จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 468 บุกสังหารสำนักมนตร์ดำ
หลินหยุนไม่ได้โต้แย้ง โดยพูดขึ้นว่า: “วางใจเถอะ ฉันรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร! ”
“กลับไปกันก่อนเถอะ! ”
โม่หยู่พูดเตือนต่อ: “หลินหยุน นายฟังคำเตือนของฉันบ้าง สำนักมนตร์ดำโหดเหี้ยมร้ายกาจอย่างมาก อีกทั้งเจ้าสำนักในปัจจุบันขึ้นชื่อว่าเป็นผู้อมตะ ต่อให้นายจะสามารถเอาชนะพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้ ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคู่ต่อกรของเจ้าสำนัก! ”
“มีอะไรจะพูด กลับไปแล้วค่อยพูดกัน” พูดจบ หลินหยุนก็หันหลังแล้วเดินจากไป
โม่หยู่จำใจยอม ทำได้เพียงเดินตามหลินหยุนกลับไป
พาโม่หยู่ส่งกลับไปถึงที่บ้านแล้ว หลินหยุนก็กำชับไว้ว่า: “คุณพักอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ คนของสำนักมนตร์ดำไม่กล้าที่จะมาหาคุณแล้ว”
พูดจบ หลินหยุนก็มองไปที่โม่หยู่ ไม่รอให้โม่หยู่พูดเตือนอะไรอีก ก็หันหลังแล้วเดินจากไป
รอจนหลินหยุนเดินออกมาแล้วหลายก้าว โม่หยู่ที่อยู่ด้านหลังก็ตะโกนพูดขึ้นโดยพลันว่า: “หลินหยุน สำนักใหญ่ของสำนักมนตร์ดำอยู่ที่อำเภอเฮยสุยในหนานเจียง คนในอำเภอนั้นต่างก็เป็นสมาชิกของสำนักมนตร์ดำ นายจะต้องระมัดระวังตัวให้มาก! ”
“วางใจเถอะ”
หลินหยุนหันหลังกลับไปพยักหน้าให้กับโม่หยู่ โดยลงมือจัดการเพียงครั้งเดียวเพื่อความสุขสบายตลอดไป สำนักมนตร์ดำจะต้องถูกกำจัดทำลายให้สิ้นซาก
ในชาติที่แล้ว ที่โม่หยู่หายตัวไป ก็คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักมนตร์ดำอย่างแน่นอน
ในชาตินี้ หลินหยุนไม่มีทางที่จะให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นอีกครั้ง
เขตพื้นที่หนานเจียง อยู่ติดกับมณฑลหลิงหนาน มีแม่น้ำคั่นกลางแต่ก็ใกล้กันมาก ตอนกลางคั่นด้วยแม่น้ำแดงที่ทอดยาวกว่าสามร้อยไมล์
หลังจากที่พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำหลบหนีไป ก็เดินทางล่องใต้ หลบหนีกลับมายังสำนักใหญ่ของสำนักมนตร์ดำ ที่อำเภอเฮยสุย
ทั่วทั้งอำเภอเฮยสุย ล้วนเป็นอาณาบริเวณของสำนักมนตร์ดำ แต่ว่า คนที่นี่ส่วนมากต่างก็ถูกสำนักมนตร์ดำครอบงำ คนของอำเภอเฮยสุย ศรัทธาในสำนักมนตร์ขาว ธิดาศักดิ์สิทธิ์ต่างหากที่เป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา
ดังนั้น เพื่อที่จะรักษาสถานะภาพดั้งเดิมในอำเภอเฮยสุยของสำนักมนตร์ดำ พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ในทุกรุ่นก่อนที่จะรับสืบทอดขึ้นเป็นเจ้าสำนัก จะต้องแต่งงานกับธิดาศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ขาว จึงจะได้รับการยอมรับจากคนส่วนใหญ่
ตอนนี้สำนักมนตร์ขาวได้สูญสิ้นไปแล้วโดยหลงเหลือแต่เพียงชื่อเสียง ธิดาศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ขาวในอดีตต่างก็ถูกจับตัวเป็นนักโทษของสำนักมนตร์ดำหมดแล้ว
ที่บอกว่าการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ นั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่ใช้หลอกลวงคนของคนระดับสูงในสำนักมนตร์ดำ
ภูเขาเทพมนตร์ที่อยู่ทางตอนใต้ของอำเภอเฮยสุย ที่นี่คือสำนักใหญ่ของสำนักมนตร์ดำ
ภูเขาเทพมนตร์มีภูมิประเทศที่อันตราย ส่วนใหญ่เป็นยอดเขาสูง สำนักมนตร์ดำได้ดำเนินการอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหลายปี โดยได้ใช้ทั้งกำลังคนและกำลังวัตถุอย่างมหาศาล เพื่อก่อสร้างตำหนัก เทพมนตร์ขึ้นบนภูเขาแห่งนี้
ตำหนักเทพมนตร์ที่มืดมิด ได้ถูกหล่อหลอมขึ้นด้วยเหล็ก มืดครึ้มลึกลับ ราวกับนรกภูมิ
บนลานกว้างด้านหน้าของตำหนัก มีกระถางทองแดงสามขาขนาดใหญ่ ภายในมีไฟเผาไหม้อย่างโชติช่วง และด้านหน้ากระถางทองแดงสามขา มีรูปปั้นเทพเจ้าหน้าเขียวและมีฟันเขี้ยว
สัญลักษณ์โทเท็มของสำนักมนตร์ดำ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดที่มีหัวเป็นคนร่างเป็นสัตว์
ภายในตำหนัก กว้างขวางอย่างมาก ไม่มีอุปกรณ์ให้แสงสว่างอะไร จากประตูทางเข้า เป็นทางเดินหินบลูสโตนทอดยาวไปจนถึงบัลลังก์ ทั้งสองข้างวางเรียงด้วยกระถางไฟเก้ากระถาง เปลวไฟด้านในกระถางกำลังลุกไหม้ ส่งเสียงเปรี๊ยะปังออกมา และส่องสว่างให้กับตำหนัก
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำในชุดคลุมสีดำ ยืนอยู่ใจกลางตำหนักอย่างเงียบสงบ มองไปยังบัลลังก์ที่ว่างเปล่า ก้มหัวลงเล็กน้อย แสงสีเขียวในดวงตามืดมิดลง
ทันใดนั้น ก็มีเสียงก้องกังวานดังขึ้นในตำหนัก: “นายบอกว่าขลุ่ยมารกาโหลเหมือนกับเป็นการอาบน้ำให้จิตวิญญาณของเขา วิชากู่ก็เป็นเพียงการเกาที่คันให้กับเขา แม่แต่หุ่นเชิดมนตร์ของนายก็ถูกทำลายลงไปสองร่างแล้ว? ”
เสียงนั้นที่เผยออกมาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำพูดขึ้นด้วยเสียงที่กลัดกลุ้ม: “ถูกต้องแล้ว”
เสียงนั้นเงียบสงบไปชั่วครู่ จากนั้น ก็หัวเราะเหอะเหอะดังขึ้น เสียงหัวเราะดังสนั่นสะเทือนจนหูแทบจะหนวก
“ไร้สาระ! ”
“แม้ว่าขลุ่ยมารกาโหลของนายเมื่อปะทะกับยอดฝีมือที่แท้จริงอาจจะใช้ไม่ได้ผล แต่วิชากู่ของนายนั้นแม้แต่ข้าเอง หากเปื้อนติดเข้า ก็คงจะต้องตายสถานเดียว เขาจะสามารถใช้มือเปล่ารองรับได้อย่างไรและยังไม่เป็นอันตรายใด ๆ อีกด้วย? ”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำพูดด้วยเสียงทุ้มว่า: “เรื่องราวความจริงทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ ถ้าหากว่าไม่มีหุ่นเชิดมนตร์สองร่างนั้น ข้าเองก็คงจะต้องตายไปแล้ว”
“เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ข้าเองก็ไม่ได้หวังว่าให้ท่านเชื่อ ข้าเพียงมาเพื่อแจ้งให้กับท่านทราบว่า เขาได้ข่มขู่เอาไว้ว่า จะมากำจัดทำลายสำนักมนตร์ดำให้สิ้นซาก”
“ถ้าหากวันไหนท่านต้องปะทะกับเขาแล้ว ก็คงจะทราบเอง”
พูดจบ พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำก็หันหลังแล้วเดินจากไป
เสียงนั้นส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา ชัดเจนว่าไม่ค่อยจะพอใจ: “อย่าลืมนะว่า นายยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าสำนัก ตอนนี้นายยังคงเป็นลูกน้องของข้า การที่เป็นลูกน้อง นายสามารถใช้ลักษณะท่าทางแบบนี้พูดคุยกับเจ้าสำนักได้อย่างนั้นเหรอ? ”
ตำแหน่งพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ โดยทั่วไปจะว่างลงเป็นเวลานาน หลายปีมานี้อยู่ในช่วงเวลาการคัดเลือกพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ หากเมื่อคัดเลือกออกมาแล้ว ก็เหมือนกับว่าเจ้าสำนักรุ่นก่อนใกล้ที่จะลงจากตำแหน่งแล้ว
ดังนั้น พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำมีสถานะและอำนาจในสำนักมนตร์ดำ พอจะเทียบได้กับเจ้าสำนักเลยทีเดียว
แม้ว่าตามหลักการแล้วพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำจะต้องอยู่ภายใต้เจ้าสำนัก แต่ความเป็นจริงแล้วทั้งสองคนต่างก็มีสถานะและอำนาจที่ทัดเทียมกัน
ตอนนี้พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำได้รับบาดเจ็บ และยังสูญเสียหุ่นเชิดมนตร์ไปสองร่าง ทำให้พลังความสามารถลดลงอย่างมาก เจ้าสำนักจึงได้อาศัยโอกาสควบคุมกดดันพระบุตรศักดิ์สิทธิ์
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำหัวเราะอย่างเย็นชา: “เดิมทีข้ามาเตือนท่านด้วยความหวังดี คิดไม่ถึงว่าท่านจะอาศัยโอกาสนี้ควบคุมกดดันตัวข้า แม้ว่าข้าจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ได้เกรงกลัวท่านสักหน่อย”
“อีกทั้ง ท่านสั่งการให้คนทั้งสามตระกูลไปนำตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์ ตกลงคิดจะทำอะไร? เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับท่านเลย! ”
เสียงนั้นพูดว่า: “ข้าก็เพียงแค่เกรงว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านนอกมาเป็นเวลานาน ถูกคนอื่นทำร้ายรังแก ดังนั้นจึงสั่งให้คนของสามตระกูลนั้น ไปนำตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์กลับมาเพื่อปกป้องคุ้มกันเอาไว้”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์: “ฮึ คิดจะปกป้องคุ้มครองเอาไว้ หรือว่ามีเป้าหมายอื่นกันแน่ พวกเราทั้งสองต่างรู้ชัดเจนกันดี ข้าพูดไว้เพียงเท่านี้ ท่านจัดการดูแลตัวเองให้ดีแล้วกัน! ”
พูดจบ พระบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็หันหลังแล้วเดินจากไป
ทันใดนั้น เสียงที่เฉยชาก็ดังขึ้นมาจากทางประตูของตำหนัก: “ขอบคุณนายมากที่พาข้ามาถึงรังของสำนักมนตร์ดำ”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำถอยหลังก้าวหนึ่งในทันที แสงสีเขียวในดวงตาเปล่งประกายสว่างจ้าขึ้น แม้ว่าจะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่ต่อให้มีชุดคลุมสีดำปิดกั้นก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึง สีหน้าที่ตื่นตะลึงของเขา
“นายไอ้คนทรยศ กล้าที่จะนำพาศัตรูมาถึงสำนักใหญ่ นายสมควรที่จะได้รับโทษให้หนอนกู่นับหมื่นตัวกัดกินกระดูก! ”
น้ำเสียงที่ชราภาพคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น ราวกับว่ามีเสียงดังมาจากทั่วทุกสารทิศ
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึง: “ทำไมนายถึงค้นหาที่นี่เจอได้? เพื่อหลีกเลี่ยงป้องกันไม่ให้นายทำอะไรบนร่างกายของข้า ข้าได้เปลี่ยนชุดไปก่อนหน้านี้แล้ว และก็ได้ตรวจสอบทั่วทั้งร่างกายแล้ว ตกลงว่าผิดพลาดที่จุดไหนกันแน่? ”
หลินหยุนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เฉยชา: “ในตอนที่นายได้โจมตีข้าด้วยจิตวิญญาณ ข้าก็ได้ฝากฝังรอยประทับจิตวิญญาณเอาไว้บนนั้นแล้ว ไม่ว่านายจะหลบหนีไปยังแห่งหนใด ข้าก็จะสามารถตามหานายได้โดยง่าย ไม่อย่างนั้น นายคิดว่าข้าจะปล่อยให้นายหลบหนีเอาตัวรอดออกมาอย่างนั้นเหรอ”
“รอยประทับจิตวิญญาณ? ” พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน แต่ก็สามารถเข้าใจความหมายได้
“ไอ้หนุ่มน้อย ตกลงนายเป็นใครกันแน่? ไม่ต้องพูดว่าเป็นโลกบู๊ ต่อให้โลกบู๊โบราณที่ปลีกตัวออกจากสังคมก็ไม่มีใครที่มีความสามารถขนาดนี้! ” เสียงของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“นายนี่มันช่างโง่เขลาเสียจริง! ” เสียงของเจ้าสำนักมนตร์ดำ เต็มไปด้วยความโกรธแค้น เสียงกระหึ่มดังก้องไปทั่วทั้งตำหนัก
หลินหยุนค่อย ๆ ขยับเดินเข้ามาทีละก้าว และพูดขึ้นด้วยเสียงที่เฉยชา: “เห็นว่านายใกล้ที่จะตายแล้ว ข้าก็จะบอกให้พวกนายรับทราบ”
“ข้าคือผู้บำเพ็ญเซียน”
พูดจบ เสียงที่เฉยชาก็ดังขึ้นตามมา: “ท่าสยบเขา! ”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำยังไม่ทันคิดว่าอะไรคือผู้บำเพ็ญเซียน ก็ตกตะลึงขึ้น: “แย่แล้ว! ”
พลังความสามารถของเขาในตอนนี้ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของขั้นสูงสุด ไม่มีทางที่จะต้านทานการโจมตีของหลินหยุนได้
โครม!
หุ่นเชิดมนตร์ร่างสุดท้ายก็ได้แหลกสลายไป
เงาร่างของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ ปรากฏขึ้นที่บัลลังก์ในตำหนัก
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำตะโกนด่าในอากาศ: “ไอ้ผู้เฒ่า ถ้าหากท่านยังคิดที่จะดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป รอให้ข้าตายไปแล้ว ท่านก็หลบหนีไปไม่รอดเช่นกัน! ”
ในตำหนัก ไม่มีเสียงตอบรับอะไร เจ้าสำนักมนตร์ดำเหมือนกับว่าได้หายตัวไปแล้ว
หลินหยุนเหลือบมองไปยังทิศทางหนึ่ง โดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ก็ปล่อยพลังหมัดเข้าใส่พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำอีกครั้ง
“ท่าที่สองของสิบแปดท่าต้าเต๋า ท่าแยกน้ำ! ”