จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 493 การมาของตระกูลกง
โห้ซือหนันกางแขนทั้งสองออก พร้อมร้องตะคอกด้วยสีหน้าที่แน่วแน่ : “ใครกล้ามาแตะต้องเพื่อนของหนู คนนั้นจะต้องข้ามศพหนูไปก่อน !”
โห้ซือหนันเข้าใจเป็นอย่างดีเลยว่า โห้หมิงนั้นต้องการขายลูกสาวเพื่อหวังผลประโยชน์ ฉะนั้นตอนนี้เขาไม่มีทางที่จะทำอะไรตนแน่นอน
นี่ถือเป็นข้อต่อรองเดียวที่โห้ซือหนันมีอยู่ในมือ
แต่แล้ว โห้หมิงกลับแสดงสีหน้าที่แข็งกระด้างออกมา: “นังคนเดรัจฉานเลี้ยงไม่เชื่อง ฉันเลี้ยงเธอจนโตมาได้ขนาดนี้ เธอกลับตอบแทนฉันอย่างนี้งั้นหรอ ?”
“เธอยังกล้ามาข่มขู่ฉันอีกสินะ ใครก็ได้ ลากตัวเธอออกไปที!”
“หนูจะดูสิว่าใครจะกล้าลงมือ!”
ทันใดนั้นโห้ซือหนันก็หยิบเอามีดปอกผลไม้เล่มหนึ่งที่อยู่กับตัวออกมา แล้วจี้ลงบนคออันมีค่าดั่งหยกของเธอ ใบมีดส่องประกายเย็นเยือกออกมา
โห้หมิงตกใจอย่างหนัก จนร้องคำรามออกมา: “วางมือเดี๋ยวนี้!เธอนังคนเดรัจฉาน นี่เธอกำลังข่มขู่พ่อของตัวเองอยู่งั้นหรือไง?”
อันซินที่เห็นอย่างนั้นจึงรีบพูดโน้มน้าวด้วยความร้อนใจ : “ซือหนัน อย่าเพิ่งใจร้อน อย่าเพิ่งใจร้อนเด็ดขาด มีอะไรค่อยๆ พูดกันดีกว่า !”
โห้ซือหนันยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น แล้วหันไปมองยังอันซิน : “ฉันโตมาขนาดนี้ เพื่อนก็มีไม่มาก เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลย ฉันไม่สามารถมองดูพวกเธอเป็นอะไรไปได้หรอก !”
เมื่อพูดจบ โห้ซือหนันจึงหันหน้ากลับไปมองโห้หมิง ด้วยสีหน้าที่แน่วแน่ : “พ่อคะ ปล่อยพวกเขาไป !หนูจะไปหากงเฉิงยู่กับพ่อเอง อยากจะทำอะไร ก็แล้วแต่พวกคุณเป็นคนพิจารณาเอง !”
หลินหยุนที่เห็นอย่างนั้นตอนแรกก็คิดจะไปแย่งมีดออกจากมือของโห้ซือหนัน แต่แล้วก็ได้หยุดความคิดนั้นลงอย่างกะทันหัน เพราะเขาอยากเห็นว่าโห้หมิงจะเลือกยังไง
ซึ่งแน่นอนว่า ตัวเลือกของโห้หมิงนั้นมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา และอนาคตของตระกูลโห้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
แต่ไม่ได้มีเพียงแค่หลินหยุน แต่โห้จินผิงกับโห้จินเย่นสองพี่น้อง พร้อมกับคนตระกูลโห้ที่โห้หมิงได้พาด้วยนั้น ตอนนี้พวกเขาต่างพากันจดจ้องไปยังตัวโห้หมิง เฝ้ารอการเลือกของเขา
โห้หมิงจากที่เดิมที่มีใบหน้าเขียวปั๊ดด้วยความโกรธก็เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่ยิ่งเขียวยิ่งแดง ทำให้สุดท้ายเขาต้องร้องตะโกนออกมา : “ในเมื่อเธออยากตายนัก อย่างนั้นฉันก็จะสนองความต้องการให้แล้วกัน เธอตายแล้ว ก็กำลังดีที่จะได้อธิบายกับตระกูลกงง่ายขึ้น !”
“มา จัดการเธอซะ!”
โห้จินผิงสองพี่น้องถึงกับแสดงสีหน้าอึ้งตะลึง คิดไม่ถึงว่าพ่อแท้ๆ ของพวกเขาคนนี้จะกล้าลงมือจริงๆ
ทางด้านโห้ซือหนันจู่ๆ ก็ไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากลงมาตามใบหน้า : “แม่คะ ชาติหน้าแม่จะต้องเบิกตาดูให้ชัดเจน อย่าได้ฝากของสำคัญไว้ให้กับคนที่ไม่คู่ควรอีกเด็ดขาด !”
“อย่านะ!” อันซินร้องตะโกน พร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปหาโห้ซือหนันอย่างร้อนรน
ใบหน้าของโห้หมิงสั่นระริก พร้อมกับสีหน้าที่ดำคล้ำ มือข้างหนึ่งของเขากำลังจะยกขึ้น แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ขยับใดๆ
มีดเล่มนั้นของโห้ซือหนันไม่ได้ปาดลงไปบนคอของเธอ เพราะถูกหลินหยุนดึงลงมาเสียก่อน
ผ่านไปสักพัก โห้ซือหนันก็ลืมตาขึ้นมา แล้วมองไปยังหลินหยุนด้วยความสับสน: “ทำไมต้องช่วยฉันด้วย?ให้ฉันตายไปก็ถูกแล้ว”
แต่หลินหยุนกลับตอบด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง: “ขอเพียงแค่ยังมีชีวิตต่อไป ถึงจะมีโอกาสได้เป็นผู้ชนะ และยังมีโอกาสที่จะได้ดูฉากเด็ดๆอีกด้วย ”
แปะ แปะ แปะ!
เสียงปรบมือเป็นจังหวะ ดังขึ้นมาจากที่ไกลค่อยๆ เข้าใกล้มาเรื่อยๆ
“ดี น่าอัศจรรย์จริงๆ !”
“นี่พวกคุณคนตระกูลโห้กำลังแสดงหนังเรื่องขจัดความอยุติธรรมในตระกูลอยู่หรือไงครับ ?”
คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา แล้วคนที่เดินนำหน้าเข้ามาก็คือเจ้าบ้านตระกูลกงอย่างกงซิวซ่าง
ด้วยความที่ก่อนหน้านี้ความสนใจทั้งหมดของคนตระกูลโห้พุ่งตรงไปยังตัวของโห้ซือหนัน ดังนั้นแม้ว่าคนตระกูลกงจะมายืนอยู่หน้าประตูก็ไม่มีใครทันสังเกตเห็นเลย
กงซิวซ่างเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ด้านหลังของเขา ยังมีชายสูงอายุสวมชุดสูทสีเทาคนหนึ่งเดินตามหลังมาด้วย และด้านหลังของชายสูงอายุคนนั้นก็มีกงเห้าที่นั่งอยู่บนรถเข็นตามมาด้วยอีกคน
คนตระกูลโห้ถึงกับอึ้งตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่โห้หมิงจะเดินเข้าหาด้วยสีหน้าที่ยิ้มจางๆ : “เจ้าบ้านกง ทำไมคุณถึงได้มาที่นี่ล่ะครับ ?”
“พี่เฉิงยู่ คุณก็มาด้วยงั้นหรอ !”
จากนั้นสายตาของโห้หมิงก็มองไปยังกงเห้าที่สีหน้าเคร่งขรึมกำลังนั่งอยู่บนรถเข็น : “อาการบาดเจ็บของเสี่ยวเห้าคงจะไม่ได้รุนแรงอะไรแล้วสินะ?”
กงเห้าเพียงแค่แสยะเสียงไม่พอใจออกมา จากนั้นก็ไม่ได้สนใจโห้หมิงอีกเลย
กงเฉิงยู่เงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้าที่หยิ่งผยอง พร้อมกับพูดด้วยความเยาะเย้ยในขณะที่สีหน้าแน่นิ่ง : “เพราะว่าลูกสาวของคุณลงมือเบาไปหน่อย เลยยังไม่ถึงตาย !”
โห้หมิงขมวดคิ้วแน่น ถึงแม้เขาจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าตระกูลกงจะต้องบุกมาถามหาความรับผิดชอบ แต่ท่าทีของกงเฉิงยู่ก็ไม่น่าจะดูเลวร้ายขนาดนี้
เพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็นถึงอนาคตพ่อตาของกงเฉิงยู่
และด้วยท่าทีของกงเฉิงยู่ ทางด้านโห้หมิงจึงรีบร้อนที่อยากจะอธิบายกับเขาให้เข้าใจ
“เจ้าบ้านตระกูลกง พี่เฉิงยู่ เรื่องนี้เกรงว่าจะมีการเข้าใจผิดกันนะครับ เมื่อกี้ผมได้ถามลูกสาวของผมแล้ว ซึ่งอาการบาดเจ็บของเสี่ยวเห้าน่ะไม่ใช่ฝีมือของเธอ”
จากนั้นโห้หมิงก็ทำหน้าเคร่งมองไปยังหลินหยุน พร้อมกับกระแทกเสียงด้วยความเกลียดชัง: “แต่เป็นฝีมือเจ้าหนุ่มนั่นต่างหาก!”
แต่แล้วทันใดนั้นกงเห้าที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็ร้องคำรามออกมา: “เจ้าบ้านตระกูลโห้ โห้ซือหนันลูกสาวของคุณยั่วยวนคุณพ่อของผมไม่พอ แต่ก่อนหน้าที่จะแต่งงานกับพ่อของผมเพียงวันเดียว ก็ดันมายั่วยวนผมอีก เป็นเพราะตัวผมนั้นมั่นคงไม่ได้หลงเสน่ห์ยั่วยวนของเธอ ดังนั้นเธอจึงอับอายจนโกรธเคือง เลยไปหาคนให้มาทำร้ายผมจนกลายเป็นคนหมดสภาพแบบนี้”
“แต่ตอนนี้คุณกลับยังจะพยายามผลักความรับผิดชอบแบบนี้อีก นี่คนตระกูลโห้ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างหรือเปล่าครับ ?”
คำพูดของกงเห้า ราวกับสายฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างกะทันหัน ทำเอาคนตระกูลโห้ถึงกับนิ่งงันอยู่กับที่
หน้าอกของโห้ซือหนันเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรุนแรง ใบหน้าแดงก่ำ ภายในใจอยากจะสับกงเห้าให้กลายเป็นชิ้นๆ : “คนไร้ยางอาย!”
ความผิดที่น่าละอายของกงเห้านั้นมากมายจนยากที่จะเรียบเรียงออกมาให้หมด
โห้จินผิงแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ: “คุณชายกง คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ?เรื่องเมื่อวานนี้ทั้งๆ ที่คุณ……”
“ผมทำไม?พรุ่งนี้เธอก็ต้องแต่งงานกับคุณพ่อของผมอยู่แล้ว คุณคิดว่าผมยังจะทำอะไรได้อีก ?คุณคงไม่ได้คิดจะใส่ร้ายผมว่าแม้แต่ผู้หญิงของพ่อตัวเองผมยังกล้าไปแตะต้องหรอกนะ ?” กงเห้าชิงตัดคำพูดของโห้จินผิง
โห้จินผิงถึงกับทำหน้าอึ้ง แล้วมองหน้ากงเห้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะร้องตะคอกออกมา : “คุณชายกง เมื่อวานนี้คุณไม่ได้พูดแบบนี้ !คุณหมายความว่าอะไรกันแน่ ?”
โห้จินเย่นสบถออกมา: “ยังไม่เข้าใจหรือไง?ความหมายก็คือพวกเราถูกเขาหลอกใช้เป็นเครื่องมือไงล่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขาและพ่อของเขาได้มีการปรึกษากันมาก่อนแล้ว จากนั้นก็จงใจที่จะเข้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับตระกูลโห้ของเรา แต่น่าเสียดายที่ดันเผอิญมาเจอกับคนที่ไม่รู้เรื่องราว ทำเอาแผนการจอมปลอมนั้นกลายเป็นเรื่องจริงจังจนทำให้เขามีสภาพกลายเป็นผักแบบนี้ไปไงล่ะ”
โห้จินผิงแสดงสีหน้าเดือดดาลออกมา: “ถึงว่าเมื่อวานฉันรู้สึกตงิดๆ ทั้งที่กงเห้าดูไม่ใช่จะเป็นคนบุ่มบ่ามอะไรขนาดนั้น ทำไมถึงได้กล้ามาแตะต้องผู้หญิงของพ่อตัวเอง!ที่แท้ทั้งหมดมีการวางแผนมาแล้วนี่เอง”
“เป้าหมายของพวกเขา ที่จริงคือตระกูลโห้ของเราต่างหาก!”
โห้จินเย่นถึงกับสบถคำด่าออกมาอย่างอดไม่ได้: “ไร้ยางอาย!”
โห้ซือหนันที่ได้ยินอย่างนั้นถึงกับอยากหัวเราะออกมา เพราะการที่จะได้ยินโห้จินเย่นพูดคำว่าไร้ยางอาย สามคำนี้ออกมาจากปากนั้นช่างไม่ชินหูเลยจริงๆ
สีหน้าของโห้หมิงหมองลง พลางหันไปถามกับกงซิวซ่าง: “เจ้าบ้านตระกูลกง ขอถามว่านี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่ ?”
“อย่าบอกนะว่าตระกูลกงเตรียมตัวจะจัดการกับตระกูลโห้เราแล้วงั้นหรอครับ?”
กงซิวซ่างตอบกลับด้วยรอยยิ้มเย็นชา: “เป็นเพราะตระกูลโห้ของคุณตามใจลูกสาวจนเกินไป จนเธอมายั่วยวนคนของตระกูลกงเรา และหลังจากที่แผนการถูกเปิดเผย ก็ยังบังอาจหาคนมาทำร้ายคนตระกูลกงของเราจนหมดสภาพ ตระกูลกงของเราเองก็ถูกบีบจนหมดหนทาง ถึงได้ลุกขึ้นมาต่อต้านเท่านั้น”
และโห้หมิงจึงรับช่วงพูดต่อ: “เมื่อเป็นอย่างนี้ เหล่าคนมีอำนาจทั้งหมดในซีหนิงก็จะไม่สามารถกล่าวหาอะไรกับตระกูลกงได้ แถมยังจะพูดว่าตระกูลโห้ของเราสมควรที่จะได้รับแบบนี้ เพราะรนหาที่ตายเอง”
“และหากตระกูลกงได้รวบรัดตระกูลโห้ของเรา ก็ยังจะถูกคนอื่นมองว่าเป็นการขจัดความชั่วร้ายออกจากผู้คนอีก”
“เจ้าบ้านตระกูลกง ช่างเป็นแผนการที่สุดยอดจริงๆ !”
ทางด้านกงซิวซ่างโบกมือ แล้วเหล่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังของเขาก็วิ่งกรูเข้ามาล้อมรอบคนตระกูลโห้เอาไว้ทันที
กงซิวซ่างพูดออกมาอย่างเฉยชา: “ถ้าจะโทษก็โทษที่พวกคุณทะเยอทะยานมากเกินไป ถึงได้ใช้สิทธิ์การเป็นตัวแทนน้ำแห่งชีวิตของปรมาจารย์หลินในการพยายามก้าวข้ามตระกูลกงของเรา”
“แต่เมื่อเห็นว่าอีกเดี๋ยวพวกคุณก็จะตายกันแล้ว อย่างนั้นผมก็ไม่กลัวอะไรที่จะต้องบอกกับพวกคุณว่าที่จริงตัวผมนั้นมีความแค้นบัญชีเลือดกับปรมาจารย์หลินด้วย และในเมื่อพวกคุณเป็นถึงตัวแทนน้ำแห่งชีวิตของเขา อย่างนั้นพวกคุณก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเป็นศัตรูของผมด้วย !”
ในขณะที่กงซิวซ่างพูดประโยคนี้ออกไป สายตาของเขาก็จ้องมองไปยังหลินหยุน
ราวกับจงใจพูดแบบนี้เพื่อให้เขาได้ฟัง
หลินหยุนยิ้มเยาะอยู่ในใจ สำนักเจ็ดดาวถูกทำลายไปแล้ว แต่กงซิวซ่างกลับไปเอาความมั่นใจจากไหนมาท้าทายเขาแบบนี้ !
“ที่ผมพูดนั้นถูกหรือเปล่าครับ ปรมาจารย์หลิน !” กงซิวซ่างจ้องมองไปยังหลินหยุนที่ยืนอยู่ข้างหลังของโห้ซือหนัน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเย็นชา
ปรมาจารย์หลิน!
ทุกคนที่ได้ยินถึงกับตกตะลึง!
สายตาทุกคู่พุ่งตรงไปยังร่างของหลินหยุน ด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
“เขาคือปรมาจารย์หลิน?” โห้หมิงคิ้วขมวดขึ้น: “ผมเคยได้ยินมาว่าปรมาจารย์หลินเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุราวยี่สิบต้นๆ นี่เจ้าหนุ่มนี่คือปรมาจารย์หลินจริงๆ งั้นหรอ ?”
ทั้งโห้จินผิงและโห้จินเย่นต่างก็แสดงสีหน้าตกใจ แล้วมองดูหลินหยุนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เป็นไปได้ยังไง?เขาจะกลายเป็นปรมาจารย์หลินผู้โด่งดังได้ยังไง!”
ทางด้านโห้ซือหนันและอันซินก็มีสีหน้าที่ตกใจไม่แพ้กัน ชื่อเสียงของปรมาจารย์หลินนั้นพวกเธอเคยได้ยินมาก่อน แต่พวกเธอก็ไม่เคยเห็นหน้าของปรมาจารย์หลินเหมือนกัน
ตอนนี้เมื่อได้ยินกงซิวซ่างพูดว่าหลินหยุนก็คือปรมาจารย์หลิน หญิงสาวทั้งสองราวกับถูกฝ่าผ่าลงอย่างจัง จนสมองแทบจะระเบิดออกมา