จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 413 เพื่อนในชาติที่แล้ว
หลินหยุนรู้สึกสนใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าโลกบู๊ของประเทศจีน จะไม่ได้ง่ายดายเหมือนอย่างที่เห็นสินะ!”
จากการคาดการณ์ของหลินหยุน ฝีมือระดับซูจื่อเหลียงถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับฉิวเชียนซา แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่โดนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส
และความแข็งแกร่งของฉิวเชียนซาในโลกบู๊ของทั่วทั้งประเทศจีน ก็เรียกได้ว่าอยู่อันดับต้นๆ
สามคนนี้สามารถสร้างบาดแผลสาหัสกับซูจื่อเหลียงได้ เห็นได้ชัดว่ามีฝีมือเหนือกว่าฉินเชียนซา
แต่ว่า ในสายตาของโลกบู๊ทั่วทั้งประเทศจีน คนที่มีฝีมือเหนือกว่าฉิวเชียนซา ก็มีแค่เทพกระบี่เยนหนานเทียน แล้วก็ยังมีเทพแห่งสงครามของเมืองหลวงเจียงร่อโจ๋ จากนั้นก็ไม่เคยได้ยินว่ายังมีใครอยู่อีก
สามคนนี้ มีฝีมือระดับไหนกันแน่?
ยังมีอีกจุดหนึ่ง หลังจากสามคนนี้ ยังมีใครที่มีฝีมือเหนือยิ่งกว่านี้อีกหรือเปล่า?
“ไปกันเถอะ เจ้าพาข้าไปที่ถ้ำเซียนป้ายเยว่อีกสักรอบ” หลินหยุนพูดด้วยเสียงเรียบๆ
ตอนนี้ หลินหยุนรีบร้อนในการตามหาทรัพยากรที่ใช้ในการบำเพ็ญตน ถ้าเกิดสามารถหาถ้ำผู้บำเพ็ญตนในยุคโบราณเจอจริงๆ มันจะมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญของตัวเขาเป็นอย่างมาก
“ครับ”
แววตาของซูจื่อเหลียงเปล่งประกาย มีหลินหยุนไปพร้อมกับเขา จะต้องล้างแค้นให้เขาได้อย่างแน่นอน แล้วแย่งถ้ำเซียนป้ายเยว่กลับมา
อำเภอจีหมิงเป็นอำเภอเมืองเล็กๆที่อยู่ในหลินโจว ไม่มีมีอะไรโดดเด่น แถมเมื่อไม่นานมานี้เพิ่งถูกเอารายชื่อออกจากเมืองที่ยากจน
หลังจากที่ซูจื่อเหลียงได้พาหลินหยุนมาถึงอำเภอจีหมิง หลินหยุนถึงได้รู้ว่า ที่แท้ถ้ำของเซียนป้ายเยว่ ก็อยู่บนภูเขาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของหมู่บ้านเปากู่
หมู่บ้านเปากู่ ถูกก่อตั้งขึ้นทางกลางภูเขา ภูเขารูปนี้ก็คือภูเขากู่
หมู่บ้านเปากู่ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาภู่
หมู่บ้านเปากู่ ก็เป็นสถานที่ที่พ่อของหลินหยุน หลินตงหัวดิ้นรนใช้ชีวิตมานับสิบๆปี ก็เรียกได้ว่าเป็นบ้านของหลินหยุน
สำหรับหมู่บ้านเปากู่ หลินหยุนเองก็รู้สึกคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย
ชาติที่แล้วเขาก็สนใจประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านเปากู่เป็นอย่างมาก เขาเคยเห็นลายแทงภูมิศาสตร์ในสมัยราชวงศ์หมิง จากหลินตงหัว ทำให้รู้ว่าหมู่บ้านเปากู่แห่งนี้ ก่อตั้งมาอย่างน้อยๆก็พันปีแล้ว
ภูมิศาสตร์ที่หมู่บ้านเปากู่อยู่มันไม่ค่อยดีนับ ตรงกลางเป็นภูเขาขนาดใหญ่ หรือก็คือภูเขากู่ ก็เหมือนกับมีดแหลมคม ที่เสียบอยู่ใจกลางของหมู่บ้านพอดิบพอดี
และรอบๆก็ล้วนแต่เป็นภูเขาเล็กๆ พื้นดินก็ไม่อุดมสมบูรณ์ ในยุคสมัยที่มีผลผลิตต่ำ ล้วนต้องพึ่งการล่าสัตว์ เพื่อดำรงชีวิต
มีโอกาสหลายครั้งที่คนของหมู่บ้านเป่ากู่อยากจะอพยพออกไป ในยุคสมัยราชวงศ์ชิงของฮ้องเต้เฉียนหลงก็มีครั้งหนึ่ง และอีกครั้งในยุคปัจจุบัน
ถ้าพูดการตามตรงมันก็เป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเป่ากู่ แต่ว่า ทั้งสองครั้งก็ไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่ามีอะไรที่ค่อยห้ามเอาไว้กันแน่
ก็เหมือนกับ คนที่อยู่ในหมู่บ้านเปากู่ ทุกยุคทุกสมัยก็ต้องค่อยเฝ้าปกป้องภูเขากู่ยังไงอย่างงั้น
ตอนชาติก่อน หลินหยุนสนใจภูเขากู่เป็นอย่างมาก และเคยขึ้นไปที่ภูเขากู่ แต่ว่า นอกจากภูเขาลูกใหญ่ที่ล้อมรอบอยู่ในรัศมีหลายสิบลี้ ภูเขากู่ก็ไม่มีอะไรที่พิเศษอีก
แต่ว่า ด้วยสายตาของหลินหยุนในตอนนี้ ขึ้นภูเขากู่อีกรอบ บางทีอาจจะเห็นสิ่งที่แตกต่างจากครั้งที่แล้ว
หมู่บ้านเปากู่ในตอนนี้ ได้สร้างถนนซีเมนต์ที่สว่างใสเอาไว้ ลากยาวไปจนถึงถนนของทุกหมู่บ้าน
หลินหยุนและซูจื่อเหลียงมาถึงหมู่เปากู่แล้ว ไปทำธุระที่อำเภอรอบหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปที่อำเภอเมือง
ซูจื่อเหลียงถามด้วยความสงสัยว่า “อาจารย์ ทำไมพวกเราถึงไม่เข้าไป?”
หลินหยุนพูดด้วยเสียงเรียบๆว่า “ไม่ต้องรีบร้อน อีกสองวันก็จะถึงวันส่งท้ายปีแล้ว รอให้ผ่านปีใหม่ไปก่อนค่อยว่ากันอีกที”
ซูจื่อเหลียงพูดด้วยความกังวลว่า “อาจารย์ ถ้าเกิดคนพวกนั้นทำลายค่ายกลได้แล้วจะทำยังไง?”
หลินหยุนพูดด้วยความมั่นใจว่า “สบายใจได้ ในเมื่อพวกเขาใช้เวลานานขนาดนี้ก็ยังไม่สามารถทำลายค่ายกลลงได้ ช่วงเวลาสั้นๆแค่นี้พวกเขาไม่สามารถทำลายได้หรอก”
ซูจื่อเหลียงไม่ได้พูดอะไรอีก แค่เดินตามหลินหยุนกลับไปที่อำเภอเมือง
ทั้งสองคนไปโรงแรมที่หรูที่สุดของอำเภอเมือง แล้วก็จองห้อง
ชาติที่แล้ว หลินหยุนมีเพื่อนสนิทหลายคนที่อยู่ในอำเภอจีหมิง
เบื้องหน้าดูเป็นคนตรงๆ ข้างในใจกลับเป็นคนละเอียดอ่อน ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ และเป็นคนซื่อสัตย์เขามีชื่อว่ามู่เฉิง
แม้จะเป็นคนแปลกๆ ชอบเรียกตัวเองว่าเป็นคนที่สามารถทำนายดวงชะตาในอนาคตได้เขามีชื่อว่าซูเย่นหนิง
มีนิสัยที่ค่อนข้างพิเศษ หญิงสาวผู้เงียบขรึมและงดงามเธอมีชื่อว่าโม่หยู่
ครั้งนี้ ในเมื่อมาถึงอำเภอจีหมิง แน่นอนว่าต้องไปเจอสักหน่อย
แต่ว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่หวางซูเฟินหาหลินหยุนเจอ แล้วมารู้จักพวกเขาที่อำเภอจีหมิง
ในตอนนี้ หลินหยุนรู้จักพวกเขา แต่พวกเขาไม่ได้รู้จักหลินหยุน
ชาติที่แล้ว ตอนที่หลินหยุนเพิ่งรู้จักพวกเขา ก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่ผ่านเรื่องต่างๆมามากมาย
แต่ว่า พวกเขาก็เก็บฝังเรื่องของตัวเองไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ ไม่เคยระบายให้ใครฟัง
แต่ว่ามีครั้งหนึ่งตอนที่ดื่มเหล้าจนเมา หลินหยุนก็ได้ยินมู่เฉิงละเมอเรียกชื่อผู้หญิงคนหนึ่งออกมา เขาเมาทั้งคืน และเรียกชื่อนั้นทั้งคืน
ถ้าเกิดผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ติดหนี้เขาเป็นจำนวนมาก งั้นผู้หญิงคนนี้ก็ต้องเคยทำให้เขาเจ็บจนจำฝังใจ อาจจะทางกาย หรือทางใจ
แต่ มันจะต้องฝังลึกมากอย่างแน่นอน!
หลินหยุนสนใจเรื่องของเพื่อนคนนี้เป็นอย่างมากมาโดยตลอด ชาติที่แล้วเขาไม่มีโอกาส ชาตินี้ บางทีเขาอาจจะได้เห็นกับตาก็ได้
หลินหยุนให้ซูจื่อเหลียงพักอยู่โรงแรม ส่วนตัวเขาก็ออกจากโรงแรม เตรียมตัวที่จะไปหามู่เฉิงก่อน
หลินหยุนกดลิฟต์ ระหว่างที่กำลังรอลิฟต์ ก็ได้ยินการสนทนาของคนที่อยู่ในลิฟต์
“คนที่อยู่ชั้นสามเป็นใครกันเหรอ?ทำไมถึงมีหนุ่มใส่ชุดสูทสีดำเฝ้าอยู่หน้าประตูเยอะขนาดนั้น มันดูแปลกและน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก!”
“ชู่ อย่าพูดซี้ซั้ว คนที่มาชั้นสามในวันนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของอำเภอเรา”
“อ้า มีคนใหญ่คนโตจากไหนบ้างเหรอ?”
“เคยได้ยินบริษัทมู้่ซื่อกรุ๊ปไหม? เคยได้ยินบริษัทซี่ไห่กรุ๊ปไหม? ประธานของพวกเขามาด้วยตัวเอง!”
“โอ้พระเจ้าบริษัทมู้่ซื่อกรุ๊ปกับบริษัทซี่ไห่กรุ๊ปงั้นเหรอ! นี่เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอำเภอเราถูกไหม…..”
พอประตูลิฟต์เปิดออก คนที่อยู่ข้างในเป็นพนักงานสาวสองคน วินาทีที่เห็นหลินหยุน ทั้งสองก็ก้มหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลินหยุนเดินเข้าไปในลิฟต์ ตอนแรกกะจะไปที่ชั้นหนึ่ง ตอนนี้หลินหยุนเปลี่ยนความคิดแล้ว
บริษัทมู้่ซื่อกรุ๊ป เป็นบริษัทของบ้านมู่เฉิง
ส่วนบริษัทซี่ไห่กรุ๊ป ก็เป็นคู่แข่งตัวฉกาจของบริษัทมู้่ซื่อกรุ๊ป
แน่นอนว่า บริษัทแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง ไม่ว่าจะขนาดของธุรกิจหรือเงินทอง แน่นอนว่าไม่สามารถเทียบกับบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปได้
ความจริงที่บอกว่าโด่งดังมาก อำนาจของบริษัทมู้่ซื่อกรุ๊ปและบริษัทซี่ไห่กรุ๊ป น่าจะมีอำนาจประมาณบ้านของจางหมิงและพวกฉินโส่ว
เพียงพริบตา หลินหยุนก็มาถึงชั้นสาม
แต่ว่า หลินหยุนที่เพิ่งออกมาจากลิฟต์ ก็ถูกชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสองคนห้ามเอาไว้
“ที่นี่ห้ามเข้า!”
หลินหยุนถาม “เพราะอะไร?”
บอดี้การ์ดคนหนึ่งสำรวจหลินหยุนตั้งแต่หัวจรดเท้า พอเห็นว่าหลินหยุนอายุยังน้อย แถมเสื้อผ้าที่ใส่ก็เป็นเสื้อผ้าทั่วๆไป จึงมองด้วยความดูถูก
“ที่นี่กำลังมีงานเลี้ยงครั้งสำคัญ ห้ามคนนอกเข้า!”
หลินหยุนพูดด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “ฉันมาที่นี่ก็เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง”
แรกเริ่มบอดี้การ์ดทั้งสองก็ตกใจก่อน จากนั้นหนึ่งในนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กน้อย ถ้าเกิดแกคิดจะมาก่อกวน ฉันขอเตือนว่าแกรีบไสหัวไปซะ!ที่นี่กำลังจัดงานประมูลกันอยู่ คนที่มาเข้ารวมงานในครั้งนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตระดับต้นๆของอำเภอนี้ แกที่เป็นแค่เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ก็คิดจะเข้าร่วมงานประมูลงั้นเหรอ แกมีเงินหรือไง?”
หลินหยุนหยิบบัตรทองม่วงที่จินซื่อหรงมอบให้ออกมา “พวกแกรู้จักการ์ดแบบนี้ไหม?”
บอดี้การ์ดทั้งสองก็เป็นคนที่เห็นอะไรมาเยอะ วินาทีที่เห็นบัตรทองม่วง ก็ตื่นตกใจในทันที
มองหลินหยุนโดยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ “นี่มัน บัตรทองม่วงสูงศักดิ์!”
“เป็นไปได้ยังไง!”
บอดี้การ์ดทั้งสองตกใจมาก พวกเขารู้ว่าการ์ดใบนี้เป็นของที่ประธานของบริษัทชิรงกรุ๊ปคุณจินซื่อหรงเป็นคนทำขึ้นมา ว่ากันว่ามีแค่สามใบ คุณจินซื่อหรงเคยประกาศเอาไว้ว่า จะให้การ์ดสามใบนี้กับคนที่เขานับถือที่สุด
หรือว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า จะเป็นหนึ่งในคนที่คุณจินซื่อหรงนับถือ?