จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 461 ตระกูลหม่าแห่งเมืองทิศตะวันตก
ทุกคนต่างทยอยกลับออกจากภูเขาลมสัตว์ประหลาด
ในคืนวันเดียวกันนี้ หลินหยุนได้นำหยกทิพย์ชั้นยอดที่หลงเหลือจากการทำจี้หยกให้กับอีหลิงในครั้งก่อนออกมาจากแหวนเก็บของ
และปรับแต่งให้กลายเป็นจี้หยกป้องกันตัวสองชิ้น เพื่อเตรียมที่จะให้คุณแม่และพี่ฉินหลัน
เดิมทีคิดจะทำขึ้นสามชิ้น แต่เพราะว่าหยกทิพย์ไม่พอ ดังนั้นครั้งนี้จึงยังไม่ได้ทำให้กับหลินตงหัวก่อน
อีกทั้งไม่ว่าอย่างไรก็ตามหลินตงหัวนั้น เขาก็เป็นคนของทางการจีน แม้ว่าจะมีนักบู๊คิดที่จะลงมือทำร้ายเขา ก็คงต้องหวั่นเกรงทางการจีนอยู่บ้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินหยุนนำจี้หยกสองชิ้นมอบให้กับฉินหลัน และได้กำชับให้เธอห้อยติดตัวอยู่ตลอด ไม่ว่าอาบน้ำก็ห้ามที่จะถอดออกมา เพราะว่าเวลามีอันตราย มันสามารถที่จะช่วยชีวิตเธอได้
เดิมทีได้ยินว่าจะต้องห้อยติดตัวตลอดเวลา แม้แต่ตอนอาบน้ำก็ยังต้องห้อยเอาไว้ ฉินหลันเองก็รู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินว่าสามารถช่วยชีวิตได้ ก็ตื่นตัวขึ้นในทันที
“วางใจเถอะ ฉันจะบอกกับท่านประธานกรรมการให้ว่า จะต้องห้อยติดตัวตลอดเวลา” ฉินหลันพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“เดี๋ยวข้าจะไปช่วยเหลือโม่หยู่ คุณกับท่านประธานกรรมการวางใจแล้วก็กลับไปยังมณฑลจงโจวเถอะ และถ้าหากพบเจอกับปัญหายุ่งยากที่แก้ไขไม่ได้ จำไว้ว่าให้โทรศัพท์มาหาฉัน! ” หลินหยุนพูดกำชับ
“นายเองก็ระมัดระวังตัวด้วย” ฉินหลันพูดกำชับไว้ด้วยความกังวล
“อืม และอีกอย่างก็คือจำไว้นะว่าห้ามนำสถานะตัวตนที่แท้จริงของฉันบอกกับท่านประธานกรรมการ! ”
ฉินหลันเหลือบตาขาวใส่หลินหยุน: “รู้แล้ว”
หลินหยุนทำมือในลักษณะท่าทางตกลง แล้วก็หันหลังเดินจากไป
“ช่วยชีวิตโม่หยู่ได้แล้ว จำไว้นะว่าจะต้องรีบบอกให้ฉันทราบในเวลาแรก! ” ฉินหลันตะโกนดังมาจากด้านหลัง
“ทราบแล้ว” หลินหยุนหันหน้ากลับไปยิ้มให้กับฉินหลัน แล้วก็ก้าวเดินจากไป
ฉินหลันไม่ทราบว่าหลินหยุนรู้จักกับโม่หยู่ แต่ว่าเธอก็ได้บอกรูปร่างหน้าตาของโม่หยู่ให้อย่างชัดเจนแล้ว แต่ว่า รายละเอียดที่เธอเองรับรู้นั้น ก็มีอยู่เพียงเท่านี้
โม่หยู่คงไม่ได้บอกกับฉินหลันว่าบ้านของเธออยู่ที่ไหนอย่างแน่นอน เพราะว่าแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นการเชื่อใจ แต่จะกลับกลายเป็นการทำร้ายฉินหลันเสียมากกว่า
ฉินหลันกลัวอยู่ตลอดว่าหลินหยุนจะตามหาตัวโม่หยู่ไม่เจอ ถึงขนาดเสนอบอกว่าให้หลินหยุนไปแจ้งความกับตำรวจ
หลินหยุนไม่ไปแจ้งความกับตำรวจแน่นอน เรื่องราวของผู้บำเพ็ญฝึกฝน จะต้องใช้พละกำลังในการจัดการแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ ปัญหาระหว่างผู้บำเพ็ญฝึกฝน ตำรวจไม่มีทางจะที่เข้ามาจัดการแก้ไขได้
ในชาติที่แล้วหลินหยุนทราบว่าบ้านของโม่หยู่อยู่ที่ไหน โดยได้กำชับให้ซูเหลียงจื่อปกป้องคุ้มกันส่งหวางซูเฟินกับฉินหลันกลับไปยังมณฑลจงโจว ส่วนเขาก็ไปยังที่บ้านของโม่หยู่
คาดว่าเป็นไปได้อย่างมากที่โม่หยู่จะไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้ว แต่ว่าตอนนี้หลินหยุนยังนึกคิดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงไปดูที่บ้านของเธอ ถ้าหากว่าสามารถพบเบาะแสเกี่ยวกับสำนักมนตร์ดำ ก็คงจะเป็นการดีที่สุด
บ้านของโม่หยู่ไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน แต่อยู่ในเขตชานเมืองเป็นบ้านส่วนตัวหลังเดี่ยวสองชั้น มีลานกว้างเฉพาะตัว บรรยากาศสภาพแวดล้อมไม่เลวเลยทีเดียว มีความรู้สึกคล้ายกับคฤหาสน์หลังเล็ก
แต่ว่า ประตูเหล็กสีแดงบานใหญ่ได้ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา โดยได้ล็อคกุญแจจากนอกประตู
หลินหยุนไม่วางใจ จึงได้กระโดดขึ้น เพื่อข้ามเข้าไปในลานบ้าน และตรวจสอบหนึ่งรอบ ให้แน่ชัดว่าไม่มีคน จากนั้นจึงได้กลับออกไป
ตอนนี้ แม้แต่หลินหยุนเองก็ยังไม่รู้ว่าจะไปตามหาสำนักมนตร์ดำได้ที่ไหนแล้ว
แต่ หลินหยุนรู้สึกว่ามีคนหนึ่งซึ่งบางทีอาจจะสามารถช่วยเหลือเขาได้
หลินหยุนจึงได้โทรศัพท์ไปหามู่เฉิง พร้อมกับให้เขาช่วยนัดซูเย่นหนิงเพื่อออกมาพบเจอกัน
ช่วงกลางวัน ภายในร้านกาแฟ
ทั้งสามคนได้กลับมายังสถานที่เก่าอีกครั้งหนึ่ง
“หลินหยุน ยากมากที่นายจะนัดข้าออกมาพบ มีอะไรให้ช่วยเหลือก็รีบพูดบอกมาได้เลย! ” มู่เฉิงดื่มน้ำหนึ่งคำ และตื่นเต้นเล็กน้อย
“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ก็แค่ชวนนายออกมานั่งคุยกัน” หลินหยุนกล่าว
“จริงเหรอ? ” มู่เฉิงกลับมีความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“”จริงสิ” หลินหยุนสีหน้าเฉยเมย โดยมองไม่ออกว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่
ซูเย่นหนิงนั่งอยู่ด้านข้างโดยที่เอาแต่ดื่มชาของตน เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจอะไรแม้แต่น้อยกับเรื่องที่ทั้งสองคนนั้นกำลังพูดคุยกัน
หลินหยุนมองไปที่เขา โดยรู้สึกว่าชายผู้นี้คงน่าจะสังเกตและรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของเขาแล้ว
ขณะนั้น จิตใจของหลินหยุนจึงเกิดความหวังขึ้นมาอยู่บ้าง ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะอาศัยความสามารถในการรับรู้อนาคตล่วงหน้าของซูเย่นหนิง และสามารถที่จะพบเจอตำแหน่งที่โม่หยู่อยู่ได้
“ซูเย่นหนิง ช่วยข้าตรวจสอบดูหน่อยว่าโม่หยู่ตอนนี้อยู่ที่ไหน” หลินหยุนพูดตามตรงออกมา
“โม่หยู่? นายต้องการจะหาเธอเหรอ? เดี๋ยวข้าจะโทรศัพท์หาเธอให้” มู่เฉิงพูด หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วก็เริ่มโทรศัพท์หาโม่หยู่
“ปิดเครื่อง” มู่เฉิงแบมือออก สีหน้าจำยอมและพูดขึ้นว่า: “คงต้องไปหาเธอที่บ้านแล้ว”
หลินหยุนไม่ได้บอกกับมู่เฉิง ที่จริงแล้วเขาเพิ่งกลับมาจากบ้านของโม่หยู่ ซึ่งเรื่องนี้พยายามที่จะไม่ให้เขารู้จะเป็นการดีกว่า
ซูเย่นหนิงขยับเคลื่อนไหวลูกตาไปมา พูดขึ้นว่า: “นายต้องการที่จะตามหาสาวสวยโม่หยู่งั้นเหรอ? ก็ไปหาเธอที่บ้านสิ จะมาถามข้าทำไมล่ะ! ”
หลินหยุนมองไปที่เขา และก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแล้ว พร้อมกับยกแก้วชาขึ้นมาดื่ม
มู่เฉิงถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า: “ทำไม ที่นายตามหาโม่หยู่มีเรื่องสำคัญอะไรอย่างนั้นเหรอ? ”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “เปล่าไม่มีอะไร ก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”
“ดื่มชากันเถอะ”
ทั้งสามคนพูดคุยกันสักพัก บรรยากาศก็ยังคงเหมือนเดิมกับที่ผ่านมา มู่เฉิงพูดมากที่สุด ส่วน หลินหยุนก็ได้แต่นั่งฟังเป็นส่วนใหญ่
ซูเย่นหนิงที่ปกติก็พูดไม่น้อย แต่วันนี้ดูเหมือนว่ามีเรื่องอะไรในใจ จึงพูดน้อยลงกว่าเดิมมาก
มู่เฉิงพูดคุยอยู่คนเดียวพักหนึ่ง จึงได้บ่นขึ้น: “น่าเบื่อจริง พวกนายทั้งสองจิตใจต่างก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แยกย้ายกันเถอะ พวกนายรีบไปจัดการธุระให้เรียบร้อย! ”
ซูเย่นหนิงรีบลุกยืนขึ้น ยิ้มและพูดว่า: “กำลังรอคำนี้จากนายอยู่พอดีเลย”
“นาย……” มู่เฉิงสีหน้าเป็นทุกข์
“ครั้งนี้นายจ่ายเงิน! ” มู่เฉิงโกรธจัดแล้วก็เดินจากไป
เห็นมู่เฉิงเดินจากไปแล้ว ซูเย่นหนิงก็แอบพูดกับหลินหยุนว่า: “โม่หยู่อยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหม่าแห่งเมืองทิศตะวันตก”
“ห้ามให้มู่เฉิงรู้เด็ดขาด”
“ตกลง หลินหยุนพยักหน้า”
ซูเย่นหนิงกะพริบตา: “ข้าก็ช่วยนายได้เพียงเท่านี้ ข้าขอตัวไปก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยว เฉิงเอ๋อ คงจะกลับมาแล้ว”
“ตกลง! ” หลินหยุนมองไปที่เขาแล้วพูดขึ้น
ซูเย่นหนิงตบไปที่บ่าของหลินหยุน และรีบก้าวเดินตามออกไป
เพิ่งเดินจากไปไม่กี่ก้าว ซูเย่นหนิงก็เดินกลับมาอีกครั้งหนึ่ง: “ใช่แล้ว อย่าลืมจ่ายเงินด้วยล่ะ! ”
พูดจบ ก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้กับหลินหยุน จากนั้นก็เดินจากไป
หลินหยุนจ่ายเงินเสร็จ ก็เดินออกมาจากร้านกาแฟ พวกมู่เฉิงทั้งสองคนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
“เมืองทิศตะวันตก คฤหาสน์ตระกูลหม่า”
หลินหยุนพึมพำกับตนเอง เมื่อเดินมาถึงข้างถนนก็เรียกรถแท็กซี่ เพื่อเดินทางไปยังคฤหาสน์ตระกูลหม่าที่เมืองทิศตะวันตก
คฤหาสน์ตระกูลหม่ามีชื่อเสียงมากในท้องถิ่นแห่งนี้ เมื่อหลินหยุนพูดชื่อขึ้น คนขับรถแท็กซี่ก็แสดงท่าทางรับทราบทันที
หลินหยุนได้สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับคฤหาสน์ตระกูลหม่า โดยคนขับรถแท็กซี่เป็นคนคุยเก่ง ซึ่งก็ได้เล่าเรื่องราวที่ตนเองทราบให้กับหลินหยุนฟัง
แต่ว่า ข้อมูลที่มีประโยชน์กลับไม่มากพอ เพียงแค่บอกเล่าว่าคฤหาสน์ตระกูลหม่าหลังนี้มีอยู่เป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งคนในบ้านหลังนี้ต่างก็ลึกลับ เมื่อหลายสิบปีก่อนยังเกิดเหตุการณ์ผีสิงหลอกหลอน ดังนั้นคนทั่วไปไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้
เพราะว่าเรื่องราวที่ผิดแปลกเหนือธรรมชาติ จึงทำให้ทุกคนไม่ค่อยกล้าที่จะสนใจคฤหาสน์ตระกูลหม่ามากนัก เพียงแค่บังเอิญพบเห็นคนต่างถิ่นที่แปลกประหลาดจำนวนมาก ทยอยกันเข้าออกคฤหาสน์ตระกูลหม่า
จากข้อมูลเหล่านี้ หลินหยุนจึงสรุปได้ว่า โม่หยู่คงน่าที่จะอยู่ที่นั่น
ขณะที่หลินหยุนกำลังเดินทาง ในเวลานี้คฤหาสน์ตระกูลหม่ากำลังเกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้น
ภายในลานกว้าง หม่ายู่หวาผู้ที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์ตระกูลหม่า ได้พาภรรยา พร้อมกับเด็กหนุ่มอีกหลายคน ยืนขวางอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ เพื่อไม่ให้คนที่อยู่ด้านนอกเหล่านั้นเข้ามาด้านในได้
พวกคนเหล่านั้นที่อยู่ด้านนอกแบ่งแยกออกเป็นสามฝ่าย ชายชราอายุห้าสิบกว่าปีสองคนและยังมีหญิงชราคนหนึ่งที่บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแห้งกร้านดั่งหนังงู ที่ต่างก็ได้นำพาลูกน้องหลายคนของตนเอง โดยทั้งหมดได้ถูกกีดกันอยู่ด้านหน้าประตู
“ไอ้คนแซ่หม่า นายคิดให้ดีนะว่า นายกล้าที่จะขัดขวางพวกข้า ก็แสดงว่านายเป็นกบฏ! ” ชายชราหนึ่งในนั้นผู้ที่สวมใส่แหวนหยกเขียวพูดข่มขู่ขึ้นด้วยเสียงที่เย็นชา
หม่ายู่หวาหัวเราะและพูดขึ้นว่า: “เป็นกบฏ? เหอเหลียนเฉิง นายอย่าได้มาใส่ร้ายข้าเชียวนะ! ข้าได้รับคำสั่งให้เฝ้าคุมอยู่ที่นี่ จะเป็นกบฏได้อย่างไรกัน? ”
“แล้วนายได้รับคำสั่งจากใคร? ตอนนี้พวกข้าได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนัก ให้มานำตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ขาวกลับไปยังสำนักใหญ่ นายทำไมต้องมาขัดขวางด้วย! ” เหอเหลียนเฉิงตะโกนพูดขึ้นด้วยความโกรธ
“ขอโทษด้วย ข้ารับฟังคำสั่งจากพระบุตรศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าหากเจ้าสำนักต้องการจะนำตัวคนกลับไป ก็ให้พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สั่งการมาที่ข้า! ” หม่ายู่หวาเอามือสองข้างกอดอก พร้อมกับแสดงสีหน้าท่าทางที่เด็ดเดี่ยว
เหอเหลียนเฉิงโกรธมาก: “หม่ายู่หวา ในสำนักเคารพให้เกียรติเจ้าสำนักเป็นผู้สูงสุด แม้ว่าจะเป็นพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องฟังคำสั่งเจ้าสำนัก แล้วนี่นายคิดที่จะทำอะไร! ”
“พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้รับตำแหน่งต่อจากเจ้าสำนักเลย นี่นายคิดที่จะเป็นกบฏใช่ไหม? ”