันออกอีกก็พอแล้ว”
ฉินหลันมองไปยังดวงตาของหลินหยุน ดูเป็นประกายมีสีสันมากขึ้นซึ่งยากที่จะอธิบาย
เมื่อวานตอนพิธีเปิดงานการประชุมสุดยอดจงโจว ตอนที่เธอพบเจอกับหลินหยุนเป็นครั้งแรก ก็รู้สึกว่าแววตาของหลินหยุนที่มองมาที่เธอนั้นดูแปลก ๆ เมื่อครู่ที่หลินหยุนแสดงออกถึงความเป็นห่วงกังวลในตัวเธอ มันก็มากเกินกว่าท่าทีของบอดี้การ์ดทั่วไปที่พึงจะมี
ตอนนี้ แม้แต่เพิ่มค่าแรงขึ้นก็ไม่ต้องการ กลับยังต้องการที่จะเสี่ยงอันตรายไปพร้อมกับเธออีก
หากว่าหลินหยุนเป็นเพียงบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่ต้องการเงินทอง ฉินหลันจะสามารถเชื่อได้อย่างไรกันล่ะ?
“หลินหยุน นายพูดความจริงมานะว่า ที่นายพยายามใกล้ชิดกับฉัน มีเป้าหมายอะไรกันแน่?”ฉินหลันถามด้วยเสียงหนักแน่น
หลินหยุนจะยิ้มก็ไม่เชิงยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ถ้าฉันบอกว่า ฉันชื่นชมพี่ฉินหลันอย่างมาก คุณจะเชื่อไหมล่ะ?”
ฉินหลันหน้าแดง ยิ้มและดุด่าว่า: “ฉันจะเชื่อนายได้อย่างไรกัน!”
หลินหยุนพึมพำในใจ: “ฉันพูดความจริงคุณก็ไม่เชื่อ ฉันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้”
เวลานี้ ประตูบริเวณบันไดถูกเปิดออก เหยียนรุ่ยเหวินวิ่งออกมาด้วยท่าทางที่หืดหอบ
เมื่อเขามายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าของฉินหลังอีกครั้ง ฉินหลันตั้งใจดูเวลาเป็นพิเศษ ว่าช่วงเวลาที่เธอกับหลินหยุนกำหนดเอาไว้ เพิ่งจะผ่านพ้นไปเพียงยี่สิบนาที
มองไปยังใบหน้าของหลินหยุนที่มีรอยยิ้มและความมั่นใจเต็มเปี่ยม ฉินหลันแอบตกใจ: “ไอ้หนุ่มน้อยคนนี้ทำไมถึงเข้าใจเหยียนรุ่ยเหวินได้ถึงเพียงนี้?หรือว่าเขายังทราบเรื่องราวอะไรที่ขนาดตัวฉันเองก็ยังไม่รู้?”
ไม่ทันรอให้ฉินหลันครุ่นคิด เหยียนรุ่ยเหวินก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ผู้ช่วยฉิน เมื่อครู่ฉันเองที่ทำผิดไปที่ได้ล่วงเกินคุณ หวังว่าผู้ช่วยฉินจะให้อภัยกับฉัน!”
ฉินหลันที่ต้องการความช่วยเหลือจากเหยียนรุ่ยเหวิน จึงรีบพูดขึ้นว่า: “คุณชายเหยียนไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้ พวกเรารีบไปยังการประชุมสุดยอดขนาดเล็กกันเถอะ!”
“ตกลง!” เหยียนรุ่ยเหวินตอบรับอย่างรวดเร็ว
ซึ่งตรงกับที่หลินหยุนคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด ครั้งนี้ที่เหยียนรุ่ยเหวินกลับมา เปลี่ยนแปลงไปโดยให้ความร่วมมือขึ้นอย่างมาก
“ใช่แล้ว เมื่อครู่คุณไม่ใช่พูดว่าจะให้คุณพ่อของคุณถอนหุ้นออกอย่างนั้นเหรอ?” หลินหยุนพูดขึ้นในสิ่งที่ไม่ควรพูด
เหยียนรุ่ยเหวินจ้องมองไปที่หลินหยุนด้วยความโหดเหี้ยม โดยได้รีบยิ้มและพูดอธิบายให้ฉินหลังฟังว่า: “ผู้ช่วยฉิน เมื่อครู่นี้ฉันพูดขึ้นด้วยความโมโห พ่อของฉันได้ยินที่ฉันพูดออกไปทั้งหมด ก็ดุด่าต่อว่าฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย!”
“พ่อของฉันยังพูดอีกว่า ตอนนี้คือช่วงวิกฤตของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป เขามีสถานะเป็นถึงกรรมการของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต้องทุ่มเทช่วยเหลือบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปอย่างเต็มที่ หากต่อไปฉันกล้าที่จะพูดในลักษณะนี้อีก พ่อของฉันจะทุบตีฉันให้ขาขาดสองท่อน!”
ฉินหลันไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือความเท็จ แต่ก็กล่าวชื่นชมในสิ่งที่เหยียนรุ่ยเหวินพูดออกมา: “กรรมการเหยียนให้ความสำคัญต่อส่วนรวม ฉันนับถือเป็นอย่างมาก หลังจากที่กลับจากงาน ฉันจะนำคำพูดของกรรมการเหยียน บอกต่อให้กับประธานกรรมการได้รับทราบ!”
“ตกลงตามนี้ งั้นตอนนี้พวกเรารีบเดินทางไปยังการประชุมสุดยอดขนาดเล็กกันเถอะ หากสายไปกว่านี้เกรงว่างานจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!” ฉินหลันพูดเร่งรัดขึ้น
“เชิญผู้ช่วยฉิน!” เหยียนรุ่ยเหวินเดินนำทางออกไป
เมื่อตอนที่หลินหยุนเดินผ่านข้างตัวของเขานั้น เหยียนรุ่ยเหวินแสดงออกถึงท่าทีที่โหดเหี้ยม
“ไอ้หนุ่มน้อย เมื่อถึงการประชุมสุดยอดขนาดเล็กแล้ว คอยดูแล้วกันว่าข้าจะจัดการแกอย่างไร!”
การประชุมสุดยอดขนาดเล็กในทุกครั้ง จะกำหนดจัดขึ้นที่คลับไดนาสตี้
เพราะว่าที่แห่งนี้คือเขตอิทธิพลของส้งอันหมิง
ส่วนส้งอันหมิง ก็เป็นพิธีกรในการประชุมสุดยอดขนาดเล็กติดต่อกันมาแล้วห้าครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นด้านอิทธิพลอำนาจของส้งอันหมิง หรือว่าความสามารถส่วนบุคคลของส้งอันหมิง ล้วนแต่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ ส้งอันหมิงจึงกลายเป็นผู้นำของกลุ่มเยาวชนวัยรุ่นในมณฑลจงโจว และรวมไปถึงมณฑลต่าง ๆ ในบริเวณใกล้เคียง
พวกกลุ่มคนวัยรุ่น ล้วนถือเอาส้งอันหมิงเป็นแบบอย่าง เพื่อพยายามมุมานะตามแบบเขาไปตลอดชีวิต
คลับไดนาสตี้ ตั้งอยู่ที่เขตชานเมืองของจงโจว คือคลับบันเทิงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ในคลับมีทั้งการขี่ม้า ยิงธนู แข่งรถ กอล์ฟเป็นต้น หากเป็นกิจกรรมนันทนาการและเครื่องเล่นที่มีชื่อเสียงแล้ว มีครบหมดทุกประเภท
ถึงขนาดที่ว่า กิจกรรมของต่างชาติบางประเภท ก็ได้นำเข้ามาเช่นกัน โดยที่คลับอื่น ๆ ไม่มีอย่างแน่นอน มีเพียงในคลับไดนาสตี้แห่งเดียวเท่านั้น
คลับไดนาสตี้ คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์เข้ามาภายในได้ อีกทั้ง ส้งอันหมิงก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง ปล่อยให้คลับขนาดใหญ่อย่างนี้ ว่างไม่มีคน ก็ไม่ยอมที่จะให้ผู้อื่นเข้ามาเล่นใช้บริการแต่อย่างใด
แต่ว่า ผลกำไรของคลับไดนาสตี้ในแต่ละปีกลับมีเพิ่มมากขึ้น โดยวิธีการตลาดแบบนี้ กลับทำให้พวกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากคิดต้องการที่จะเข้ามาใช้บริการ
โดยส่วนตัวแล้ว ทุกคนต่างก็ถือว่าการได้เข้ามาใช้บริการในคลับไดนาสตี้เป็นเกียรติอย่างมาก และแอบที่จะนำมาเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน
กล่าวได้ว่า ความสามารถทางธุรกิจของส้งอันหมิง จะเหนือกว่าส้งหัวอันพ่อของเขาไปอีกขั้น
จากเดิมเป็นสถานที่ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ถูกเขาแปรสภาพให้เป็นที่สร้างผลกำไรนับร้อยล้านต่อปี เป็นตัวอย่างโมเดลธุรกิจที่คาดประมาณมูลค่าไม่ได้
คลับไดนาสตี้ในตอนนี้ ได้กลายเป็นแหล่งพบปะพูดคุยกันของกลุ่มคุณชายระดับลูกเศรษฐี โดยระดับของธุรกิจนี้นั้น ไม่สามารถประเมินค่าด้วยเงินทองได้แต่อย่างใด