จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 469 ทำศึกใหญ่กับเจ้าสำนักมนตร์ดำ
มองไปยังพลังหมัดของหลินหยุนที่เชื่องช้า พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำทั้งตกใจและโกรธแค้น: “น่าเกลียดเสียจริง ช่วงจังหวะโจมตีได้ถูกล็อคเป้าเอาไว้แล้ว ไม่มีทางที่จะหลบหนีไปได้! ”
“ทำได้เพียงตั้งรับอย่างซึ่งหน้า! ”
“ไอ้ผู้เฒ่าที่สมควรตาย ยังจะมัวดูเหตุการณ์อยู่อีกเหรอ! ”
“ลุยเต็มที่! ”
บนฝ่ามือสองข้างของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ ปรากฏเปลวไฟสีเขียวพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งได้แสดงวิชากู่อีกครั้ง
“อ่า! ”
เขาตะโกนร้องเสียงดัง พยายามสุดกำลังความสามารถ พลังหมัดที่ปล่อยออกไปหาหลินหยุน ได้พุ่งชกเข้าไปอย่างเต็มที่
เปรี้ยะ!
ภายในตำหนักได้ยินเสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นอย่างชัดเจน ร่างกายของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำราวกับว่าวที่เส้นด้ายชักขาด หลุดลอยออกไป กระทบเข้าอย่างแรงกับกำแพงที่แข็งของตำหนัก และก็ร่วงตกลงมากระแทกกับพื้นอย่างแรง
“เอ่อ! ”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำอ้าปากอาเจียนเป็นเลือดออกมา ซึ่งเลือดก็กลายเป็นสีเขียว
หลินหยุนมองดูเล็กน้อย ไม่มีอะไรที่เกินความคาดหมาย และพูดขึ้นว่า: “ใช้ร่างกายเลี้ยงแมลงร้าย จุดจบก็คือตนเองก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งแมลงร้าย โดยที่นายปกปิดตัวเองอยู่ในชุดคลุมตลอดทั้งวัน ก็เพราะอับอายที่จะเปิดเผยใบหน้าของตนที่แท้จริงล่ะสิ! ”
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำเหมือนกับรู้ว่าตนเองจะต้องตาย จึงได้ใช้มือดึงชุดคลุมสีดำออก ปรากฏให้เห็นใบหน้าที่แทบจะเป็นโครงกระดูก โดยใบหน้านั้นไม่มีเลือดมีเนื้อ มีเพียงแค่แสงเรืองรองสีเขียวเคลื่อนไหวไปมา
นั่นไม่ใช่แสง แต่เป็นหนอนกู่ ร่างกายของเขาเป็นไปตามที่หลินหยุนพูดไว้ ได้ผสมรวมตัวกันกับหนอนกู่เป็นหนึ่งเดียวแล้ว
“นายพูดได้ถูกต้อง ข้าทำไปเพื่อที่จะยกระดับการฝึกฝน จึงได้ฝึกฝนวิชาต้องห้าม ทำให้ตนเองกลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งแมลงร้าย แต่ นายคิดว่าข้าต้องการจะเป็นแบบนี้เหรอ? ”
“ถ้าหากไม่ทำแบบนี้ ข้าก็คงจะถูกฆ่าตายไปตั้งแต่ในการแข่งขันแล้ว แม้แต่กระดูกก็คงจะไม่เหลือ ที่ข้าสามารถเอาชนะในการคัดเลือกพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้ จนกลายเป็นพระบุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ นั้น ก็จำเป็นที่จะต้องยอมเสียสละเพื่อแลกตอบแทนกับสิ่งที่ต้องการ! ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า……”
ขณะที่พูดไปพูดมา เขาก็ได้หัวเราะขึ้นเสียงดังอย่างกะทันหัน เสียงหัวเราะเศร้าสลด และยังมีความวังเวงที่ไม่อาจจะพูดออกมาได้
หลินหยุนสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก น้ำเสียงก็ยังคงเฉยชา: “ดังนั้น สำนักมนตร์ดำก็ไม่สมควรที่จะดำรงอยู่ต่อไป”
พูดจบ หลินหยุนก็เดินก้าวเข้าไปหาพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ
ทันใดนั้น สายลมแผ่วเบาก็พัดโชยผ่านตำหนัก เปลวไฟที่อยู่ในกระถางไฟเพื่อให้แสงสว่างทั้งสองแถวก็ไหวเอนไปตามสายลม
ตำหนักแห่งนี้ไม่มีหน้าต่าง แน่นหนาไม่มีลมพัดผ่าน ต่อให้เป็นเพียงแค่ลมเบา ๆ ก็ไม่อาจจะมีได้
หลินหยุนหยุดฝีเท้าลงทันที มองไปยังพื้นที่ว่างด้านหน้าของพระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำ และพูดขึ้นว่า: “ในที่สุดนายก็ยอมปรากฏตัวออกมาแล้ว”
คนหนึ่งคน ค่อย ๆ ผุดออกมาจากใต้พื้นดิน เป็นชายชราที่ไว้หนวดเครายาว อยู่ในชุดคลุมยาวสีดำ
“ไอ้หนุ่มน้อย นายน่ะเหรอที่คิดจะกำจัดทำลายสำนักมนตร์ดำของข้า? ”
หลินหยุนมองไปยังชายชราผู้นั้น ที่มีรูปร่างเล็กเตี้ย มีความสูงเพียงแค่หนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตร ซึ่งมองดูแล้วก็เหมือนกับคนแคระ
“ที่แท้นี่ก็คือเจ้าสำนักมนตร์ดำนี่เอง” ใบหน้าของหลินหยุนเผยรอยยิ้มที่เย็นชาและเหยียดหยาม
เจ้าสำนักมนตร์ดำสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โกรธแค้น: “ไอ้หนุ่มน้อย นายกล้าที่จะดูหมิ่นข้า! ”
พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นไปทางหลินหยุน แล้วก็โปรยผงสีแดงออกมาหนึ่งกำมือ
ผงสีแดงเหล่านั้นไม่ได้เปื้อนติดร่างกายของหลินหยุนเลยแม้แต่น้อย พัดลอยไปมา จนสุดท้ายก็ ตกลงสู่พื้นทั้งหมด
“นี่คือ ชี่ทิพย์ป้องกันกาย! ” เจ้าสำนักมนตร์ดำอุทานขึ้น และสายตาที่จ้องมองไปยังหลินหยุนนั้น แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น
“ไอ้หนุ่มน้อย ข้ายอมรับว่าพลังความสามารถของนายไม่เลวเลยทีเดียว แต่ว่านายไม่ควรที่จะมาที่นี่จริง ๆ”
“ที่นี่คืออาณาเขตสำนักมนตร์ดำของข้า นายมาที่นี่ก็จะต้องตายสถานเดียวเท่านั้น”
“ตอนนี้ข้าให้โอกาสนายครั้งหนึ่ง ถ้าหากนายเต็มใจที่จะยอมศิโรราบต่อข้า เป็นหมารับใช้ข้า ข้าก็จะไว้ชีวิตนาย”
เจ้าสำนักมนตร์ดำพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่เกรงกลัว
“เหอะเหอะ ไอ้ผู้เฒ่า อย่ามาฝันไปเลย ท่านเอาชนะเขาให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาพูดดีกว่า! ” พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำพูดเยาะเย้ยอยู่ด้านหลัง
เจ้าสำนักมนตร์ดำเงยหน้าหัวเราะเสียงดังและพูดว่า: “ข้าพูดไว้แล้วว่า ที่นี่คือสำนักมนตร์ดำ ข้าก็เป็นเจ้าสำนัก ข้าก็คือเทพของที่นี่! ”
“ยอมศิโรราบใต้ฝ่าเท้าของข้า มิเช่นนั้น จะต้องตายสถานเดียว! ”
พูดจบ ร่างกายของเจ้าสำนักมนตร์ดำก็แวบหายไปอย่างน่าประหลาดในทันที
จากนั้น เสียงหัวเราะของเขาก็ดังกังวานอยู่ในตำหนัก: “ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……ข้าได้พูดเอาไว้แล้ว ที่นี่ข้าก็คือเทพ ถ้าหากไม่ยอมศิโรราบต่อข้า นายก็จะต้องตายสถานเดียว! ”
เสียงของเขาเหมือนกับว่าดังขึ้นในทุกสารทิศ กึกก้องกังวานในตำหนักไม่หยุด โดยที่ฟังไม่ออกว่ามาจากตำแหน่งไหนกันแน่
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำมีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง: “โดยปกติเขาเห็นเจ้าสำนักแสดงฝีมือน้อยมาก จึงคิดว่าพลังความสามารถของเจ้าสำนักคงจะทัดเทียมกับเขา แต่ตอนนี้เห็นแล้วว่า เพียงแค่ลำพังการหายตัวแวบไปในอากาศ ก็แสดงให้เห็นว่าพลังความสามารถของเจ้าสำนักนั้น ล้ำลึกเกินที่คาดเดาได้! ”
หลินหยุนสีหน้าท่าทางเฉยเมย พูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก: “ฮึ เพียงแค่วิชากำบังกายของนายเท่านี้ สามารถหลบซ่อนคนอื่นได้ แต่ไม่มีทางหลบซ่อนข้าได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนุ่มน้อย นายคิดที่จะหลอกถามเพื่อเอาความจริงจากข้า? ไม่มีทางอย่างแน่นอน หากนายมีความสามารถจริงก็ตามหาข้าให้เจอ! ” เสียงของเจ้าสำนักมนตร์ดำเต็มไปด้วยความ เย้ยหยัน
หลินหยุนไม่ได้สนใจเขา และก็ได้ปล่อยหมัดตรงไปยังพื้นที่ว่างเปล่าด้านข้าง
“นาย……”
เจ้าสำนักมนตร์ดำตกใจส่งเสียงขึ้นอย่างกะทันหัน ปรากฏร่างกายออกมา และรีบหลบหลีกไปยังด้านข้าง
เจ้าสำนักมนตร์ดำที่ยืนอยู่ด้านข้างของกำแพง มองไปยังหลินหยุนด้วยความตกตะลึง: “ไอ้หนุ่มน้อย นายหาข้าพบได้อย่างไรกัน! ”
หลินหยุนสีหน้าไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก: “ข้าพูดแล้วว่า วิชากำบังกายใช้กับข้าไม่ได้ผลหรอก นายก็แค่เพียงทำให้การมองเห็นของคู่ต่อสู้เกิดความสับสน ส่วนข้าใช้ตวงจิตต์ ”
วิธีการของเจ้าสำนักมนตร์ดำนั้น ที่จริงแล้วมีความคล้ายคลึงกับหลักการของนักมายากล เขาไม่ได้อยู่กับที่แล้วก็หายตัวไปในอากาศ และก็ไม่ใช่ว่าจะผุดขึ้นออกมาจากใต้ดิน เขาเพียงแค่สร้างภาพลวงตา โดยที่ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็อยู่ด้านข้างเพื่อรอโอกาสโจมตี
“ดวงจิต? ” เจ้าสำนักมนตร์ดำและพระบุตรศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ขมวดคิ้วพร้อมกัน แสดงอาการสงสัย
ดวงจิตสองคำนี้ พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่หลังจากที่ได้ยินเป็นครั้งแรก ก็กลับรู้สึกว่าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
เจ้าสำนักมนตร์ดำมีสีหน้าท่าทางที่เคร่งขรึม: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็มาต่อสู้กันอย่างจริงจังสักยก! ”
“เป็นไปตามความต้องการของนายเลย! ”
หลินหยุนพูดขึ้น และก็ปล่อยหมัดเข้าใส่เจ้าสำนักมนตร์ดำ
“ท่าสยบเขา! ”
หมัดที่ทรงพลัง ราวกับขวานที่ผ่าแยกระหว่างฟ้าและดิน ซึ่งเป็นชี่ทิพย์ที่มีพลังอานุภาพทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า ในวงรัศมีหลายสิบเมตร ได้พุ่งตรงเข้าใส่เจ้าสำนักมนตร์ดำอย่างเต็มกำลัง
หลังจากที่พลังความสามารถถึงระดับขั้นแดนแด่เทพเจ้าช่วงกลาง อานุภาพของท่าแรกของสิบแปดท่าต้าเต๋า ก็เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว
เจ้าสำนักมนตร์ดำมีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง: “เป็นกระบวนท่าการต่อสู้ที่ทรงพลังมาก! เมื่อครู่ ไอ้หนุ่มนี้กลับไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ช่างน่าสมเพชเสียจริง! ”
แสงสีแดงแวบขึ้นชั่วขณะ ร่างกายของเจ้าสำนักมนตร์ดำก็เบ่งบวมขึ้นโดยพลัน ร่างกายยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพียงชั่วครู่ ก็สูงขึ้นเป็นยักษ์ที่สูงกว่าสองเมตร และยังจะสูงขึ้นต่อเนื่อง
ชัดเจนว่า นี่คือการใช้เวทมนตร์อย่างหนึ่ง
สูงขึ้นไปจนถึงประมาณสามเมตร ร่างกายของเจ้าสำนักมนตร์ดำจึงได้หยุดเพิ่มความสูงลง และโชคดีที่ว่าหลังคาของตำหนักมีความสูงที่เพียงพอ ไม่อย่างนั้นเจ้าสำนักมนตร์ดำคงจะพุ่งชนหลังคาของตำหนักจนทะลุเป็นช่องรูไปแล้ว
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำที่นั่งอยู่ด้านข้าง มีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง: “เวทมนตร์ขั้นสูงสุด ร่างเทพมนตร์! ”
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะฝึกฝนจนสำเร็จแล้ว! ”
“ไอ้ผู้เฒ่าคนนี้ โดยทั่วไปแอบซ่อนปกปิดได้อย่างล้ำลึกเสียจริง! ”
เจ้าสำนักมนตร์ดำตะโกนเสียงดัง: “แฮ่! ”
ท่อนแขนที่กำยำรอรับพลังหมัดของหลินหยุนที่ชกใส่เข้ามา
ยักษ์ที่สูงสามเมตร อยู่ในที่สูงซึ่งได้เปรียบก็ได้ปล่อยหมัดออกมา โดยร่างกายที่ผอมบางของหลินหยุนที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ดูเหมือนว่าจะอ่อนแอไม่สามารถต้านทานได้
แต่ว่า ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเกินความคาดหมาย
เจ้าสำนักมนตร์ดำที่มีร่างกายใหญ่โต กลับถูกชกกระเด็นลอยไปไกล กระทบเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง ฝุ่นตลบอบอวลไปหมด
“ท่าสยบน้ำ! ” “ท่าสยบน้ำ!”
เสียงที่เฉยชาดังขึ้นอีกครั้ง หลินหยุนไม่ได้หยุด และปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง
ซึ่งในครั้งนี้ พลังหมัดของเขารวดเร็วกว่าเดิมมาก พริบตาเดียวก็พุ่งไปถึงด้านหน้าร่างกายของเจ้าสำนักมนตร์ดำแล้ว
พลังหมัด ชกเข้าใส่อย่างรุนแรง
โครม!
เจ้าสำนักมนตร์ดำไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ถูกหลินหยุนโจมตีเข้าใส่อีกครั้ง ร่างกายใหญ่โตเหมือนกับ ลูกบอลที่รั่ว กลายสภาพกลับมามีขนาดรูปร่างดังเดิมอย่างรวดเร็ว
ร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น พละกำลังและการป้องกันตัวก็จะเพิ่มขึ้นด้วย แต่ความคล่องแคล่วว่องไวก็จะลดลงด้วยเช่นกัน
พระบุตรศักดิ์สิทธิ์สำนักมนตร์ดำมีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง: “แม้แต่ร่างเทพมนตร์ก็ยังคงต้านทานการโจมตีของเขาไม่ได้ ตกลงนี่มันเป็นกระบวนท่าต่อสู้อะไรกันแน่! ”
“ที่จริงแล้วเมื่อครู่ที่เขาต่อสู้กับข้านั้น ยังไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมาเลย! ”
“ไอ้หนุ่มนี้ ช่างแข็งแกร่งอย่างมาก! ”