จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 467 วิชากู่
หลินหยุนมองไปที่ยายหยู ซึ่งไม่ได้รู้สึกดีกับเธอสักเท่าไหร่ ถ้าหากไม่ได้เห็นแก่หน้าของโม่หยู่แล้ว จากลักษณะท่าทางของเธอที่ดูหมิ่นเมื่อสักครู่ ก็เพียงพอที่หลินหยุนจะลงมือสั่งสอนเธอแล้ว
“ความสามารถของข้า ใช่ว่าคุณจะคาดเดาออกได้! ” หลินหยุนพูดขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเธออีก
ยายหยูโกรธจนหน้าดำ ลักษณะท่าทางของหลินหยุนช่างหลงระเริงมากเกินไปแล้วจริง ๆ
แต่ แม้ว่าเธอจะไม่พอใจ ก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไร ก็เพราะหลินหยุนเป็นถึงผู้ที่เก่งกาจสามารถต้านทานเสียงขลุ่ยมารกาโหลกล่อมให้หลับใหลของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำได้
เห็นหลินหยุนพูดคุยกับกี่คนนั้นอย่างกำเริบเสิบสาน โดยตนเองกลายเป็นเพียงแค่อากาศ พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำโมโหมากจนปอดจะระเบิดแล้ว
“ไอ้หนุ่มน้อย ต่อให้นายสามารถที่จะต้านทานขลุ่ยมารกาโหลของข้าได้ แต่วันนี้นายก็คงต้องตายอยู่ดี! น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ลมหายใจในร่างกายแรงบ้างอ่อนบ้าง แสงสีเขียวในดวงตาสว่างบ้างมืดบ้าง”
“จะให้นายพบกับพลังความสามารถที่แท้จริงของสำนักมนตร์ดำของข้า! ”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ชุดคลุมสีดำห้อยตกลงไป ปรากฏท่อนแขนที่ขาวราวกับกระดาษ
ฟู่ว์!
ก้อนเปลวไฟสีเขียวสูงสองฟุตได้ลุกโชติช่วงขึ้นบนฝ่ามือของเขา
เปลวไฟนั้นส่งเสียงฟู่ว์ เหมือนกับว่ากำลังลุกไหม้ และก็เหมือนกับว่ามีแมลงขนาดเล็กจำนวนมากกำลังร้อง
เปลวไฟสีเขียวคล้ายกับสิ่งมีชีวิต เหมือนกับน้ำไหล ค่อย ๆ ไหลไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขาโดนปกคลุมอยู่ท่ามกลางเปลวไฟสีเขียว
แต่ว่า หลังจากที่เปลวไฟสีเขียวครอบคลุมไปทั่วทั้งร่างกายของเขาแล้ว เปลวไฟสีเขียวนั้นก็ได้ เจือจางลงไปไม่น้อย
โม่หยู่มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดวงตาเผยความสงสัยขึ้นแวบหนึ่ง: “นี่ นี่คือ……กู่! ”
“นึกไม่ถึงว่านายจะศึกษาวิชาที่ต้องห้ามของสำนัก! ”
ยายหยูถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจว่า: “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ อะไรคือวิชากู่? ”
โม่หยู่มองไปที่หลินหยุน และค่อย ๆ พูดขึ้นว่า: “แมลงร้าย ก็คือสัตว์ล้ำค่าของสำนัก ความตั้งใจใตอนแรกที่เลี้ยงแมลงร้ายนี้ ก็เพื่อใช้รักษาโรคคนป่วย แต่ว่า กลับถูกตระกูลที่มักใหญ่ใฝ่สูงนำไปใช้ประโยชน์ เพาะเลี้ยงแมลงร้ายมีพิษเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำร้ายคน ถึงขนาดมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ทุกคนต่างก็พูดกันถึงเรื่องของแมลงร้ายเปลี่ยนสี”
“ส่วนของวิชากู่ ก็คือใช้ร่างกายของตนเอง มาเลี้ยงแมลงร้าย ซึ่งพวกแมลงร้ายเหล่านี้กับผู้เลี้ยงได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งสามารถเพิ่มพลังความสามารถใหกับผู้เลี้ยงเป็นอย่างมาก อีกทั้งผู้เลี้ยงก็ยังมีลักษณะพิเศษของหนอนกู่ด้วยบางอย่าง โดยเฉพาะพิษร้ายของหนอนกู่ ซึ่งเมื่อคนถูกพิษเข้าก็จะทำให้เสียชีวิตได้”
“เวลานี้ เขาก็เหมือนกับคนพิษ สิ่งของที่เหมือนกับเปลวไฟสีเขียวบนร่างกายของเขานั้น ก็คือ หนอนกู่จำนวนนับพันนับหมื่นตัว”
ได้ฟังเรื่องราวนี้จบลง ต่อให้เป็นยายหยูที่ไม่เกรงกลัวความตาย ก็อดไม่ได้ที่ขาทั้งสองข้างจะ สั่นไหว
“ก็เป็นเพราะวิชากู่ที่โหดร้ายเกินไป จำเป็นต้องใช้เลือดคนมาเลี้ยงแมลงร้าย ดังนั้นจึงถูกสำนักบัญญัติไว้ว่าเป็นวิชาต้องห้าม ทุกคนในสำนัก ห้ามที่จะศึกษาเด็ดขาด”
“แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สำนักมนตร์ดำมีอานุภาพยิ่งใหญ่เกรียงไกร ส่วนสำนักมนตร์ขาวของฉันหลงเหลือเพียงแค่ชื่อเสียง ทำได้เพียงปล่อยให้สำนักมนตร์ดำทำลายชื่อเสียงสำนักของฉัน”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำหัวเราะอย่างเย็นชา: “ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของข้า ต่อให้คุณเตือนเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? อีกไม่นานเขาก็จะต้องตายแล้ว และกลายเป็นอาหารอันโอชะของหนอนกู่ของข้า”
หลินหยุนสีหน้าเย็นชาเล็กน้อย: “คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า บนโลกใบนี้ยังจะมีสิ่งชั่วร้ายขนาดนี้อยู่ด้วย”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำกระหยิ่มยิ้มย่องและพูดขึ้นว่า: “ฮ่าฮ่า ชั่วร้ายเหรอ? ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกอะไรล่ะ! พวกของรักของข้าหิวกันแล้ว พวกมันได้กลิ่นของเลือดสด พวกมันกำลังทักท้วงฉันอยู่? ”
“อย่ารีบร้อน อย่ารีบร้อน ข้าจะหาคนให้กับพวกเจ้าเพื่อลิ้มรสก่อน จากนั้นจะให้พวกเจ้ากินอาหารมื้อใหญ่! ”
สายตาของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ ทันใดนั้นก็มองไปที่หม่ายู่หวากับภรรยาของเขา
“พระบุตร พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ ฉันคือลูกน้องที่จงรักภักดีต่อท่านมากที่สุด! ” หม่ายู่หวาตกใจจน หน้าเขียว กลืนน้ำลายไม่หยุด
“ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าดูความจงรักภักดีของนายหน่อยก็แล้วกัน! ”
เงาร่างของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำหายวับไป ราวกับผี โดยพุ่งตรงไปยังหม่ายู่หวากับภรรยาของเขา
มือสองข้างบีบคอหม่ายู่หวากับภรรยาของเขา และก็หัวเราะเสียงแหลมอย่างน่าประหลาด
หนอนกู่สีเขียวได้โผล่กันออกมาที่ร่างกายของหม่ายู่หวากับภรรยาของเขา ทันใดนั้น ก็มีแสงสีเขียวสว่างเจิดจ้า ซึ่งช่วงเวลาเพียงแค่ครู่เดียว หม่ายู่หวากับภรรยาของเขาซึ่งทั้งสองคนได้สูญหายไป ส่วนเปลวไฟสีเขียวที่เจือจางบนร่างกายพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ ได้กลายเป็นสีเขียวเข้มแล้ว
“นี่……คือวิชาที่ต้องห้ามจริง ๆ คิดไม่ถึงว่าจะชั่วร้ายขนาดนี้! ” โม่หยู่ตกใจจนหน้าซีด และมีสีหน้าท่าทางที่โกรธแค้น
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำหัวเราะแหะแหะ: “พวกของรักข้ายังคงร้องเรียกอยู่ พวกมันบอกข้าว่า พวกมันยังกินไม่อิ่ม พวกมันต้องการจะกินอาหารมื้อใหญ่ ไอ้หนุ่มน้อย ถึงคราวของนายแล้ว! ”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำหัวเราะใหญ่ แล้วก็กระโจนเข้าใส่หลินหยุน
มองไปยังพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำที่กระโจนเข้ามา หลินหยุนแสดงสีหน้าที่เหยียดหยาม: “หนอนสกปรกพวกนี้ คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นของรักของนาย นายยังสมควรที่จะใช้คำว่ามนตร์อยู่อีกเหรอ! ”
หลินหยุนชกหมัดออกไป พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำไม่สามารถที่จะเข้าใกล้ตัวของเขาได้ และก็ถูกพลังอันมหาศาลชกจนลอยไปไกล
“นายรู้ถึงความหมายของคำว่ามนตร์นี้ไหม? ”
“คำว่ามนตร์ ด้านบนมีเส้นแนวนอนเปรียบเป็นฟ้า มีเส้นแนวนอนด้านล่างก็คือดิน ช่วงกลางคือคน โดยใช้พลังของคน ยืนหยัดอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน เพื่อประคับประคองฟ้าดินทั้งหมด”
“ชนเผ่ามนตร์ในสมัยอดีต ไม่ว่าใครคนไหนก็มีพลังความสามารถเป็นเลิศเพียงแค่ขยับเคลื่อนไหวก็สามารถที่จะเคลื่อนย้ายภูเขาไปถมทะเลได้ มีเพียงแต่นายเท่านั้นที่เอาหนอนสกปรกพวกนี้มาเป็นของรักของหวง นายไม่สมควรที่จะใช้คำว่ามนตร์อีกต่อไป”
ขณะที่หลินหยุนพูด มือทั้งสองข้างก็มีเปลวไฟปกคลุมขึ้น เปลวไฟนั้นมีสีม่วงอ่อน แม้ในระยะที่ห่างกัน ก็สามารถรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิความร้อนสูง
โม่หยู่มีสีหน้าท่าทางตื่นเต้น แววตาเผยให้เห็นถึงแสงอันเป็นประกาย: “ผู้ใช้มนตร์ ใช้พลังของคน ยืนหยัดอยู่ระหว่างฟ้ากับดิน เพื่อประคับประคองฟ้าดินทั้งหมด”
“พูดได้ดี พูดได้ดีมากทีเดียว! ”
“นี่ถึงจะเรียกว่าสำนักมนตร์ที่แท้จริง! ”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำพูดขึ้นอย่างโมโหว่า: “ไอ้หนุ่มน้อย อย่าได้มาพูดหลอกหลวงคนอีกเลย นายเองก็อายุแค่ยี่สิบปี หรือว่านายเคยพบเจอกับผู้อาวุโสชนเผ่ามนตร์ในสมัยอดีต? ”
“ถ้าหากนายยังไม่เคยพบเจอ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้นำวิชากู่มาเป็นของล้ำค่า! ”
“ถ้าหากนายมีความสามารถจริง ก็มารับพลังหมัดของข้าสิ ดูว่าหนอนสกปรกที่นายพูดนั้นเก่งกาจ หรือว่านายเก่งกาจกันแน่! ”
หลินหยุนส่ายศีรษะ: “โง่เขลาและมีทิฏฐิอย่างดื้อรั้น! ”
เปลวไฟในมือทั้งสองข้างของหลินหยุนดับลงโดยพลัน และก็ปล่อยหมัดชกเข้าใส่พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำในทันที
โม่หยู่ตกตะลึง และรีบพูดเตือนขึ้น: “หลินหยุน อย่าประมาทเด็ดขาด! หนอนกู่พวกนั้นอันตรายมาก เมื่อเปื้อนติดเข้าก็จะกลืนกินเลือดและกระดูกของคุณ! ”
“ไอ้หนุ่มน้อย นายรนหาที่ตายเอง! ” พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำดีใจ เดิมทีที่เห็นหลินหยุนใช้เปลวไฟปกคลุมมือทั้งสองข้าง เขากังวลว่าจะทำร้ายหนอนกู่ของตนเอง คิดไม่ถึงว่าหลินหยุนจะบ้าระห่ำขนาดนี้ กลับยกเลิกใช้เปลวไฟปกป้องคุ้มครองตัวเอง
ไม่มีเปลวไฟมาปกป้องคุ้มครอง เพียงแค่หนอนกู่ของเขาเปื้อนติดที่ผิวหนังของหลินหยุน เขาก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำพุ่งเข้าใส่หลินหยุนโดยที่ไม่สนใจอะไรแล้ว ปล่อยหมัดรอต้านทานพลังหมัดของหลินหยุน
โครม!
พลังหมัดทั้งสองปะทะกัน พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำลอยกระเด็นไปไกล
ส่วนเปลวไฟสีเขียวที่เปื้อนติดอยู่บนร่างของหลินหยุนนั้น ไม่นานก็มอดดับลงแล้ว หลินหยุนยังคงยืนอยู่ที่เดิมในสภาพที่ปกติไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
“เป็นไปได้อย่างไร! ” พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำแสดงสีหน้าที่เหลือเชื่อ หนอนกู่พวกนี้ต่อให้เป็นถึงปรมาจารย์สูงสุดในโลกบู๊ เมื่อเปื้อนติดก็จะถูกกลืนกินจนหมด
หลินหยุนทำไมถึงไม่เป็นอะไรเลย?
หลินหยุนพลิกข้อมือ พวกหนอนจำนวนมากตกลงไปกองกับพื้น และก็ตายไปทั้งหมด
“ตอนนี้ นายตายตาหลับได้แล้ว”
“ท่าที่สองของสิบแปดท่าต้าเต๋า ท่าแยกน้ำ! ”
หลินหยุนปล่อยพลังหมัดออกไป พลังทั้งหมดกำหนดเป้าหมายไปที่พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ พลังอันมหาศาลทำให้คนรู้สึกได้ว่าไม่อาจที่จะต้านทานรับมือได้
โครม!
เงาร่างของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำถูกชกจนแตกสลายหายไปอีกครั้ง
ซึ่งเป็นการใช้หุ่นเชิดมนตร์อีกครั้ง
“ไอ้หนุ่มน้อย ครั้งนี้ถือว่านายเก่งกาจ พวกเราคอยดูกันต่อไป! ”
พูดจบ พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำที่อยู่ในบริเวณที่ไกลออกไปหลายสิบเมตร ใช้ความรวดเร็วสูงสุด เพียงพริบตาเดียวก็หายตัวสาบสูญไปแล้ว
หลินหยุนไม่ได้ไล่ตามไป เพียงแค่มุมปากเผยออกให้เห็นถึงรอยยิ้มที่แปลกประหลาด
“หลินหยุน ทำไมนายถึงปล่อยตัวเขาไปล่ะ? ” โม่หยู่ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “วางแผนระยะยาว เพื่อได้รับประโยชน์ที่มากยิ่งขึ้น”
โม่หยู่ขมวดคิ้ว พูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่ตื่นตระหนก: “คงไม่ใช่ว่า นายยังคิดที่จะไปกำจัดทำลายสำนักใหญ่ของสำนักมนตร์ดำอีก? ”
“เชื่อฉันเถอะ อย่าได้ทำอะไรที่โง่เขลา สำนักมนตร์ดำไม่ใช่พูดว่าจะกำจัดทำลายก็จะกำจัดทำลายได้โดยง่าย!