จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 294 การจัดการ
หลินหยุนไม่มัวสนใจคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับทั้งสองคน เพียงไม่นาน ศาสตราจารย์โม่และอาจารย์พิเศษหลายคนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ ก็ออกมาต้อนรับหลินหยุน
“หมอเทพหลิน ในที่สุดคุณก็ให้เกียรติรับคำเชิญมาเสียที!”
“เร็วเข้า ขอเชิญทางนี้เลยครับ!”
ศาสตราจารย์โม่สีหน้าปลาบปลื้มใจเต็มใบหน้า ก่อนหน้านี้เขาเคยดูถูกหลินหยุนไม่น้อย ยังคิดด้วยว่าหลินหยุนนั้นหยิ่งยโสจนเกินไป
แต่นับจากที่หลินหยุนได้ทำสิ่งอันทรงคุณค่า ซึ่งทำให้เกิดความรู้แขนงใหม่แก่วงการแพทย์จีนไปอีกนานนับหลายปี ศาสตราจารย์โม่ ก็ชื่นชมในความรู้อันอเนกอนันต์ของหลินหยุนไปโดยปริยาย
ต่อหน้าหลินหยุน การวางตัวของศาสตราจารย์โม่ นับว่าลดอีโก้ลงมาจนต่ำมาก
“ศาสตราจารย์โม่!” หลินหยุนเรียกเสียงด้วยเรียบนิ่ง ถือได้ว่าเป็นการทักทายแล้ว
กลุ่มอาจารย์ ต่างก็เข้ามาพูดคุยทายหลินหยุนทีละคน ๆ จากนั้นจึงเดินรายล้อมเขาตรงไปทางออฟฟิศ
เมื่อเข้าไปในออฟฟิศ ทุกคนเชิญให้หลินหยุนนั่งที่ตำแหน่งประธานหัวโต๊ะ หลินหยุนก็ไม่เกรงใจเช่นกัน ในสายตาของเขา ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำอะไรที่มากพิธีรีตองเช่นนี้
ณ.ที่แห่งนี้ ศาสตราจารย์โม่นับว่าเป็นคนที่มีสถานะสูงสุด ในเมื่อซูชิงเหยียนไม่อยู่ จึงเป็นเรื่องธรรมดา ที่เขาจะเป็นคนรับผิดชอบการต้อนรับในครั้งนี้
“ทุกท่าน ตอนนี้อธิการบดีซูติดธุระด่วน ยังไม่สามารถกลับมาได้เป็นการชั่วคราว ดังนั้นผมจะขอเป็นคนอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ให้กับหมอเทพหลินฟังก่อนนะครับ” ศาสตราจารย์โม่มองไปที่หลินหยุนแล้วเอ่ยขออนุญาต
หลินหยุนจึงพูดขึ้นว่า: “เชิญพูดมาเถอะ”
ศาสตราจารย์โม่พูดว่า: “ทีมของมหาวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่ง จะมาถึงตอนสิบโมงเช้า แม้ว่าพวกเขาจะมาที่นี่เพื่อเรียนแลกเปลี่ยน แต่พวกเขาอยากฟัง “วิชาการฝังเข็มปราณไท่ชิง” ที่สร้างโดยหมอเทพหลินเป็นหลักนะครับ”
“เทคนิคการฝังเข็มนี้ มีต้นกำเนิดในหลินโจวของเรา ถูกสร้างขึ้นโดยหมอเทพหลิน และยังเป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถนำไปใช้เชิดหน้าชูตาในวงการแพทย์ได้ คณะจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแม้ปากจะไม่พูดอะไรก็จริง แต่ในใจคิดอะไรอยู่ พวกเราเองก็รู้ดีแก่ใจแล้วใช่ไหมครับ”
“ดังนั้น ในตอนที่ทำการบรรยาย สามารถโฟกัสไปที่เทคนิคการฝังเข็มปราณไท่ชิงเป็นหลักได้เลยครับ!”
ทุกคนพยักหน้า เห็นด้วยกับการจัดการเช่นนี้ของศาสตราจารย์โม่
หลินหยุนรู้สึกว่ายังไงก็ได้ทั้งนั้น จะให้บรรยายอะไรก็เหมือน ๆ กันหมด เพราะถึงอย่างไร
ความรู้ทางการแพทย์ในหัวของเขา มันสามารถอธิบายได้ด้วยประโยคเดียวที่ว่า ต่อให้เป็นศาสตร์การแพทย์ที่ยาวนานนับหมื่น ๆ ปีเขาก็รู้ทั้งหมด ก็ยังนับว่าไม่เกินจริงเลยด้วยซ้ำ
ศาสตราจารย์โม่กล่าวต่อว่า “ในส่วนของอาจารย์ใน ม.ของเรา หลัก ๆ คืออาศัยการบรรยายเนื้อหาของหมอเทพหลิน อาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่เหลือ ก็บรรยายในส่วนความรู้ทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานที่ไม่ควรให้เกิดข้อผิดพลาดอย่างง่าย ๆ ไปก่อน”
“นอกจากนี้ เราเองก็ต้องทำการปรับเปลี่ยนนักศึกษาของทางเราด้วยเหมือนกัน ผมได้เลือกนักศึกษาระดับหัวกะทิจากแต่ละชั้นเรียน แล้วรวบรวมพวกเขามาไว้ในคลาสเรียนเดียว เมื่อนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ปักกิ่งมาถึง ก็จัดให้พวกเขากับนักศึกษาหัวกะทิจาก ม.ของเราเรียนรวมกันเป็นคลาสเดียวกันไปเลยนะครับ”
“ด้วยวิธีนี้ ก็หวังว่าคงจะไม่ถูกนักศึกษาหัวกะทิจาก ม. ปักกิ่งเมินใส่เสียจนน่าเกลียดจนเกินไปล่ะนะ!”
“ตอนนี้คงต้องจัดการอย่างนี้ไปก่อน ทุก ๆ ท่านมีอะไรจะเพิ่มเติมไหมครับ?” ศาสตราจารย์โม่มองไปที่อาจารย์ทุกคน
“ไม่มีแล้ว!”
ทุกคนส่ายหน้า เห็นพ้องกันว่าโม่หัวถิงจัดการทุกอย่างไว้ได้ดีมาก ๆ แล้ว
ในเวลานั้นเอง ประตูออฟฟิศก็ถูกผลักเปิดออก ซูชิงเหยียนเดินรี่เข้ามาด้วยความตื่นเต้น
“ทุกท่าน ผมเพิ่งกลับมาจากกระทรวงศึกษาธิการ ขอบอกข่าวดีว่า การที่คนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง มาศึกษาแลกเปลี่ยนที่มหาวิทยาลัยของเราในครั้งนี้ พวกผู้ใหญ่ระดับสูงให้ความสำคัญกันมาก ถึงกับกำชับผมมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยว่า เราต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี อย่าได้ทำผิดพลาดเด็ดขาด มาทำให้มหาวิทยาลัยแพทย์หลินโจวของเรา โด่งดังเป็นพลุแตกในคราวเดียวไปเลย!”
ทุกคนต่างก็ตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่าแม้แต่ผู้นำระดับสูงเองก็ยังตื่นเต้นยินดีไปด้วย
ซูชิงเหยียนเหลือบมองหลินหยุนแวบหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยหันไปหาโม่หัวถิงแล้วพูดว่า ” ศจ.โม่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วใช่ไหม?”
โม่หัวถิงพยักหน้า: “ ตามแผนกำหนดการที่เราคุยกันไว้เมื่อวานนี้ ทุกอย่างได้รับการจัดเตรียมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีมาก!” ซูชิงเหยียนดูเป็นกังวล: “หมอเทพหลิน คุณมีอะไรจะเพิ่มเติมไหมครับ?”
หลินหยุนพูดอย่างไม่เป็นทางการว่า “ไม่มี”
“ถ้าอย่างนั้น ก็เหลือแค่ รอคนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งมาถึงเท่านั้นแล้วล่ะ!”
มหาวิทยาลัยแพทย์หลินโจว ห้องเรียนแพทย์แผนจีน
เซี่ยหยู่เวยนั่งเงียบ ๆ อยู่ข้างหน้าต่าง ฟังความคิดเห็นของเพื่อนในคลาสเรียน
“ฉันได้ยินมาว่า วันนี้จะมีคนจากมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง มาที่เรียนคลาสเรียนเดียวกับพวกเราด้วย อธิการบดีซู ถึงกับออกไปเชิญวิทยากรจากข้างนอกมาแบบเป็นการส่วนตัวเลยเชียวนะ!”
เด็กสาวร่างท้วม ๆ คนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจเต็มที่ : “ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ นะ มหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง นับเป็นเกณฑ์มาตรฐานสูงสุด สำหรับโรงเรียนแพทย์จีนทั้งหมดในประเทศจีน ! ทำไมถึงได้วิ่งมาฟังการบรรยายที่มหาวิทยาลัยเล็ก ๆ อย่างมหาวิทยาลัยแพทย์หลินโจวกันล่ะ?”
“นี่จะไม่เข้าตำรา ละทิ้งรากฐานมุ่งหาสุดปลาย หรอกเหรอ?”
(*เป็นสุภาษิตจีนที่มีความหมายว่า ทำสิ่งใดไม่ให้ความสำคัญกับรากฐาน สนใจแต่สิ่งที่อยู่สุดปลาย หรือทำสิ่งใดไม่ให้ความสำคัญกับแก่นแท้ เพียงแต่สนใจเรื่องจุกจิกเล็กน้อย)
“ฮะๆ แค่นี้เธอก็ไม่เข้าใจเหรอ! นี่ไม่ใช่เพราะว่าเรามีหมออัจฉริยะคนหนึ่ง มาปรากฏตัวขึ้นในหลินโจว แล้วสร้างเทคนิคการฝังเข็มที่เหมือนมีมนต์วิเศษ จนทำให้พวกหมอที่มีชื่อเสียงทั้งหลายในปักกิ่ง ต้องตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างกันไปหมดเลยหรอกเหรอ ? ถึงได้จัดให้พวกหัวกะทิของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง มาฟังการบรรยายที่มหาวิทยาลัยเล็ก ๆ อย่างมหาวิทยาลัยแพทย์หลินโจวเราไงเล่า!” เด็กสาวตาตี่ ๆ อีกคนพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
เด็กสาวตัวท้วมๆ ถามอย่างประหลาดใจว่า “หลินโจวเรา ยังมีหมออัจฉริยะที่ร้ายกาจขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ? เป็นใครกันนะ ? ศาสตราจารย์โม่ ? หรือว่าอธิการบดีซู ?”
เด็กสาวตาตี่ หันไปมองเซี่ยหยู่เวยที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งริมหน้าต่าง: “ฉันได้ยินจากลุงคนหนึ่งที่ทำงานในสมาคมการแพทย์หลินโจวบอกว่า คนที่มอบวิชาฝังเข็มให้สมาคมการแพทย์จีน เป็นพ่อของดาวมหาลัยเรา เซี่ยเจี้ยนโก๋ !”
สาวร่างท้วมดูตกใจ: “ว้าว ที่แท้ก็เป็นพ่อของดาวมหาลัยเรานี่เอง ที่เป็นหมออัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในหลินโจว!”
“หยู่เวย ทำไมฉันไม่เคยได้ยินเธอเล่าเรื่องนี้ให้ฟังมาก่อนเลยล่ะ?!”
เซี่ยหยู่เวยแค่ยิ้มๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา รอยยิ้มนั้นดูค่อนข้างกระอักกระอ่วนในที
เธอจะพูดได้อย่างไรล่ะว่า เทคนิคการฝังเข็มสุดมหัศจรรย์นั้น ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพ่อของเธอ แต่ถูกสร้างโดยหลินหยุนต่างหาก?
เมื่อคิดถึงหลินหยุน จิตใจที่สงบราบเรียบของเซี่ยหยู่เวย ก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมาทันที
หลังจากเรื่องในงานฉลองวันเกิดของเซี่ยเจี้ยนโก๋ครั้งก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยหยู่เวยกับเจิ้งเทียนหมิง ก็บังเกิดรอยร้าวอันยากจะสมานได้
สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกนั้น ทันทีที่บังเกิดรอยร้าวจากความบาดหมาง ย่อมบังเกิดความคลางเคลงใจสงสัยในกันและกันได้ง่าย
เซี่ยหยู่เวยรู้สึกว่า ความรู้สึกที่เจิ้งเทียนหมิงมีให้เธอ เริ่มเกิดเป็นความสงสัยคลางแคลงใจไปแล้ว
“ต้องโทษไอ้สารเลวหลินหยุนนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่เทียนหมิงก็คงไม่ดำเนินมาถึงจุดนี้หรอก!”
เซี่ยหยู่เวยคิดแต่ว่าหลินหยุนเป็นแค่คนไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ไม่เคยเห็นเขาในสายตา กระทั่งตอนนี้ ความสำเร็จในทักษะการแพทย์ของหลินหยุน ได้ก้าวล้ำหน้า อยู่เหนือขึ้นไปจนเกินเอื้อมมือเธอไปมากแล้ว แต่ในใจของเซี่ยหยู่เวย เธอก็ยังคงสลับสับสนกับตำแหน่งนี้ไม่หาย
ต่อให้หลินหยุนจะมีความสามารถด้านการแพทย์สูงไปกว่านี้อีกสักแค่ไหน แต่ในใจของเธอ เขาก็ไม่มีวันเทียบกับเจิ้งเทียนหมิงได้ไปตลอดกาล
เว้นเสียแต่ว่า หลินหยุนจะมีอำนาจบารมีมากกว่าเจิ้งเทียนหมิง
ไม่นาน อาจารย์ผู้สอนก็มาประกาศชื่อนักเรียนจำนวนหนึ่ง แจ้งให้พวกเขาไปที่ห้องเรียนพิเศษชั่วคราว
นักศึกษาทุกคนเข้าใจดี ว่าสิ่งนี้มันหมายความว่าอย่างไร ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ จึงถูกห้อมล้อมไปด้วยสายตาอิจฉาริษยาของนักศึกษาคนอื่น ๆ ทันที
และแน่นอนว่า เซี่ยหยู่เวยก็เป็นหนึ่งในนั้น
เด็กหนุ่มที่ออกจะเป็นคนปากมากคนหนึ่ง ถามอาจารย์ไปว่า: “อาจารย์หวางครับ พวกหัวกะทิของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งที่มาฟังการบรรยายครั้งนี้ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบในการบรรยายให้เหรอครับ?”
“คนคนนี้น่าจะต้องอยู่ในเมืองหลวงรึเปล่า? เป็นศาสตราจารย์โม่หัวถิง หรือว่าอธิการบดีซูจะเป็นคนขึ้นไปบรรยายเองครับ?”
อาจารย์ผู้สอนเหลือบมองเขา จากนั้นค่อยเหลือบมองบรรดานักศึกษา ที่พากันหูผึ่งรอฟังกันสลอน แล้วยิ้มอย่างลึกลับ: “ครั้งนี้ อธิการบดีซูไปเชิญหมออัจฉริยะท่านหนึ่ง ให้มาร่วมการบรรยายแบบเป็นการส่วนตัว ครูได้ยินมาว่าเขาร้ายกาจมากเลยเชียวล่ะ”
“หมออัจฉริยะท่านไหน? ในหลินโจวเรามีหมออัจฉริยะมาจากไหนกันเหรอครับ? ” ชายหนุ่มปากมากถามแบบกัดไม่ปล่อย
“อย่าถามมากน่า เดี๋ยวพวกเธอก็ได้รู้แล้วล่ะ” อาจารย์พูดจบ เขาก็พาทุกคนไปที่ห้องเรียนใหม่
ไม่ไกลนัก ในห้องเรียนฝังเข็ม
ชายหนุ่มสองคนยืนอยู่นอกห้องเรียน ฟังอาจารย์หญิงคนหนึ่งสอนอยู่ด้านใน บรรยายถึงความสัมพันธ์ระหว่างจุดฝังเข็มในร่างกายมนุษย์
หลังจากฟังไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มที่ใส่ตุ้มหูขนาดใหญ่ก็พูดอย่างดูถูกว่า “ความรู้แบบนี้ ที่ม.พวกเรามีไว้ให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเองทั้งนั้นแหละ พวกนี้ยังต้องให้ครูมาสอนให้ทีละขั้น ทีละตอนยังงี้ด้วยเหรอ!”
“ไม่น่าสนใจสักนิด ฉันถึงว่าแล้วมั้ยล่ะ กะอีแค่ ม.เล็กๆ แบบนี้ มันก็แค่ขยะทั้งนั้น จะไปมีองค์ความรู้ที่แท้จริงอะไรได้!”
ชายหนุ่มอีกคน เก็บหนังสือใส่กระเป๋า จ้องไปที่ชายหนุ่มที่มีต่างหูขนาดใหญ่ พูดอย่างคลุมเครือว่า “เย่เทียนเหา ถ้าอย่างนั้นนายคิดว่าวิชาฝังเข็มปราณไท่ชิง ก็เป็นขยะด้วยงั้นเหรอ?”
เย่เทียนเหาถึงกับสะอึกไปชั่วขณะ พูดอะไรไม่ออก แต่ยังคงรู้สึกไม่ยินยอม จึงดื้อแพ่งเถียงไปข้าง ๆ คู ๆ ว่า “ใครจะไปรู้ว่าไอ้หมอนั่นมันจะบังเอิญโชคดีอะไร ถึงสามารถสร้างเทคนิคการฝังเข็มที่วิเศษขนาดนั้นออกมาได้ หรือบางทีนั่นอาจเป็นเคล็ดวิชาที่มันบังเอิญเก็บได้ ไม่งั้นสถานที่เล็กๆ อย่างหลินโจวนี่ มันจะไปมีหมออัจฉริยะที่ร้ายกาจขนาดนั้นปรากฏตัวขึ้นมาได้ไงเล่า!”