จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 291 คำเชิญของอีหลิง
อีหยุ่นแค่นเสียงเย็นชา: “เจ้าหนู ฉันรู้ว่าเธอมีปรมาจารย์เป็นแบ็คอัพคอยซัพพอร์ตให้ หรือบางที นั่นอาจจะเป็นอาจารย์ของเธอ เธอยืมมือเขา ย่อมสามารถพิชิตนายใหญ่ผู้ทรงอิทธิพลทั้งสิบแปดเมืองของหลิงหนานได้ แม้กระทั่งควีนจินก็ยังต้องยอมศิโรราบให้”
“แต่ นิสัยเธอหยิ่งผยองเกินไป ด้วยนิสัยแบบนี้ของเธอ ไม่แน่ว่าในไม่ช้าก็เร็ว มันอาจจะทำให้เธอต้องพบเจอกับเรื่องร้าย ๆ จนอาจถึงขั้นเป็นหายนะได้เลยด้วย!”
“นอกจากนี้ ในใจของฉัน สามีในอนาคตของหลิงเอ๋อ ควรจะต้องเป็นทายาทสายตรงของสี่ตระกูลสุดยอดในเมืองหลวง หรือแม้แต่ทายาทของสี่สุดยอดตระกูล!”
“ถึงเธอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ทั้งได้คารวะอาจารย์ที่ดี แต่เมื่อเทียบกับเป้าหมายในใจฉันแล้ว ก็ยังถือว่าอยู่ห่างออกไปนับหมื่นแปดพันลี้”
“นอกจากนี้ เพื่อบริษัทเล็ก ๆ อย่างตงหวางกรุ๊ปบริษัทเดียว เธอถึงกับทำให้ตระกูลหวางขุ่นเคือง บางทีวันนี้เธออาจได้เปรียบแบบชั่วครั้งชั่วคราว แต่เธอไม่ได้รู้จักความน่ากลัวที่แท้จริงของสี่สุดยอดตระกูลสักนิด!”
“ถ้าวันนี้ หลิงเอ๋อไม่ยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องเธอล่ะก็ ฉันคงไม่ยอมแตกหักกับตระกูลหวางแบบนี้เหมือนกัน จากนี้ไป เธอเตรียมรอรับการแก้แค้นจากตระกูลหวางไว้ได้เลย!”
“สุดท้าย ฉันขอให้คำแนะนำอะไรเธอสักอย่างแล้วกัน ตระกูลหวางน่ะ ไม่ใช่ตระกูลที่รับมือได้ง่าย ๆ อย่างที่คิดหรอกนะ ความแข็งแกร่งของสี่สุดยอดตระกูลน่ากลัวกว่าที่เธอเห็นมาก! เธอไม่มีทางคิดถึงเลยล่ะว่า เบื้องหลังของสี่สุดยอดตระกูลมันทั้งลึกลับ แล้วก็แข็งแกร่งขนาดไหน!”
“ถ้าเธอยังอยากรักษาชีวิตตัวเองไว้ล่ะก็ ทางที่ดีคือปกปิดชื่อแซ่ให้ดี อยู่ให้ห่างจากเมืองหลวง ไปหาที่ซ่อนตัวในภูเขาลึกหรือป่าเก่าแก่สักแห่ง แล้วใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบสุขเถอะนะ!”
สายตาของอีหยุ่นที่มองไปที่หลินหยุน เหมือนกับว่ากำลังมองคนใกล้ตายอย่างไรอย่างนั้น รัวคำพูดในใจออกมาราวยิงปืนกล ฟังดูมีเหตุมีผล แต่มันกลับลดคุณค่าของหลินหยุนไปโดยเปล่าประโยชน์
หลินหยุนก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มจาง ๆ ในรอยยิ้มนั้นแฝงแววสัพยอกน้อย ๆ
รอจนอีหยุ่นพูดจบ หลินหยุนก็เงยหน้าขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พูดจบแล้วเหรอ?”
“งั้นถึงตาผมพูดอะไรสักสองสามประโยคบ้างนะ”
อีหยุ่นยกถ้วยชาขึ้น แล้วมองหลินหยุนเงียบ ๆ ด้วยท่าทางที่ดูไม่ค่อยพอใจนัก
หลินหยุนมองหน้าอีหยุ่น พูดเสียงราบเรียบว่า “บางทีในสายตาของคุณ ตระกูลหวางอาจจะดูแข็งแกร่งมาก แต่สำหรับผม ตระกูลหวางก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตธรรมดา ๆ ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตมากมายในโลกใบนี้เท่านั้นล่ะ”
“หรือบางทีคุณอาจจะคิดว่า ตระกูลหวางร่ำรวย มีอำนาจยิ่งใหญ่คับฟ้า สามารถกดหัวคนทั้งประเทศได้ แต่ในความคิดของผม เรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีค่าอะไรให้ควรพูดถึงสักกระผีกริ้น!”
“ไม่ว่าจะเป็นอำนาจคับฟ้า หรือความมั่งคั่งอะไรก็ตามแต่ สำหรับผม มันก็เป็นแค่เรื่องง่ายๆแค่ใช้ดาบเดียวฟันฉับก็จบปัญหาแล้ว!”
“คุณรู้แค่ว่าตระกูลหวางมีอำนาจ แต่คุณไม่ได้รู้ความสามารถของผมนี่!”
ใบหน้าของหลินหยุนนิ่งเรียบมาก ในดวงตาคล้ายปรากฏภาพของท้องฟ้า ที่เต็มไปด้วยดวงดาวลอยเกลื่อนในจักรวาลอันกว้างใหญ่ น้ำเสียงที่เปล่งออกมา ฟังเหมือนลอยมาจากอากาศอันว่างเปล่า ลอยล่องมาจากที่ที่ไกลแสนไกล
“อะไรที่ผมอยากได้ ใต้หล้าแห่งนี้จะขาดไปไม่ได้ อะไรที่ผมไม่ได้ ใต้หล้าแห่งนี้ก็จะมีไม่ได้”
ใบหน้าของอีหยุ่น เป็นสีเขียวคล้ำไม่น่าดู เขาชี้ไปที่หลินหยุนแล้วตะเบ็งเสียงดังว่า: “เจ้าหนู เดิมทีฉันเตือนเธอก็เพราะหวังดีแท้ ๆ ไม่คิดว่าเธอนี่มันจะหยิ่งยโส จนถึงขั้นไม่มียารักษาให้หายขาดได้ขนาดนี้!”
“เธอคิดว่าแค่อาศัยปรมาจารย์นักบู๊คนเดียว เธอก็ไม่ต้องเห็นหัวตระกูลหวาง ไม่ต้องเห็นหัวสี่สุดยอดตระกูลแล้วก็ได้งั้นเรอะ?”
“ยังจะพูดอีกว่าใช้ดาบเดียวฟันฉับก็จบปัญหา! ต่อให้อาจารย์ของเธอเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุด แต่เธอจะถึงขั้น ต้านทานปืนใหญ่อากาศยานของโลกใบนี้ได้งั้นเหรอ?!”
“เดิมที ถ้าเธอรู้จักขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม ฉันก็ยังจะตั้งใจจะให้คำชี้แนะได้บ้าง ในอนาคตก็อาจจะพอเป็นไปได้ว่า ยังพอจะไว้วางใจให้เธอดูแลหลิงเอ๋อได้ แต่มาเห็นตอนนี้ เธอมันก็แค่คนจองหองบ้าคลั่งที่ไม่เห็นใครในสายตา เที่ยวไล่ท้าทายใคร ๆ ไม่เลือกหน้าก็เท่านั้นแหละ!”
“โลกทัศน์แคบ ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้วสิ้นดี!”
พูดจบ อีหยุ่นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันที
ที่นอกโรงน้ำชา อีหลิงที่รออยู่นานแล้วเห็นว่าอีหยุ่นเดินออกมา ก็รีบตรงเข้าไปถาม
“พ่อคะ คุยกันเป็นยังไงบ้าง?” ถึงแม้อีหลิงจะถามอีหยุ่น แต่ดวงตาที่ใสซื่อเป็นประกายของเธอ กลับมองไปทางหลินหยุนไม่วางตา ทั้งยังเต็มไปด้วยความห่วงใยไม่สบายใจ
อีหยุ่นระงับความโกรธไว้ในใจ เหลือบมองหลินหยุนอย่างเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำหนักอึ้งว่า “หลิงเอ๋อ คนบ้าแบบนี้ วันหลังพยายามอย่าไปมาหาสู่จะดีกว่า ไม่อย่างนั้น ในไม่ช้าก็เร็ว อาจจะนำความหายนะมาให้ลูกด้วยก็เป็นไปได้นะ!”
“ตามพ่อกลับ!” พูดจบ อีหยุ่นก็จับมืออีหลิง แล้วบังคับดึงตัวเธอกลับไป
อีหลิงพูดอย่างร้อนใจว่า: “พ่อคะ หลินหยุนไม่ใช่คนแบบที่พ่อพูดหรอกนะคะ มันต้องเกิดเรื่องเข้าใจอะไรผิดระหว่างพ่อกับเขาแน่ ๆ!”
“พ่อคะ ขอหนูคุยกับหลินหยุนสักสองสามประโยคเถอะค่ะ!”
อีหยุ่นยอมปล่อยมืออีหลิง พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า: “หลิงเอ๋อ เอาจริงๆ พ่อก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิทธิ์ในการคบเพื่อนของลูกหรอก แต่พ่อแค่ทนดูลูก กระโดดลงไปในหลุมไฟโดยไม่ทำอะไรไม่ได้!”
“พ่อให้เวลาลูกสามนาที พ่อจะรออยู่ที่นี่!”
อีหลิงขมวดคิ้ว แต่อย่างน้อยสามนาทีก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย
“ได้ค่ะ งั้นพ่อรอหนูที่นี่แป๊บหนึ่ง! หนูไปคุยกับหลินหยุนสักสองสามคำ แล้วจะรีบกลับมาค่ะ”
อีหลิงวิ่งไปหาหลินหยุน เอ่ยถามเสียงเบาด้วยความกังวลใจว่า : “หลินหยุน พ่อของฉันไม่ได้ทำให้นายลำบากใจใช่ไหม?”
หลินหยุนยิ้มพลางพูดว่า: “ไม่หรอก พวกเราแค่คุยกันสบาย ๆไม่กี่คำ เธอไม่ต้องกังวลไป”
“ดีจังเลย! จริงสิ เดือนหน้าวันที่ 9 เป็นวันเกิดฉัน พ่อของฉันยืนกรานว่าจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้ฉันที่เจียงหนาน ฉันหวังว่านายจะมาได้นะ!” ดวงตาของอีหลิงเปล่งประกายเว้าวอน
หลินหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อาจปฏิเสธได้ลง จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า: “ตกลง ถึงตอนนั้นฉันต้องไปที่นั่นด้วยแน่!”
“เยี่ยมไปเลย คำไหนคำนั้นนะ!” อีหลิงดีใจมาก
“งั้นฉันไปก่อนนะ จำไว้ล่ะ เดือนหน้าวันที่ 9 ต้องมาให้ได้ล่ะ!” อีหลิงเตือน
“วางใจเถอะ ฉันจะไปแน่!”
เมื่อเห็นอีหลิงนั่งรถหรูกลับไปแล้ว หลินหยุนก็เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของเขากลับจนหมด
ในชาติที่แล้ว เขาจำได้แค่ว่าจนอีหลิงเรียนจบ ก็ยังไม่รู้จักกับพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอเลยด้วยซ้ำ
แต่ในชาตินี้ พวกเขากลับได้มารู้จักกันล่วงหน้าไปหลายปีเลยทีเดียว
ดูเหมือนว่า การตายของหานกั๋วเฉียงจะทำให้อีหยุ่นนั่งไม่ติด จนต้องรีบมาทำความรู้จักกับ
อีหลิงล่วงหน้า
แม้แต่หลินหยุนก็คิดไม่ถึงว่า อีหลิงจะเป็นคนตระกูลอีแห่งเจียงหนานเช่นกัน
ในชาติก่อน ตระกูลอีแห่งเจียงหนาน เป็นตระกูลที่หลินหยุนแค่ฝันว่าจะได้เข้าไปประจบสอพลอ ก็ยังไม่มีโอกาสเลยด้วยซ้ำ
น่าเสียดายที่ คนที่ “เกือบจะเป็นเจ้าบ้านตระกูลอี”รายนี้ ได้พบหน้าจริงๆ ไม่สู้ที่ได้ยินชื่อเสียงมาเลยสักนิด!
หลินหยุนกลับมาที่บ้านตระกูลเสี้ยง เดิมทีตั้งใจว่าจะมาบอกลาหยางหยิง แต่พอรู้ว่าหยางหยิงกำลังทำการแสดงอยู่ เขาก็จากไป
นายท่านเสี้ยงยังคงไม่อยู่ตามเคย ดูเหมือนว่าหลังจากที่อาการดีขึ้นแล้ว ชายชราผู้นี้คงวางแผนที่จะเข้าไปจัดการดูแลตระกูลเสี้ยงอีกครั้ง
โดยเฉพาะการถูกลูกชายตัวเองวางแผนเล่นงาน ไม่ว่าใคร ก็คงทนรับความจริงไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่งกันทั้งนั้นนั่นแหละ
คล้ายว่านายท่านเสี้ยงผู้นี้คงจะไม่เชื่อใคร นอกจากสิทธิ์ขาด อำนาจในมือของตัวเองเท่านั้นแล้วในตอนนี้
หลินหยุนพาซูจื่อเหลียงกลับไปที่หลินโจว
แต่หลินหยุนไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่โรงเรียน แต่กลับไปที่คฤหาสน์เยว่หยาหูก่อน
ซูหนันยังคงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกบำเพ็ญวิชา เมื่อเห็นหลินหยุนกลับมาแล้ว ก็แค่พยักหน้าให้เป็นการทักทายเท่านั้น
หลินหยุนหันไปมองแวบหนึ่ง เขาพบว่าระดับการเลื่อนขั้นฌานของซูหนันเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก น่าจะไปถึงขั้นต้นของวิชาพินาศไม่สิ้นสูญแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเร็วในการฝึกฝนของซูหนัน ในอนาคตก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปสู่ระดับใหม่ได้แน่นอน
ซูจื่อเหลียงก็ยอมไปฝึกอย่างจริง ๆจัง ๆ ด้วยแล้วในตอนนี้
หลินหยุนยืนอยู่บนดาดฟ้า มองไปที่ทะเลสาบเยว่หยาที่มีหมอกครึ้ม เชื่อว่าใช้เวลาไม่นาน ชี่ฟ้าดินของที่นี่ จะช่วยส่งผลเสริมพลังหินห้าธาตุ ภายใต้การกักเก็บพลังของค่ายกลรวบรวมพลัง จนสามารถบรรลุผลออกมาเป็นชี่ทิพย์ ที่มีรูปลักษณ์คล้ายหมอกควัน
การบำเพ็ญวิชา ณ ที่แห่งนี้ จะได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว
หลินหยุนนั่งขัดสมาธิ หลายวันมานี้ในจงโจว เขาไม่ค่อยได้ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาจึงต้องชดเชยเวลาที่เสียไปก่อนหน้านี้ให้มาก
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน น้ำในทะเลสาบเยว่หยา ก็ถูกเคลือบย้อมด้วยแสงสีทองอร่าม
ประเทศจีน เมืองหลวง
ณ โถงประชุมตระกูลหวาง ผู้นำแห่งสี่สุดยอดตระกูล
ในห้องโถง ชายชราที่มีใบหน้าทรงสี่เหลี่ยม คิ้วดกดำ ใบหน้าจริงจัง ท่าทีเคร่งขรึม นั่งเงียบ ๆ ในตำแหน่งประธาน ฟังรายงานของหวางหย่วนหยางที่อยู่ด้านล่าง
“ช่างเป็นลูกที่อกตัญญูอะไรอย่างนี้ ถึงกับบังอาจฆ่าปรมาจารย์ตระกูลหวางของฉันเชียวรึ!” ใบหน้าของหวางจิงหลงเย็นชา ในดวงตาฉายแววเคืองโกรธ
“หวางเจ๋อ ส่งคนไปสืบประวัติไอ้เด็กคนนั้นมา ยิ่งกำจัดมันได้ก็ยิ่งดี!” หวางจิงหลงมองไปทางซ้ายด้านหลังเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ออกคำสั่งกับชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่กำลังก้มหน้ายืนอยู่ตรงนั้น
ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเซียวผิดปกติ ดวงตาเย็นชาน่าขนลุก ให้ความรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาดต่อผู้คนที่ได้พบเห็น
เขายืนขึ้นช้า ๆ โค้งคำนับแล้วตอบว่า: “ขอรับ!”
หวางเจ๋อ อัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลหวาง ลูกของพี่ชายคนโตของหวางซูเฟิน