จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 511 ไพ่เด็ดของตระกูลเติ้ง
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ห้าร้อยกว่าคนล้วนถูกหลินหยุนจัดการจนหมอบราบลงไปกองกับพื้น
เปรี๊ยะเปรี๊ยะเปรี๊ยะ!
มีเสียงปรบมือดังขึ้นเป็นจังหวะ เติ้งเจียหลุนในชุดสูทสีขาวเดินออกมาจากห้องโถงชั้นหนึ่งของบ้านตึกหกชั้นหลังนั้น
“ปรมาจารย์หลินเก่งกาจมากจริง ๆ ในตอนนั้นที่หัวหน้ายิ่งตงไหลจัดการกับคนพวกนี้ของข้า ยังต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ในช่วงระหว่างนั้นยังถูกยิงเข้าใส่หลายสิบนัด”
“แต่ว่าพลังความสามารถของหัวหน้ายิ่งตงไหลก็ถือว่าแข็งแกร่ง กระสุนปืนเหล่านั้นทำให้เขาบาดเจ็บได้แค่ผิวหนังภายนอก จากนั้นก็ไม่สามารถที่จะทะลุลึกเข้าไปอีกได้แล้ว”
พวกคนที่ถูกจับกุมตัวอยู่นั้น สายตาที่มองมายังหลินหยุน เต็มไปด้วยความตกตะลึง
โดยเฉพาะชายวัยกลางคนที่มีอายุค่อนข้างมากผู้นั้น ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาได้แสดงอาการตกใจออกมา
“ท่านนี้ก็คือปรมาจารย์หลินใช่ไหม? อายุยังน้อย แต่กลับฝึกฝนถึงระดับขั้นสูงสุดแล้ว! ต่อให้เป็น เจียงร่อโจ๋เทพแห่งสงครามประจำเมืองหลวง เมื่อตอนที่เขามีอายุเท่านี้ ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นเป็นปรมาจารย์! ”
ยิ่งตงไหลผู้ที่เป็นหัวหน้าของกองกำลังพิเศษมังกรฟ้า ก็เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม ของปรมาจารย์หลินแห่งหลิงหนานอยู่บ้าง
ในตอนนั้นเขาเองยังยิ้มเยาะเหยียดหยาม อีกทั้งยังเคยได้บอกกล่าวกับทหารในกองกำลังพิเศษมังกรฟ้าเหล่านั้นว่า: “สิ่งที่นักบู๊ถือมากที่สุดคือการโอ้อวด ซึ่งเมื่อคุยโวโอ้อวดมากเกินไป จะทำให้ส่งผลกระทบไปยังอารมณ์จิตใจตลอดชีวิต การบำเพ็ญฝึกฝนบู๊ก็ยากที่จะก้าวหน้าข้ามขั้นได้”
แต่ว่า ตอนนี้ได้พบเห็นปรมาจารย์หลินกับตาของตนเอง ยิ่งตงไหลจึงเข้าใจได้ว่า ที่จริงแล้วตนเองก็เป็นเพียงแค่กบในกะลาตัวหนึ่ง
ด้านหลังของเขา ทหารมังกรฟ้าที่ถูกจับกุมตัวคนหนึ่ง ได้พูดขึ้นอย่างตกตะลึงว่า: “นี่ก็คือปรมาจารย์หลินแห่งหลิงหนานใช่ไหม? ช่างสมกับคำเล่าลือจริง ๆ! ”
หลินหยุนมองไปที่เติ้งเจียหลุน ด้วยอารมณ์ที่ไม่สุขและไม่ทุกข์: “แสดงไพ่เด็ดใบสุดท้ายของนายออกมาได้แล้ว ไม่อย่างนั้นนายก็คงจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว”
“ปรมาจารย์หลินแห่งหลิงหนาน ช่างสมกับคำเล่าลือจริง ๆ! ”
น้ำเสียงที่ชราภาพ ดังขึ้นจากด้านข้างของหลินหยุน เติ้งยู่เหรินเจ้าบ้านตระกูลเติ้ง ได้พาชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำจำนวนห้าสิบคน ออกมาจากบ้านตึกสามชั้นเหล่านั้น
ชายวัยกลางคนจำนวนห้าสิบคน ยืนอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านหลังของเติ้งยู่เหริน ราวกับเป็นทหารรบพิเศษที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเชี่ยวชาญ
เมื่อห้าสิบคนนี้ปรากฏตัวขึ้น พลังอานุภาพที่แข็งแกร่งก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งลานกว้างในทันที
คาดไม่ถึงว่าทุกคนล้วนเป็นนักบู๊
ครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้เป็นเพียงแค่นักบู๊ที่ไม่มีทักษะติดตัวมาแต่เกิด แต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลัง และอีกครึ่งหนึ่ง เป็นนักบู๊ระดับขั้นพรแสวงสูงสุด โดยมีสองคนที่เป็นนักบู๊ระดับขั้นพรสวรรค์
แม้ว่าจะมีพลังความสามารถระดับนี้ ก็ยังคงไม่สามารถเอาชนะยิ่งตงไหลได้ แต่ว่า นักบู๊ทั้งห้าสิบคนนี้ ต่างก็มีอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ ติดตัวอย่างครบมือ
ร่างกายแขวนเต็มไปด้วยอาวุธชนิดต่าง ๆ ทั้งปืนพก ระเบิดมือ และยังมีสองคนที่ถือปืนไรเฟิลซุ่มยิง กล่าวได้ว่าเป็นกองทัพทหารขนาดเล็กที่ทันสมัยอย่างที่สุด
กองทัพทหารขนาดเล็กที่ทันสมัยที่รวมตัวกันขึ้นโดยเหล่านักบู๊ทั้งหมด โดยตระกูลเติ้งเป็นเพียงแค่ตระกูลหนึ่งในโลกมนุษย์ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถก่อตั้งกองทัพทหารนักบู๊ขนาดเล็กนี้ได้ ช่างยากที่จะจินตนาการคาดเดาได้จริง ๆ!
นั่นแสดงว่า ตระกูลเติ้งแห่งซีไห่มีความแข็งแกร่งกว่าที่แสดงออกมาให้เห็นหลายต่อหลายเท่านัก
แม้ว่ากองทัพทหารนักบู๊นี้ พลังความสามารถส่วนตัวจะไม่สูงนัก แต่ว่า พวกเขามีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่งของนักบู๊ และผ่านการอบรมฝึกฝนด้านอาวุธอย่างมืออาชีพ ดังนั้นพลังในการสู้รบที่แสดงออกมานั้นช่างแข็งแกร่งน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก!
เหมือนกับเมื่อครู่นี้ ตอนที่หลินหยุนสู้รบกับกองทัพทหารส่วนตัวห้าร้อยคนนั้น เมื่อเข้าประชิดตัว พวกทหารส่วนตัวเหล่านั้นก็ถูกสังหารได้โดยง่าย
ปืนที่อยู่ในมือพวกเขา เพราะว่ากลัวที่จะยิงเข้าใส่พวกเดียวกันเอง ดังนั้นจึงกลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์
แต่เมื่อสูญเสียปืนไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นนักบู๊ที่ไม่มีทักษะติดตัวมาแต่เกิด แต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลัง ก็สามารถที่จะจัดการเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
แต่กองทัพทหารนักบู๊เหล่านี้ไม่เหมือนกัน ต่อให้หลินหยุนเข้าประชิดตัว พวกเขาก็ยังสามารถที่จะยิงปืนเข้าใส่ได้อย่างกำเริบเสิบสาน
เพราะว่าคนอื่นก็เป็นนักบู๊ ด้วยสภาพร่างกายและปฏิกิริยาการตอบสนองของพวกเขา โดยพื้นฐานแล้วจะไม่โดนกระสุนที่สาดยิงเข้าใส่
อีกทั้งกองทัพทหารนักบู๊เหล่านี้ มุมทิศทางและความรวดเร็วในการยิงปืน จะเร็วและแม่นยำกว่าพวกกองทัพทหารส่วนตัวทั่วไปนั้นหลายเท่า
ตัวอย่างเช่นนักบู๊ที่ไม่มีทักษะติดตัวมาแต่เกิด แต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลัง ยิงปืนใส่นักบู๊พรสวรรค์สูงสุด โดยนักบู๊พรสวรรค์สูงสุดแน่นอนว่าจะทำการหลบหลีก แล้วจากนั้นก็จะไปจับตัวนักบู๊ที่ยิงปืนใส่คนนั้น
และในเวลานี้ นักบู๊ที่ไม่มีทักษะติดตัวมาแต่เกิด แต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลัง ก็สามารถที่จะทำการเคลื่อนย้ายตำแหน่ง และยิงปืนโจมตีต่อ
แม้ว่าในท้ายที่สุดนักบู๊พรสวรรค์จะเป็นผู้ชนะ แต่นักบู๊พรแสวงก็ยังมีช่วงเวลาเล็กน้อยในการที่จะต่อต้านนักบู๊พรสวรรค์อยู่บ้าง
แต่ว่า เมื่อนักบู๊พรแสวงที่มีอาวุธปืนครบมือ มีจำนวนเพิ่มขึ้นสิบเท่าหรือห้าสิบเท่าล่ะ?
อีกทั้งยังได้เตรียมการกระสุนที่ไว้ยิงใส่เฉพาะนักบู๊ เช่นกระสุนเจาะเกราะที่มีอานุภาพทะลุทะลวงที่รุนแรง ต่อให้เป็นปรมาจารย์นักบู๊ ก็ไม่กล้าที่จะปะทะซึ่ง ๆ หน้า
แบบนี้แล้ว นักบู๊พรสวรรค์ก็เหลือเพียงโดนยิงโจมตีใส่เท่านั้น
นี่ก็คือเหตุผลที่เจียงร่อโจ๋แห่งเมืองหลวงได้รับการขนานนามว่าเทพแห่งสงคราม
เมื่อผู้มีฝีมือระดับปรมาจารย์นักบู๊ และมีอาวุธปืนครบมือ ทำให้พลังอานุภาพที่แสดงออกมานั้น ราวกับระเบิดนิวเคลียร์มนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่แปลกใจเลยที่มีคำเล่าลือในจีนว่า: “เทพแห่งสงครามตั้งมั่นรักษาเมืองหลวง ไม่มีใครกล้าบุกรุก”
แต่ว่า นักบู๊ส่วนใหญ่ต่างก็รู้สึกหมางเมินกับพวกอาวุธปืน ถ้าหากนักบู๊คนหนึ่งชื่นชอบในอาวุธปืน ก็คงจะถูกคนในโลกบู๊หัวเราะเยาะเป็นแน่
คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็มีอายุราวสี่สิบปี หลายคนยังคงอยู่ในระดับขั้นพรแสวง บางทีตลอดชีวิตนี้ก็ถูกจำกัดอยู่เพียงเท่านี้แล้ว
การบำเพ็ญฝึกฝนถูกจำกัดขอบเขต แต่พวกเขาก็ยังคงต้องดำรงชีวิต และมีนักบู๊จำนวนมากที่เป็นเพราะการฝึกฝนบู๊ ทำให้สูญเสียทักษะความสามารถในการดำรงชีวิตในสังคม
ดังนั้น ถ้าหากมีคนที่ยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อรวบรวมพวกเขา พวกเขาก็ยินยอมพร้อมใจอย่างแน่นอน
คาดการณ์ว่า ที่ตระกูลเติ้งสามารถรวบรวมนักบู๊ได้จำนวนมากขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะจ่ายเงินไปอย่างมหาศาล
เติ้งเจียหลุนยิ้มเยาะอย่างภาคภูมิใจและพูดขึ้นว่า: “ปรมาจารย์หลิน เป็นอย่างไรล่ะ? เห็นกองทัพทหารนักบู๊ของตระกูลเติ้งแล้ว มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง? ”
หลินหยุนกวาดสายตามองไปที่คนเหล่านั้น และพูดขึ้นว่า: “พวกกลุ่มคนสารเลว”
ต่อให้เป็นถึงปรมาจารย์ พบกับกองทัพทหารนักบู๊จำนวนห้าสิบคน คาดว่าคงจะต้องหลบหนีเช่นกัน
แต่ว่า คิดที่จะสู้รบกับหลินหยุน ก็ยังห่างไกลอีกหลายเท่านัก
ตระกูลเติ้ง ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าตนเองกำลังจะสู้รบกับคู่ต่อสู้ที่มีความเก่งกาจมากขนาดไหน
เติ้งยู่เหรินตะโกนเสียงดังขึ้นทันที: “ขอเชิญปรมาจารย์เติ้ง! ”
บนอาคารของบ้านตึกที่อยู่ด้านข้าง มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งเหาะเหินลงมาจากหน้าต่าง แล้วไปยืนอยู่ด้านข้างของเติ้งยู่เหริน
ผู้อาวุโสอยู่ในชุดคลุมยาวสีเทา ผมขาวเกือบครึ่งศีรษะ มองดูแล้วร่างกายยังแข็งแรง และมีสีหน้าท่าทางที่หยิ่งยโส
“ที่นายบอกว่าปรมาจารย์หลิน ก็คือไอ้เด็กหนุ่มคนนี้อย่างนั้นเหรอ? ” ผู้อาวุโสมองสำรวจหลินหยุน และแสดงท่าทางที่เหยียดหยาม
“ปู่รองอย่าได้มองข้ามเขาอย่างเด็ดขาด ได้ยินว่าไอ้หนุ่มคนนี้ได้รับขนามนามว่าปรมาจารย์หลิน การบำเพ็ญฝึกฝนบู๊ถึงขั้นระดับปรมาจารย์มานานแล้ว” เติ้งยู่เหรินพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่เคารพ
ผู้อาวุโสท่านนี้คือพี่ชายสองของปู่ของเติ้งยู่เหริน ในตอนนั้นที่จีนกำลังอยู่ในช่วงอลหม่านวุ่นวาย เขาก็ได้ถูกส่งไปบำเพ็ญฝึกฝนที่สำนักบู๊
ในตอนท้าย สำนักบู๊นั้นถูกทำลายลง เขาโชคดีหลบหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ และหลบซ่อนตัวบำเพ็ญฝึกฝนต่อ ในที่สุดตอนมีอายุครบเจ็ดสิบปี ก็กลายเป็นปรมาจารย์
หลังจากที่เขาเป็นปรมาจารย์แล้ว ก็กลับมายังซีไห่ ผ่านมรสุมต่างๆ มากมาย ในที่สุดก็ตามหาตระกูลเติ้งจนพบ
สำนักบู๊ขนาดเล็กแบบนั้น ตอนนั้นแม้แต่เจ้าสำนักเองก็มีระดับขั้นเพียงนักบู๊พรสวรรค์ วิชาการฝึกฝนของพวกเขามีขอบเขตที่จำกัด ยากที่จะสำเร็จในระดับขั้นที่สูง
แต่ว่า ปู่รองตระกูลเติ้ง ไม่รู้ว่าโชคดี หรือว่ามีพรสวรรค์ กลับทำให้เขาสามารถฝึกฝนจนสำเร็จระดับขั้นปรมาจารย์ได้
แต่ เป็นเพราะเขาบำเพ็ญฝึกฝนมาเป็นเวลานาน นานมากถึงขนาดที่หลงลืมชื่อของตัวเองไปแล้ว
ตลอดทั้งชีวิตของเขา เหมือนว่าจะรู้เพียงแค่ว่าบำเพ็ญฝึกฝน ฝึกฝน ถ้าหากไม่ใช่ว่าตอนนี้ระดับการฝึกฝนของเขาได้ถึงจุดสูงสุดแล้ว วิชาการฝึกฝนขั้นสูงสุดของเขาก็เพียงระดับขั้นปรมาจารย์ ไม่แน่ว่าบางทีเขาอาจจะไม่กลับมาตระกูลเติ้งก็เป็นได้
เส้นทางการฝึกบู๊ได้เดินทางมาจนถึงจุดสิ้นสุด แต่ว่าเขาสามารถที่จะพัฒนาสร้างความแข็งแกร่งให้กับตระกูลเติ้งได้อีกมาก
มีความช่วยเหลือสนับสนุนจากปู่รองเติ้ง ตระกูลเติ้งในหลายสิบปีก่อนจึงได้มีพัฒนาการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ที่สามารถรวบรวมนักบู๊เหล่านี้ได้ หนึ่งในเหตุผลก็เพราะบทบาทที่สำคัญของปู่รองเติ้ง
การเชิญชวนของปรมาจารย์ แน่นอนว่ามีแรงดึงดูดโน้มน้าวต่อนักบู๊มากกว่าทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้นเสียอีก