จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 486 มุ่งสู่มณฑลซีหนิง
ที่แท้เธอเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์หลินโจวนี่เอง
ทันใดนั้นซูหนันก็รู้สึกว่า ความรู้สึกที่ถูกฉีดน้ำเกลือก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่
แต่ดูเหมือนจะถูกเธอเข้าใจผิดว่าเป็นพวกที่ชอบมีเรื่องไปทั่ว เป็นนักเลงที่ทำเป็นแค่เรื่องต่อยตี
สำหรับการเข้าใจผิดแบบนี้ ถ้าเกิดเป็นเมื่อก่อนซูหนันก็คงไม่เก็บมาใส่ใจ แต่ว่าตอนนี้จู่ๆเขาก็รู้สึกอยากจะอธิบายให้เธอเข้าใจ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง
แต่ว่า ไม่รอให้ซูหนันพูดออกมา จงเฟยหยู่ที่เปลี่ยนน้ำเกลือเรียบร้อย ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “หลังจากที่น้ำเกลือนี้หมด คุณก็ออกไปซะ! พ่อแม่ฉันใกล้จะกลับมาแล้ว อย่าให้พ่อแม่ฉันเห็นเข้าล่ะ”
จู่ๆหัวใจของซูหนันก็เหมือนตกลงสู่ก้นเหว รู้สึกเหมือนจิตใจว่างเปล่า คำพูดที่อยากจะพูดเมื่อกี้ก็ลืมไปหมดแล้ว
“นี่ฉันโดนรังเกียจแล้วงั้นเหรอ?”
จงเฟยหยู่ไม่ได้รับรู้เลยว่าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ชายหนุ่มที่เป็นนักเลงในสายตาของเธอ ได้เกิดความคิดมากมายในหัวสมองของตัวเอง
หันหลังเดินจากไป
“รอเดี๋ยว!” จู่ๆซูหนันก็ห้ามเธอไว้
“ทำไม? ยังมีเรื่องอะไรอีกเหรอ?” จงเฟยหยู่หันกลับมา มองซูหนันด้วยสายตาเย็นชา
ซูหนันรู้สึกว่ามีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง แต่ว่าพอจะเปิดปากพูด ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี
“ถ้าเกิดคุณไม่พูดฉันจะไปแล้วนะ?” จงเฟยหยู่ขมวดคิ้วที่สวยงามของตัวเองขึ้นมา รู้สึกว่าชายหนุ่มคนนี้แปลกเล็กน้อย
ซูหนันทำหน้าจริงจัง จ้องมองจงเฟยหยู่ พูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่ใช่คนเลว”
เหอะเหอะ!
จงเฟยหยู่เผลอหัวเราะออกมา
คนที่เขาเคยเจอครั้งแรก กลับใช้สีหน้าจริงจังในการอธิบายว่าตัวเองไม่ใช่คนเลว
“ฉันรู้แล้ว” จงเฟยหยู่เก็บรอยยิ้ม หันตัวแล้วเดินจากไป
ซูหนันทำหน้าอึ้ง รอยยิ้มเมื่อกี้ เหมือนกับดอกไม้งามที่เบ่งบานกะทันหัน หัวใจของเขา เต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง
“เธอชื่อว่าจงเฟยหยู่!”
ชื่อที่อยู่ตรงบัตรนักศึกษา ซูหนันเห็นมันในทันที แถมยังจำมันอย่างรวดเร็ว ก็เหมือนกับประทับตราอยู่ตรงหัวสมอง
ดึงเข็มฉีดยาออก ซูหนันแอบเดินจากไป ในเมื่อเธอกลัวพ่อแม่มาเห็น งั้นซูหนันก็จะไม่ทำให้เธอลำบากใจ
แต่ว่า มือถือได้หายไประวังหลบหนี ซูหนันยังไม่รู้ว่าหลินหยุนได้กวาดล้างสำนักเจ็ดดาวแล้ว เขายังคิดว่าทะเลสาบเยว่หยาโดนสำนักเจ็ดดาวยึดไปแล้ว
เขาหาสถานที่ข้างทาง เพื่อรักษาบาดแผลตัวเอง รอให้แผลหายก่อน ค่อยกลับไปตรวจสอบทะเลสาบเยว่หยา
ทะเลสาบเยว่หยาที่ผ่านสงครามมา มีความเสียหายอยู่ทุกๆที่ ใช้เวลาไปห้าวันเต็มๆ ถึงซ่อมแซมกลับมาเหมือนเดิม
พลังทิพย์ที่อยู่ในร่างของหลินหยุนก็ฟื้นฟูจนกลับมาอยู่ในระดับสูงสุด เขายืนอยู่บนดาดฟ้า จ้องมองเหล่าคนงานที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำงานกลบที่ดินเป็นที่สุดท้าย หลินหยุนรู้สึกว่าต้องวางค่ายกลฮู่ซาน เอาไว้ก่อน
ไม่อย่างนั้น ถ้าเกิดเรื่องอย่างครั้งนี้ที่เขาไม่อยู่ เพื่อนและครอบครัวของเขาเมื่อพบเจอกับอันตราย กลับไม่มีสถานที่เอาไว้หลบภัยด้วยซ้ำ
ถ้าเกิดมีค่ายกลฮู่ซาน ต่อให้เจอกับอันตราย อย่างมากก็แค่เข้าไปหลบอยู่ในค่ายกลฮู่ซาน
แค่พึ่งผลลัพธ์ภาพลวงตาจากค่ายกลรวมพลังห้าธาตุพรสวรรค์ ก็เพียงพอที่จะป้องกันเหล่านักบู๊ธรรมดาแล้ว แต่กลับไม่สามารถป้องกันนักบู๊ที่แข็งแกร่งได้
แต่น่าเสียดาย หินหยกที่เขาเอากลับมาจากสำนักมนตร์ดำ ไม่เพียงพอที่จะสร้างค่ายกลฮู่ซาน
“บางที ข้างในสำนักเจ็ดดาวอาจจะมี”
หลินหยุนก้าวเท้า ออกมา ราวกับเดินอยู่บนก้อนเมฆ ค่อยๆลงสู่พื้น
“พวกเจ้า พาข้าไปที่สำนักเจ็ดดาว”
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเจ็ดดาวไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย “ครับ!”
ในตอนที่หลินหยุนกำลังเตรียมที่จะออกเดินทาง เจี่ยงสงก็วิ่งมาหาด้วยความรีบร้อน
“ปรมาจารย์หลิน คุณกำลังจะไปที่ไหนงั้นเหรอ?” พอเห็นหลินหยุนกำลังจะออกไปข้างนอก เจี่ยงสงจึงถามด้วยความตกใจ ครั้งนี้ที่หลินหยุนออกไป แล้วโดนสำนักเจ็ดดาวโจมตี ทำให้เจี่ยงสงเกิดความกังวลในใจขึ้นมา
หลินหยุนไม่ได้ตอบคำถามเขา มองหน้าของเขา แล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆว่า “คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”
เจี่ยงสงพูดว่า “คืออย่างนี้ พอพวกเราปล่อยข่าวว่าจะขยายการค้าขายน้ำแห่งชีวิต พวกตัวแทนในการค้าขายก็เข้ามาแย่งกันเลือดตาแทบกระเด็น ผมทำตามที่คุณบอก คัดเลือกตัวแทนการค้าขายอย่างเข้มงวด จนสุดท้ายก็เลือกมาได้บางจังหวัด”
“แต่ว่า การค้าขายในจังหวัดมณฑลซีหนิงและซีไห่สองจังหวัดนี้ เกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย”
“ลองเล่ามาสิ” หลินหยุนพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เจี่ยงสงพูดด้วยความโมโหเล็กน้อย “ตระกูลกงที่อยู่ในมณฑลซีหนิง ตระกูลเติ้งจากซีไห่ เข้ามาห้ามการค้าขายในพื้นที่ ปล่อยข่าวลือเสียๆหายๆของน้ำแห่งชีวิตสารพัดสารเพ จนถึงขั้นใช้กำลัง เพื่อไม่ให้ตัวแทนการค้าขายเข้าไปขายน้ำแห่งชีวิต”
“ประชาชนในพื้นที่ของพวกเขา เพื่อที่จะซื้อน้ำแห่งชีวิตของพวกเรา ถึงขั้นต้องเดินทางไปยังจังหวัดใกล้เคียง สถานการณ์ค่อนข้างเลวร้าย คนในพื้นที่ของพวกเขาต่างก็มาร้องทุกข์ ขอให้พวกเราไปหารือกับตระกูลกงและตระกูลเติ้ง”
หลินหยุนพูดว่า “ตระกูลกงจากมณฑลซีหนิง ตระกูลเติ้งจากซีไห่ ทั้งสองล้วนเป็นผู้ควบคุมของจังหวัด แถมทั้งสองตระกูลยังมีความแค้นกับฉัน”
“เรื่องนี้ปล่อยให้ฉันจัดการก็แล้วกัน! คุณไปรับผิดชอบการค้าขายในจังหวัดอื่นก่อน”
“ปล่อยให้ตัวแทนการค้าขายในมณฑลซีหนิงกับซีไห่เป็นหน้าที่ของฉัน”
“ได้ครับ!” เจี่ยงสงพูด “นี่เป็นตัวแทนการค้าขายของมณฑลซีหนิง โห้หมิงจากตระกูลโห้ นี่เป็นตัวแทนการค้าขายของซีไห่ โจวยู่เหรินจากตระกูลโจว”
“งั้นผมขอตัว”
“อืม”
หลังจากที่เจี่ยงสงกลับไป เหล่าลูกศิษย์จากสำนักเจ็ดดาวก็ถามด้วยเสียงเบาๆว่า “ท่านปรมาจารย์หลิน ท่านยังจะไปที่สำนักเจ็ดดาวอยู่ไหม?”
“ไป ระหว่างทางค่อยจัดการเรื่องของตระกูลกงจากมณฑลซีหนิงก็แล้วกัน” พอหลินหยุนพูดจบ ก็เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเจ็ดดาวแอบรู้สึกไว้ทุกข์กับตระกูลกง
หลังจากที่ปรมาจารย์หลินกลับมา แล้วกวาดล้างสำนักเจ็ดดาว ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว พวกเขาไม่เชื่อว่าตระกูลกงจะไม่รู้เรื่องอะไร
ตอนนี้ทั้งๆที่ตระกูลกงรู้ว่าสำนักเจ็ดดาวโดนกวาดล้างแล้ว ยังไม่ยอมทำตัวดีๆ กลับกล้าที่จะยั่วโมโหปรมาจารย์หลินเพราะเรื่องของน้ำแห่งชีวิต
นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ?
เหล่าลูกศิษย์นำทางหลินหยุน ใช้เวลาไปครึ่งวัน ในที่สุดก็มาถึงภูเขาเจ็ดดาวที่อยู่ในมณฑลซีหนิง
ด้วยการนำทางของเหล่าลูกศิษย์ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงห้องโถงของสำนักเจ็ดดาว
แต่ว่า คนของสำนักเจ็ดดาวได้หายไปจนหมดแล้ว ทั้งห้องโถงไม่เหลือใครแม้แต่คนเดียว
“ท่านปรมาจารย์หลิน ดูเหมือนว่าคนเฝ้าสำนักพอได้ข่าวการตายของเจ้าสำนัก ก็หนีออกไปก่อนแล้ว” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความเขินอาย
หลินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “พอไม่มีเสาหลักก็พังทลายไปจนหมด!”
“เดาว่าทรัพย์สมบัติของสำนักเจ็ดดาวของพวกเจ้า ก็คงถูกคนพวกนั้นเอาไปหมดแล้ว”
“ท่านปรมาจารย์หลิน ข้าจะพาท่านไปยังคลังเก็บสมบัติของสำนัก” ชายหนุ่มคนหนึ่งอาสาสมัคร เขาเคยเป็นศิษย์ที่ทำหน้าที่ในการเฝ้าคลังสมบัติของสำนัก
“นำทาง!” หลินหยุนพูด
พอมาถึงคลังเก็บสมบัติของสำนักเจ็ดดาว ประตูใหญ่ถูกเปิดทิ้งอย่างที่คาดเอาไว้ ข้างในว่างเปล่า บนพื้นยังมีเศษภาพของตำราที่ถูกฉีกขาด
ลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูคนนั้นเก็บชิ้นส่วนของตำราขึ้นมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ไอ้พวกไม่รู้จักคุณค่า นี่เป็นวิชาการบำเพ็ญเทพของสำนักเจ็ดดาว กลับโดนพวกเขาฉีกขาดเหมือนกับเป็นขยะ”
“คิดว่าน่าจะขาดตอนที่กำลังแย่งกัน” ลูกศิษย์อีกคนพูดด้วยเสียงเบาๆ
หลินหยุนไม่ได้สนใจเหล่าผู้คนที่กำลังเศร้าเสียใจอยู่หน้าประตู เอามือไขว้หลัง แล้วค่อยๆเดินเข้าไป
คลังเก็บสมบัติว่างเปล่า ไม่เหลือของสักชิ้นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ กล่องไม้ที่อยู่ในมุมหนึ่ง โดนทุบจนแหลกละเอียด ชั้นวางก็ถูกรื้อจนหล่นลงไป เศษไม้กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
เห็นได้ชัดว่า ที่นี่เคยเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นมา
“กล่องไม้พวกนั้น เป็นที่เก็บหยกทิพย์ ชั้นวางเป็นที่เก็บวิชาบู๊กับวิชาเต๋า ทางนั้นเป็นที่เก็บโอสถกับวัตถุดิบในการปรุงยา” ลูกศิษย์คนนั้นที่เคยทำหน้าที่เฝ้าคลังเก็บสมบัติของสำนักตามเข้ามาแล้วพูดด้วยเสียงโศกเศร้า
“ไม่เหลือสักอย่าง ล้วนโดนพวกมันขโมยไปหมดแล้ว” เหล่าลูกศิษย์ต่างก็แสดงใบหน้าโมโหออกมา จนเริ่มด่าทอออกมา
“ไอ้พวกทรยศ ล้วนเป็นพวกทรยศ!”
หลินหยุนหันไปมองพวกเขา พูดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ใช่คนทรยศ
เหล่าลูกศิษย์พอรู้สึกถึงสายตาของหลินหยุน ใบหน้าก็แดงก่ำ รีบก้มหน้าลงไปด้วยความอับอาย
หลินหยุนกวาดสายตามองคลังเก็บสมบัติ ไม่เจออะไรทั้งนั้น ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะต้องกลับไปมือเปล่าสักแล้ว
แต่ว่า ในตอนที่หลินหยุนกวาดสายตามองไปยังข้างล่างกล่องไม้ที่พังทลาย พอเห็นหินสีดำที่ยาวประมาณห้าเมตร กับกว้างประมาณสองเมตร จู่ๆก็ตกตะลึงไปพักหนึ่ง
ทันใดนั้น แววตาก็เผยความดีใจออกมา