จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 464 พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำปรากฎตัว
โม่หยู่พูดด้วยเสียงนุ่มนวลว่า: “หลินหยุน ยายหยูพูดค่อนข้างโผงผางไปหน่อย นายอย่าได้โมโห แต่ว่าที่เธอพูดนั้นล้วนเป็นความจริง พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำมีพลังความสามารถที่เก่งกาจมาก และยังได้ฝึกฝนวิชามนตร์ดำอีก ต่อให้เป็นนักบู๊ที่มีฝีมือก็ยังไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา นายเป็นแค่คนธรรมดาทั่วไปหากพบกับเขาก็จะเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์”
“จริงเหรอ? คุณพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นแล้ว อยากที่จะพบเจอกับ พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่เชี่ยวชาญเวทมนตร์เสียแล้ว”
หลังจากที่ได้เกิดใหม่ หลินหยุนเคยพบเจอเพียงแค่ผู้ฝึกบู๊ ที่ทะเลสาบมังกรร้ายเคยพบเจอผู้ฝึก เวทมนตร์ และผู้ฝึกที่สำนักยินซือ แต่ว่าผู้ฝึกเวทมนตร์เขากลับยังไม่เคยพบเจอมาก่อน
เขาต้องการที่จะพบเจอจริง ๆ
หม่ายู่หวาเห็นว่ายายหยูกับโม่หยู่ต่างก็กำลังเตือนให้หลินหยุนหนีกลับออกไป ซึ่งได้ลืมสถานภาพของตนเองไปชั่วขณะ คิดเป็นจริงเป็นจังไปว่าหลินหยุนคงจะเกรงกลัวพระบุตรศักดิ์สิทธิ์
“ไอ้หนุ่มน้อย ยอมรับฟังคำเตือนคนอื่นเสียบ้าง จะเป็นผลดีกับตนเอง ลำพังแค่นาย ถือรองเท้าให้กับพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่คู่ควรเลย หากคิดที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปก็รีบหลบหนีไปซะ! ”
หลินหยุนหันหน้ากลับไปมองเขาอย่างเงียบเฉย: “เสียงเอะอะน่ารำคาญ! ”
พูดจบ เงาร่างหลินหยุนแวบหายไป จากนั้นก็มาอยู่ที่ข้างตัวของหม่ายู่หวา
เปรี๊ยะ!
เสียงดังสนั่น หลินหยุนใช้ฝ่ามือตบไปที่ด้านข้างใบหน้าของหม่ายู่หวาเต็มแรง ทำให้ตัวเขาลอยกระเด็นออกไปไกล
“คุณพี่หม่า! ” ภรรยาของหม่ายู่หวาอุทานขึ้น แล้วรีบวิ่งตรงเข้าไป ประคองหม่ายู่หวาขึ้นจากพื้น และถามอย่างกังวลว่า: “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”
หม่ายู่หวามองไปยังหลินหยุนด้วยความหวาดกลัว พูดเสียงเบาว่า: “ข้าไม่เป็นอะไร! ”
“พลังความสามารถของไอ้หนุ่มนี้ เกรงว่าจะอยู่ในระดับขั้นสูงสุดแล้ว มีเพียงแค่พระบุตรศักดิ์สิทธิ์กับเจ้าสำนักเท่านั้นที่จะสามารถจัดการกับเขาได้! ”
ภรรยาของเขามีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง: “เป็นไปได้อย่างไรกัน? ” มองดูแล้วเขาก็คงมีอายุเพียงแค่ยี่สิบปีเท่านั้น ในโลกใบนี้จะมีปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่อายุยังน้อยขนาดนี้ได้อย่างไร!
การฝึกฝนของหม่ายู่หวากับภรรยาทั้งคู่นั้น ต่างก็อยู่ในระดับขั้นแดนเวทมนตร์เทียบเท่ากับการฝึกฝนระดับขั้นพรสวรรค์สูงสุดในโลกบู๊
ส่วนการฝึกฝนของคนอื่นอย่างเหอเหลียนเฉิงฉีต้าถงและยายงู ต่างก็อยู่ในระดับขั้นพรสวรรค์สูงสุดเช่นกัน
แต่พวกคนเหล่านี้ฝึกฝนวิชาเวทมนตร์ ซึ่งวิธีการโจมตีแตกต่างกันกับนักบู๊ โดยในระดับขั้นเดียวกัน พลังความสามารถจะสูงกว่านักบู๊เล็กน้อย
เดิมทีใบหน้าอันแก่ชราของยายหยูเต็มไปด้วยความโมโห แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อเห็นหลินหยุนตบหม่ายู่หวาจนลอยไปไกล และได้ถามขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อว่า: “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนของคุณคนนี้เป็นปรมาจารย์บู๊ใช่ไหม? ”
“ทำไมคุณไม่พูดบอกกันตั้งแต่แรก! ทำให้ยายแก่อย่างฉันเมื่อครู่ต้องเสียหน้าอับอายอย่างมาก! คิดถึงเมื่อครู่ที่เธอว่ากล่าวหลินหยุนว่ารนหาที่ตาย และยังไล่ให้หลินหยุนหลบหนีไป ใบหน้าอันแก่ชราของยายหยูถึงกับร้อนผ่าว”
เวลานี้โม่หยู่ก็มีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึงเช่นกัน ซึ่งเธอจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหลินหยุนเป็นถึงปรมาจารย์นักบู๊ล่ะ!
ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาพบเจอกันครั้งแรกที่ร้านกาแฟ หลินหยุนพูดแค่เพียงว่าเขารู้จักปรมาจารย์นักบู๊ท่านหนึ่ง คาดว่าที่เขาพูดถึงนั้นก็คือตัวเขาเองล่ะสิ!
หรือว่าในตอนนั้น เขาก็มองออกแล้วว่าตัวเองไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป? ดังนั้นจึงคิดที่จะตักเตือนตัวเอง ช่วยเหลือตัวเอง?
โม่หยู่แอบครุ่นคิดอยู่ในใจ
“ยายหยู ฉันเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อครู่นี้เช่นกัน โดยนึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงปรมาจารย์นักบู๊! ”
“นี่……” ยายหยูหมดคำที่จะพูดต่อแล้ว วัยรุ่นสมัยนี้ทำความรู้จักเป็นเพื่อนกันแบบนี้เหรอ? แม้แต่เพื่อนของตนเองเป็นคนอย่างไรก็ไม่รับรู้รับทราบ และก็คบค้าสมาคมเป็นเพื่อนกันแล้ว?
ภรรยาของหม่ายู่หวาส่งสายตาให้กับหม่ายู่หวา นั่นเป็นการบอกเป็นนัยว่าให้เขาหลบหนีไป
หม่ายู่หวาส่ายศีรษะ โดยเมื่ออยู่ต่อหน้าปรมาจารย์ พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะหลบหนีไปไหนได้พ้น
แต่เพื่อการมีชีวิตอยู่รอด หม่ายู่หวาจำเป็นที่จะต้องพยายามดูสักครั้ง
“ปรมาจารย์ ข้าทราบดีว่าตนเองต่ำต้อยไม่ใช่คู่ต่อกรของท่าน แต่ว่าพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ใกล้ที่จะมาถึงแล้วจริง ๆ แม้ว่าท่านจะมีพลังความสามารถที่สูงส่ง แต่ก็คงจะไม่ใช่คู่ต่อกรของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ของพวกข้าอย่างแน่นอน โดยเห็นว่าที่ท่านได้เคยลงมือจัดการกับพวกเหอเหลียนเฉิงเพื่อช่วยเหลือข้านั้น ข้าขอเตือนท่านจากใจจริงว่า รีบหนีไปเถอะ! ”
ยายหยูนึกคิดอะไรได้ขึ้นมาทันใด และดุด่าออกไปด้วยความโมโห: “หม่ายู่หวา นายนี่มันช่างเป็นคนสารเลวยิ่งนัก! เดิมทีที่นายพาพวกเราหลบหนี ไม่ใช่เพื่อที่จะหลบหนีการตามล่าสังหารของ พวกสามตระกูลนั่น แต่เป็นเพราะไม่ต้องการให้หลินหยุนช่วยชีวิตของพวกเราต่างหาก! ”
หม่ายู่หวาโต้แย้งขึ้นว่า: “ยายหยู ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับทุกคน! ถ้าหากเขาช่วยชีวิตพวกคุณเอาไว้ พระบุตรศักดิ์สิทธิ์คงจะตำหนิข้าอย่างแน่นอน อีกทั้งพวกคุณเองก็จะต้องพลอยโชคร้ายไปด้วย และยังจะทำให้เขาเดือดร้อนจนถึงกับต้องเสียชีวิตก็เป็นได้”
“ถ้าหากเขาไม่สามารถช่วยชีวิตพวกคุณได้ อย่างนั้นพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่ตำหนิกล่าวโทษข้า พวกคุณเองก็จะปลอดภัยสงบสุข ซึ่งนี่คือวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย! ”
“บัดซบ! นายจะหวังดีขนาดนี้เชียวเหรอ? นายก็แค่กังวลว่าจะถูกพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ตำหนิลงโทษ! ” ยายหยูกล่าวขึ้นด้วยความโมโห
หลินหยุนมองไปยังหม่ายู่หวาที่มีสีหน้าท่าทางจริงใจ และพูดขึ้นว่า: “ข้าจะไว้ชีวิตนาย เพื่อให้นายได้เห็นกับตาตนเองว่าพระบุตรศักดิ์สิทธิ์จะเสียชีวิตลงอย่างไร ตอนนี้ข้าจะนำตัวเธอไป นายมีความคิดเห็นอย่างไร? ”
หม่ายู่หวาจะกล้ามีความคิดเห็นอะไรได้อย่างไรกันล่ะ? แต่ หากธิดาศักดิ์สิทธิ์หายตัวไป พระบุตรศักดิ์สิทธิ์คงจะลงโทษเขาอย่างหนักเป็นแน่ อาจจะถึงขนาดที่เอาชีวิตของเขาเลยก็เป็นได้
“ปรมาจารย์ ถือว่าข้าขอร้องท่านแล้วกัน ท่านไม่สามารถนำตัวของธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปได้จริง ๆซึ่งหากพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ตำหนิกล่าวโทษเมื่อไหร่ พวกเราทุกคนคงจะต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด! ” หม่ายู่หวากล่าวอ้อนวอนอย่างบ้าคลั่งเป็นอันมาก
สายตาของหลินหยุนค่อนข้างเย็นชา: “หากพูดขึ้นอีกคำหนึ่ง นายก็คงจะต้องถึงเวลาตายได้แล้ว”
หม่ายู่หวาหุบปากเงียบลงในทันที ได้เพียงแต่มองไปที่หลินหยุนด้วยสายตาที่น่าสงสาร
โม่หยู่มองไปยังหลินหยุนที่มีอานุภาพแกร่งกล้าอย่างมากที่อยู่เบื้องหน้าของเธอ นึกไม่ถึงว่าจะเกิดอาการฟุ้งซ่านจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย รอจนหลินหยุนเดินมายังข้างกายของเธอ แต่เธอเองก็ยังไม่รับรู้อะไร
“ไปกันเถอะ! ” หลินหยุนพูดกระซิบขึ้น
“อืม? ”
“ตกลง! ”
โม่หยู่ได้สติกลับคืนมา และตอบกลับไปอย่างงุนงงอยู่บ้าง
แต่ว่า เมื่อหลังจากที่คิดขึ้นได้ว่าตนเองนั้นตอบอะไรออกไป โม่หยู่ก็หน้าตาแดงก่ำ พูดเสียงเบาว่า: “ขอโทษ ฉันไปด้วยไม่ได้! ”
หลินหยุนมองไปที่เธอ แล้วถามขึ้น: “คุณกังวลว่าพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ยังจะตามไปหาคุณอีกอย่างนั้นเหรอ”
“วางใจได้ หลังจากที่ส่งตัวคุณกลับไปแล้ว ฉันจะเดินทางไปยังสำนักมนตร์ดำ เพื่อกำจัดกวาดล้างสำนักมนตร์ดำให้สิ้นซาก โดยไม่ต้องกังวลตลอดไปว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในภายหลังอีก! ”
โม่หยู่เบิกตาโพลง เหมือนไม่อยากที่จะเชื่อในคำพูดที่ได้ยินกับหูของตัวเอง
“หลินหยุน สำนักมนตร์ดำมีการสืบทอดรุ่นสู่รุ่นมาเป็นเวลานาน มีพลังความสามารถที่แกร่งกล้าและแปลกประหลาดลึกลับ มีลูกศิษย์จำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำการกำจัดกวาดล้างได้”
ยายหยูที่อยู่ด้านข้างก็มองไปยังหลินหยุนด้วยความตื่นตระหนก ตกใจเป็นอย่างมาก ไอ้หนุ่มนี่ช่างกล้าพูดเสียจริง!
ในส่วนของหม่ายู่หวากับภรรยา ต่างก็อ้าปากค้าง ลืมที่จะหุบปากลง
ผ่านไปชั่วครู่ หม่ายู่หวาจึงได้พูดขึ้นอย่างงุนงงว่า: “ภรรยา เมื่อครู่ฉันได้พูดโดยอาศัยพระบุตรศักดิ์สิทธิ์เพื่อข่มขู่เขา แต่คิดไม่ถึงว่าเขานั้นจะลงมือกำจัดกวาดล้างสำนักมนตร์ดำให้สิ้นซาก! ”
นี่มันก็เหมือนกับการพูดคุยธุรกิจกันของพวกเศรษฐี คุณพูดเล่ารายละเอียดให้กับเขาฟังตั้งนาน แต่เขานั้นกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย โดยที่คุณคิดว่าเขานั้นจะหวั่นไหวกับธุรกิจนับแสนนับล้านที่คุณกำลังพูดอธิบายอยู่ แต่ใครจะไปรู้ได้ล่ะว่าพอเขานั้นเอ่ยปากพูด ก็พูดถึงธุรกิจที่มีมูลค่านับร้อยล้านพันล้านแล้ว
เวลานี้คุณถึงเข้าใจได้ว่า เดิมทีไม่ใช่ว่าเขานั้นจะตกใจในสิ่งที่คุณพูด แต่กลับรู้สึกเหยียดหยามจึงมองข้ามไม่ได้สนใจอะไรคุณเลย
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “นายเพียงแค่บอกรังที่อยู่ของสำนักมนตร์ดำให้กับข้าก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนายไม่ต้องยุ่งเกี่ยว”
หากคิดที่จะช่วยเหลือโม่หยู่ จำเป็นต้องจัดการกับสำนักมนตร์ดำให้สิ้นซาก ซึ่งนี่คือการตัดสินใจของหลินหยุนตั้งแต่แรกแล้ว
โม่หยู่ไม่เชื่อว่าลำพังแค่หลินหยุนเพียงคนเดียว ก็จะสามารถกำจัดทำลายทั้งสำนักมนตร์ดำได้ คิดว่าหลินหยุนคงจะพูดโอ้อวดไป เพื่อต้องการหลอกให้เธอกลับไปด้วยกันกับเขา
“หลินหยุน ขอบคุณนายมาก! แต่ว่าฉันคงไม่สามารถกลับไปด้วยได้จริง ๆ ฉันไม่อยากที่จะทำความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น! คุณรีบกลับไปเถอะ หากรอให้พระบุตรศักดิ์สิทธิ์มาถึงแล้ว คงจะยุ่งยากน่าดู”
ฮือ……
ขณะที่กำลังพูด ทันใดนั้นก็เกิดมีเสียงขลุ่ยที่แปลกประหลาดดังขึ้นมาจากระยะไกล ซึ่งเสียงนั้นก็เหมือนกับเสียงของเด็ก ที่ร้องไห้จนคอแหบคอแห้งในตอนลางคืน ไม่น่าฟังอย่างมาก และยังทำให้เกิดอาการขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย
โม่หยู่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที: “แย่แล้ว คือพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ! ”
“หลินหยุนนายรีบหนีไปเร็ว! ” โม่หยู่ร้อนใจจนถึงต้องผลักให้หลินหยุนจากไป
ยายหยูเองก็มองไปยังบริเวณโดยรอบด้วยความตื่นตกใจ เดิมทีลักษณะท่าทางที่ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน ซึ่งเมื่อได้ยินชื่อพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำแล้ว กลับแสดงความหวาดกลัวออกมา!
หม่ายู่หวาทั้งตกใจและดีใจ: “นี่มันเสียงขลุ่ยมารกาโหลของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึงแล้ว! ”