จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 485 โล่งใจจริงๆ
พอสั่งการให้คนพวกนั้นทำความสะอาดสนามรบ หลินหยุนก็กลับเข้าไปยังคฤหาสน์เพื่อชาร์จมือถือ
ผ่านไปสักพัก หลินหยุนก็เปิดเครื่อง เตรียมตัวที่จะติดต่อซูหนันกับควีนจิน ดูว่าพวกเขายังปลอดภัยดีไหม
หลังจากที่เปิดเครื่อง ก็มีข้อความเด้งเข้ามาเป็นสาย
มีทั้งของควีนจิน มีทั้งเจี่ยงสง และยังมีของซูหนัน
ส่วนใหญ่เป็นของเจี่ยงสง บางทีคงอยากจะให้หลินหยุนรีบกลับมา
หลินหยุนโทรไปหาซูหนันก่อน ซูหนันกลับปิดมือถือไว้
ต่อมาก็โทรไปหาซูจื่อเหลียง พอรู้ว่าหวางซูเฟินกับฉินหลันกลับไปที่จงโจวแล้ว พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อย หลินหยุนก็กดวางสาย
จากนั้น หลินหยุนก็โทรไปหาเจี่ยงสง
พอได้รับสายจากหลินหยุน เจี่ยงสงดีใจจนน้ำตาแทบไหลออกมา “ปรมาจารย์หลิน ในที่สุดคุณก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว!”
เจี่ยงสงรีบฟ้องเรื่องที่เกิดขึ้นทันที เล่าเรื่องขั้นตอนที่ตระกูลกงร่วมมือกับสำนักเจ็ดดาวเพื่อรังแกพวกเขาพร้อมกับพูดให้โอเวอร์อีกหลายสิบเท่า
พูดเหมือนกับว่าถ้าเกิดหลินหยุนยังไม่กลับมาอีก โลกนี้ก็ใกล้จะกลายเป็นวันสิ้นโลกแล้ว
หลินหยุนฟังเงียบๆจนจบ แล้วพูดออกไปหนึ่งประโยคด้วยเสียงเรียบๆว่า “สำนักเจ็ดดาวโดนฉันกวาดล้างแล้ว”
ทันใดนั้น เจี่ยงสงก็หยุดพูดกะทันหัน โลกทั้งใบอยู่ในความสงบสุขแล้ว
ผ่านไปสักพัก เจี่ยงสงถึงเปิดปากพูดออกมาว่า “เอ่อควีนจินไม่เป็นอะไร ผมได้หาที่อยู่ในเธอพักผ่อนแล้ว แต่ว่าผมยังหาซูหนันไม่เจอ ตอนที่หนีออกมาจากทะเลสาบเยว่หยา เขาได้รับบาดเจ็บ ไม่รู้ว่าสุดท้ายหนีไปอยู่ที่ไหน”
“เข้าใจแล้ว” หลินหยุนพูดด้วยเสียงเรียบๆ ผลลัพธ์นี้ดีกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้เยอะ อย่างน้อยๆทุกคนก็ยังไม่เป็นอะไร
ส่วนเรื่องอาการบาดเจ็บ ขอแค่ไม่ถึงชีวิต ต่อให้เป็นแผลที่หนักขนาดไหนตอนนี้หลินหยุนก็มีวิธีรักษาให้หายขาดได้
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือรีบหาซูหนันให้เจอ
จู่ๆเจี่ยงสงก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบพูดออกมาว่า “จริงสิ ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว สำนักเจ็ดดาวก็โดนกวาดล้างไปแล้ว งั้นน้ำแห่งชีวิตของพวกเราก็สามารถเปิดกิจการต่อได้แล้ว!”
“แต่ว่าตอนนี้ตลาดของหลินโจวเล็กเกินไป ทำให้ของขาดตลาด คนทั้งประเทศจีนต่างก็วิ่งมาที่หลินโจวของพวกเราเพื่อซื้อของ มีคนมากมายขอให้พวกเราขยายกิจการ จะดีมากถ้าเกิดมีสาขาไปทั่วประเทศ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ต้องผูกขาดสินค้า”
หลินหยุนคิดอยู่แล้วว่าน้ำแห่งชีวิตจะต้องดังเป็นพลุแตก แต่นึกไม่ถึงว่าของจะขาดตลาดเร็วขนาดนี้ ดูเหมือนว่าคนในสังคมปัจจุบัน จะให้ความสำคัญกับสุขภาพเป็นอย่างมาก มากยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้
ตามหลักการผลิตน้ำชี่ทิพย์ในตอนนี้ ก็พอที่จะเปิดกิจการไปทั่วประเทศแล้ว
“สามารถขยายกิจการได้ ให้จำหน่ายไปทั่วประเทศ คุณคัดเลือกตัวแทนการขายในแต่ละพื้นที่ ทุกคนที่เป็นตัวแทนในการซื้อขายมีสิทธิ์แค่ค้าขายเท่านั้น ส่วนเรื่องที่เหลือต้องทำตามที่พวกเราจัดเอาไว้”
เจี่ยงสงพูดด้วยความลำบากใจเล็กน้อยว่า “ปรมาจารย์หลิน เงื่อนไขนี้มันจะเกินเลยไปหรือเปล่า? อย่างน้อยๆก็ให้พวกเขามีสิทธิ์ในการตั้งราคาขายเถอะ?”
“ไม่ได้ ถ้าเกิดใช้น้ำแห่งชีวิตในการหากำไร มันจะเป็นเม็ดเงินจำนวนมาก จะทำให้เศรษฐกิจของโลกปั่นป่วนได้” หลินหยุนพูดคำขาด
เจี่ยงสงกังวลเล็กน้อย “แต่ว่าถ้าเกิดเป็นแบบนี้ ยังจะมีใครที่ยอมเป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์ของพวกเราอีกล่ะ!”
“สบายใจได้ พวกเขาไม่เพียงแค่ยอมเป็นตัวแทน แถมยังจะเข้ามาแย่งกันทำ ถึงเวลานั้นคุณต้องดูแลให้ดีๆ คัดเลือกตัวแทนอย่างเคร่งครัด ถ้าเกิดปัญหากับตัวแทนการขายคนไหน ล้วนเป็นความรับผิดชอบของคุณ” หลินหยุนพูดอย่างสัตย์จริง
เจี่ยงสงปวดหัวทันที พลังอันยิ่งใหญ่ที่เดิมอยู่ในมือตัวเอง จู่ๆก็กลายเป็นปัญหาที่จัดการยากสักแล้ว
“ครับ ผมจะคัดเลือกตัวแทนการขายด้วยความเข้มงวดอย่างแน่นอน”
หลังจากที่เสนอเงื่อนไขขั้นพื้นฐานแล้ว การสนทนาระหว่างหลินหยุนกับเจี่ยงสงก็จบลง
หลินหยุนสั่งให้พวกลูกศิษย์ของสำนักเจ็ดดาวที่โชคดีรอดชีวิตมาได้เก็บกวาดสนามรบ ซ่อมแซมกระจกหน้าต่างที่เสียหาย แล้วก็บำเพ็ญเพื่อฟื้นฟูพลังทิพย์ไปด้วย
หลังจากที่ข่าวถูกส่งไปถึงเมืองหลวง หงซานเหอก็วิ่งไปที่ห้องพักของประธานาธิบดีจีนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลังจากที่เข้าไปข้างในประตู หงซานเหอก็ทำความเคารพด้วยท่าทหาร
“ท่านหง เชิญนั่ง!” ประธานาธิบดีจีนกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ พอเห็นว่าหงซานเหอเข้ามา ก็วางถ้วยชาแล้วพูดทักทาย
หงซานเหอไม่ได้นั่ง แต่กลับพูดไปตรงๆว่า “ท่านประธานาธิบดี ท่านน่าจะได้รับข่าวแล้วใช่ไหม! ช่างโล่งใจจริงๆ เจ้าหนุ่มปรมาจารย์หลินแค่คนเดียวก็สามารถกวาดล้างคนทั้งสำนักเจ็ดดาวได้!”
“ฮ่าๆ วันนี้ตอนที่ผมได้เห็นหน้าของหวางจิงหลวง หน้าดำจนแทบจะกลายเป็นก้นหม้อกระทะอยู่แล้ว!”
ประธานาธิบดีจีนยิ้มเล็กน้อย “นั่นสินะ สำนักมนตร์ดำไม่สามารถทำอะไรเขาได้ สำนักเจ็ดดาวเองก็ถูกเขากวาดล้างไปแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาใกล้เคียงกับเทพกระบี่เยนหนานเทียนในตอนนั้น!”
หงซานเหอเหมือนจะฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของประธานาธิบดีจีนออก จึงทำสีหน้าจริงจัง “ท่านประธานาธิบดี เจ้าหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว จะปล่อยเขาไว้แบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
ประธานาธิบดีจีนหัวเราะ แล้วส่ายหัว “ท่านหง แทนที่จะผูกมัดสู้ปล่อยไปไม่ดีกว่าเหรอ เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครมาผูกมัด ถ้าเกิดไม่ระวัง จะส่งผลเสียต่อตัวเอง”
หงซานเหอพูดด้วยความสงสัยว่า “งั้นความหมายของท่านคือ? จะปล่อยเรื่องนี้ไว้แบบนี้เหรอ?”
ประธานาธิบดีจีนพูดว่า “ถึงแม้เขาจะแข็งแกร่งมาก แต่เขาก็ยังมีข้อผูกมัดอยู่ เขาไม่เหมือนกับเหล่านักบู๊ที่ต้องการยกระดับการบำเพ็ญของตน โดยที่ไม่เลือกวิธีการ ดังนั้น ตราบใดที่เขายังมีข้อผูกมัดอยู่ เขาก็จะไม่ทำเรื่องอะไรที่มันเกินเลย พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“ผมเข้าใจแล้ว!” หงซานเหอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ประธานาธิบดีจีนพูดต่อ “คุณสั่งให้คนของกลุ่มมังกรสังเกตการณ์ให้ดีๆ กลัวว่าจะมีพวกที่ไม่ลืมหูลืมตาเข้าไปยั่วโมโหเขา ส่วนเรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง”
“ครับ!” หงซานเหอทำความเคารพ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ณ หมู่บ้านที่อยู่ติดกับหลินโจว อาคารสองชั้นเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยชาวบ้าน
ซูหนันตื่นขึ้นมาจากอาการสลบ
ภาพที่อยู่ในสายตาคือห้องที่สะอาดสะอ้าน แถมยังมีกลิ่นหอมเล็กน้อยอยู่ในห้อง
บนขอบหน้าต่าง มีหัวไชเท้าสีเขียววางอยู่สองกระถาง และมีแสงแดดส่องเข้ามา ทำให้เกิดแสงและเงาเป็นรอย
ที่นี่น่าจะเป็นห้องของผู้หญิง ดูจากการตกแต่งภายในห้อง น่าจะเป็นหญิงสาวในช่วงวัยรุ่น ที่ยังไม่ได้แต่งงาน
ซูหนันนึกถึงความทรงจำสุดท้ายก่อนที่จะสลบไป เขาเห็นรองเท้าสีขาวเล็กๆคู่หนึ่ง เป็นรองเท้าที่สะอาดมาก ดูจากรองเท้าคู่นั้น ก็พอจะนึกภาพออกแล้วว่าเจ้าของรองเท้าจะต้องเป็นหญิงสาวที่รักความสะอาดเป็นอย่างมาก
เวลานี้เอง ก็มีคนมาเคาะประตู
“ใคร?” ซูหนันถามด้วยเสียงเย็นชา
ประตูถูกเปิดจากข้างนอก ทรงผมหางม้ายาว สวมชุดสีแดง อ่อนเยาว์และดูสงบ งดงามไม่แพ้ใคร หญิงสาวที่ท่าทางไม่แยแสอะไร ยืนอยู่หน้าประตู
จิตใจที่ไม่สั่นหวั่นต่อสิ่งใดของซูหนัน ในวินาทีนั้น จู่ๆก็สั่นไหวขึ้นมา
จงเฟยหยู่เดินเข้ามา ค่อยๆมองซูหนันที่ท่าทางสับสน พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “นอนดีๆ ใครอนุญาตให้คุณเคลื่อนไหว!”
พูดเสร็จ ก็กดซูหนันลงบนเตียงด้วยไม่ถามความเห็น
หือ!
ซูหนันรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ตั้งแต่ที่มีวิญญาณบรรพบุรุษฮั่นป๋าสถิตอยู่ในร่าง ยังไม่เคยมีใครกลับแตะต้องตัวเขา
ทุกคนที่กล้าแตะต้องตัวเขา ล้วนตายไปแล้ว
จงเฟยหยู่หยิบถุงน้ำเกลือออกมาจากหัวเตียง แล้วเปลี่ยนถุงน้ำเกลือให้กับซูหนัน พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “ดูคุณก็อายุมากแล้ว กลับไม่ยอมทำตัวดีๆ ไปเรียนต่อสู้กับคนอื่น ถ้าเกิดฉันไม่บังเอิญไปเจอเข้า ไม่แน่ว่าชีวิตของคุณอาจจะจบสิ้นไปแล้ว”
ซูหนันเพิ่งจะรู้สึกตัว ที่แท้เขากำลังโดนฉีดน้ำเกลืออยู่ นักบู๊ที่อยู่ในระดับปรมาจารย์อย่างเขา กำลังฉีดน้ำเกลืออยู่งั้นเหรอ
“เธอเป็นหมอเหรอ?” ซูหนันทำหน้าไม่พอใจ พยายามใจเย็น แล้วถามด้วยเสียงเย็นชา
“ไม่ใช่” จงเฟยหยู่มองเขา แล้วตอบคำถามในทันที
“……” ซูหนันอึ้งไปสักพัก จู่ๆเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เธอไม่ใช่หมอ แต่กลับกล้าให้น้ำเกลือกับฉัน เธอต้องการจะฆ่าฉันหรือไง?”
จงเฟยหยู่มองหน้าเขา ให้ความรู้สึกเหมือนกับมองเขาเป็นคนปัญญาอ่อน “ฉันไม่ใช่หมอ นั่นก็เพราะฉันยังเรียนไม่จบ ไม่ได้แปลว่าฉันจะรักษาไม่เป็น”
“เธอเรียนที่ไหนเหรอ?” ดูเหมือนซูหนันก็ยังรู้สึกไม่ไว้ใจ แต่ว่าตอนที่ถามคำถามนี้ออกมา หัวใจของเขาก็เต้นเร็วเป็นอย่างมาก
“มหาวิทยาลัยการแพทย์หลินโจว นี่เป็นบัตรนักศึกษาของฉัน ตอนนี้คุณสบายใจได้หรือยัง!” จงเฟยหยู่มองซูหนันด้วยหางตา นึกไม่ถึงว่าเธออุตส่าห์ใจดีช่วยชีวิตของเขา แต่เขากลับไม่สำนึกบุญคุณ แล้วยังมาสงสัยทักษะการแพทย์ของตัวเอง
จงเฟยหยู่เริ่มรู้สึกเสียใจที่ปิดบังพ่อแม่เพื่อพาเขากลับมา แถมยังให้เขานอนบนเตียงของตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอให้ผู้ชายมานอนเตียงของตัวเอง