จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 52 ศิลปะ
บทที่ 52 ศิลปะ
หลินหยุนเดินเข้าไปตามระเบียงทางเดินยาวที่เต็มไปด้วยภาพวาดที่แขวนอยู่
ทั้งสองด้านเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเป็นศิลปะ
มีภาพวาดบนภาชนะที่เป็นรูปการ์ตูน น่าจะเป็นภาพวาดตอนเด็กๆ ของอันซิน
ยังมีภาพมือหนึ่งข้างที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับมากมาย ภาพวาดนั้นมีชื่อว่า “เพชรพลอย” แต่หลินหยุนดูไม่เข้าใจนัก
แต่เขาคิดว่า ในด้านการวาดภาพอันซินถือว่าเก่งมากแล้ว
ต่อไปในอนาคตเธออาจจะกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียง
บรรยากาศของศิลปะมักจะเงียบสงบ เหมือนว่ามีเพียงแบบนี้ถึงจะสามารถทำให้ความเป็นศิลปะชัดเจนมากขึ้น
คุณพ่อคุณแม่ของอันซินต่างก็เป็นคนที่มีความสามารถในอาชีพ สิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกในชีวิตไม่เลวนัก แต่ไม่ถือว่ารวยเท่าไหร่ จัดอยู่ในประเภทที่พยายามอยากจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเอง แต่ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มากนัก
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เด็กอันซินก็ได้เรียนหลายอย่าง คุณพ่อคุณแม่ของเธอต่างก็เอาความหวังวางไว้ที่ตัวทายาทของตัวเอง หวังว่าอันซินจะสามารถทำตามความฝันที่ตัวเองทำไม่สำเร็จได้
อันซินเองก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เธอทำมันได้ดีมาก คุณพ่อคุณแม่ของเธอก็กล้าที่จะใช้เงิน เพื่อการเป็นที่รู้จักของลูกสาวตัวเอง อายุไม่เยอะก็ลงทุนจัดนิทรรศการภาพวาดให้ อีกทั้งยังเชิญเพื่อนหลายคน รวมทั้งนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงมาที่งานอีกด้วย
“รูป ‘พระอาทิตย์ตกดิน’ รูปนี้วาดได้ดีจริงๆ เลย ลายเส้นสวยงาม ความหมายลึกซึ้ง! น้องอันซินเก่งมากจริงๆ” เสียงชื่นชมของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจนหลินหยุนได้ยิน
หลินหยุนคิดว่าผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะเข้าใจเรื่องการวาดภาพเช่นกัน
“อืม เด็กผู้หญิงคนนี้สายตาดีทีเดียว ภาพนี้วาดได้ดีจริงๆ” เสียงของผู้ชายอีกคนดังขึ้น ต่อมาก็พูดขึ้นอีกอย่างว่า
“แต่ว่ายังดูขาดความยิ่งใหญ่ ยังคงมีความอนุรักษนิยมเล็กน้อย ถ้าหากลองที่จะเปิดบ้าง วาดให้รูปพระอาทิตย์ใหญ่ขึ้นอีกนิด ก็จะดีขึ้นเยอะเลย!” ฟังจากเสียง ผู้ชายคนนี้น่าจะอายุไม่น้อยแล้ว
หลินหยุนคิดว่าผู้ชายคนนี้คงจะเป็นศิลปินที่มีอายุแล้ว คำติชมก็ชัดเจนว่าเหนือกว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้
จากนั้น เสียงของผู้ชายแก่คนนั้นก็ดังขึ้นอีกรอบ “ถ้าอยากจะเป็นศิลปินจริงๆ อันดับแรกต้องเปิดร่างกายของตัวเอง เปิดใจของตัวเอง มีเพียงแค่การเปิดตัวเองให้สุด ถึงจะสามารถยกระดับได้ ถึงจะไปสู่ศิลปะขั้นสูงได้”
“เหมือนกับแวนโก๊ะ เพื่อศิลปะ เขายอมที่จะตัดหูตัวเองออก”
“เพื่อที่จะให้ศิลปะถูกยกระดับขึ้น ก็ควรที่จะเปิดตัวเองให้สุด การที่อยากเปิดตัวเองให้สุด ก้าวแรกก็คือต้องเปิดใจของตัวเอง แล้วเปิดร่างกายตัวเอง มีเพียงการเปิดใจและเปิดกายตัวเองให้สุด ถึงจะทำให้ศิลปะยกระดับขึ้นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบได้!”
พอได้ฟัง หลินหยุนเองก็เริ่มสงสัยขึ้นมา การเปิดใจเขาพอจะเข้าใจ แต่เปิดร่างกายมันหมายถึงอะไรกันแน่?
นี่มันเป็นการหลอกลวงกันชัดๆ!
ถ้าเด็กผู้หญิงคนนั้นยังไม่เคยผ่านโลก บวกกับความรักในงานศิลปะ ดีไม่ดีอาจจะเชื่อผู้ชายไร้ศีลธรรมคนนั้นเป็นแน่
หลินหยุนรีบเร่งฝีเท้า พออ้อมไป ก็เห็นผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่หน้าภาพวาดภาพหนึ่ง
หนึ่งในนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวดีเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ กำลังยืนอยู่ต่อหน้าผู้หญิงที่หุ่นดีพร้อมทั้งยังหน้าตาดีคนหนึ่ง พร้อมทั้งใช้ไม้ใช้มือคุยกับเธออยู่
รอบข้างยังมีทั้งผู้หญิงผู้ชายที่ยังเป็นวัยรุ่นยืนฟังเขาพูดอยู่ตรงนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความศรัทธา
ในบรรดาผู้คนเหล่านั้น มีหลายคนที่เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของหลินหยุนเอง จางจื่อเห้าคนที่เพิ่งจะมีเรื่องกับเขาที่สนามม้าครั้งที่แล้วก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
ผู้หญิงสวยคนที่กำลังโดนผู้ชายคนนั้นพูดหลอกล่อก็คือเพื่อสมัยมัธยมของเขาเช่นกัน เธอเชื่อว่าห่าวฮ่วยฮ่วย เป็นผู้หญิงที่ไม่เลวทีเดียว
เมื่อเห็นว่าเด็กๆ กลุ่มนั้นโดนตัวเองหลอก สายตาเขาก็แฝงไปด้วยความกระหยิ่มใจ แล้วเริ่มหลอกห่าวฮ่วยฮ่วยที่กำลังมองตนด้วยสีหน้าศรัทธาในตัวเขาต่อ
“สาวน้อย เธอมีแฟนไหม มีคนรักหรือเปล่า ฉันดูก็รู้ว่าเธอไม่มีแน่นอน เพราะว่าเธอยังไม่เปิดตัวเอง”
“เธอต้องหาแฟนเยอะๆ หาคนรักเยอะๆ สัมผัสความสุขกับความตื่นเต้นที่เขามีให้เธอ ไม่ต้องอาย ให้พวกเขาได้ชื่นชมร่างกายเธออย่างเต็มที่ ใช้ชีวิตของเธอให้เป็นในแบบศิลปะ เธอถึงจะไปถึงโลกที่ศิลปินที่มีชื่อเสียงไปถึงได้”
คำพูดนี้มันช่างล่อแหลมเหลือเกิน ห่าวฮ่วยฮ่วยกับผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้นต่างก็หน้าแดงขึ้นมา จางจื่อเห้ากับผู้ชายคนอื่นๆ ก็ยังรู้สึกเขินอายตามไปด้วย
เพราะเด็กวัยรุ่น ยังหน้าหนาได้ไม่เท่าผู้ชายแก่คนนั้น แต่พวกเขาก็ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร เพราะตอนที่ผู้ชายคนนั้นพูด เขาสีหน้าจริงจัง ราวกับว่ากำลังพูดเรื่องศิลปะที่สูงส่งอยู่
“อย่างคุณเนี่ยเขาไม่เรียกว่าศิลปะ เขาเรียกว่าลามก” หลินหยุนพูดด้วยเสียงราบเรียบขึ้น
คนเหล่านั้นต่างก็หันหลังกลับมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นหลินหยุน ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
ห่าวฮ่วยฮ่วยกับเพื่อนคนที่ความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับหลินหยุน ต่างก็พากันร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ “หลินหยุน ทำไมนายเพิ่งจะมา!”
ห่าวฮ่วยฮ่วยและเพื่อนคนอื่นๆ มองหลินหยุนด้วยสายตาอาฆาต เรื่องครั้งก่อนที่สนามม้า เขายังคงฝังลึกอยู่ในใจ
ผู้ชายคนนั้นเองก็มองหลินหยุนด้วยสายตาไม่ชอบใจนัก พร้อมพูดด้วยความหยิ่งยโสว่า “ตั้งแต่ที่นายเดินเข้ามา สายตาก็ไม่ได้มองที่ภาพวาดเลย ฉันรู้เลยว่า นายไม่เข้าใจเรื่องศิลปะหรอก”
ท่าทางหยิ่งยโสปานนั้น หากเป็นแบบพวกห่าวฮ่วยฮ่วยที่ยังอยู่ในโรงเรียน เกรงว่าคงจะอับอายจนต้องเดินหนีไป
แต่ว่าหลินหยุนกลับแสดงสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกตอบโต้กลับไป พร้อมมองเขาอยู่อย่างนั้น สายตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความลึกซึ้ง ราวกับว่าสามารถมองทะลุเข้าไปในจิตใจของคนได้
“ผมไม่เข้าใจศิลปะ แต่ว่า ผมเข้าใจจิตใจมนุษย์” สายตาของหลินหยุนทำให้ผู้ชายคนนั้นรู้สึกไม่เป็นอิสระ
“ผู้ชายอายุมากคนหนึ่งที่มากจนสามารถเป็นคุณปู่ของเด็กๆ พวกนี้ได้แล้ว พูดจาคุยโวโอ้อวดกับเด็กสาว ให้เด็กสาวเหล่านี้ไปหาคนรักเยอะ ถ้าบอกว่าคุณไม่มีวัตถุประสงค์อะไรเลย ใครจะไปเชื่อกัน?”
ผู้ขายแก่คนนั้นถกเถียงขึ้นมาทันทีว่า “เพราะงั้นนายถึงไม่เข้าใจศิลปะไง สละตัวเองเพื่อศิลปะจะเป็นอะไรไป คนธรรมดาอย่างนายไม่มีวันเข้าใจศิลปะหรอก!”
จางจื่อเห้าที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะเยาะ “หลินหยุน นายรู้ไหมว่าผู้ชายท่านนี้คือใคร? เขาคือประธานคณะกรรมการของบริษัทฝูว่าง ท่านหวางชิ่งเซิง ขณะเดียวกันท่านยังเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย เคยจัดนิทรรศการภาพวาดของตัวเองที่เมืองหลวงถึง 3 ครั้ง”
“คนไม่รู้เรื่องที่ชอบสอดอย่างแก ก็คู่ควรที่จะมาพูดคุยเรื่องศิลปะกับท่านเหรอ? ไม่รู้สึกขายหน้าบ้างเหรอ?”
จางจื่อเห้าพยายามเอาใจหวางชิ่งเซิงตลอดเวลา แต่ยังหาโอกาสไม่เคยได้ พอหลินหยุนมา ก็ได้ถือโอกาสเอาใจหวางชิ่งเซิง พร้อมทั้งทำให้หลินหยุนเสียหน้าไปในเวลาเดียวกัน
หลินหยุนไม่ได้สนใจจางจื่อเห้า เขาเอาแต่มองไปที่หวางชิ่งเซิงที่กำลังทำท่าทางหยิ่งยโสอยู่ตรงนั้น พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบขึ้นว่า “การแสดงออกทางด้านศิลปะมีหลายรูปแบบ นักดนตรีใช้ดนตรีในการถ่ายทอด ทำให้ผู้คนหลับใหลอยู่ในโลกของดนตรี สัมผัสความสวยงามในเสียงของธรรมชาติ”
“จิตรกรใช้ภาพวาดที่สวยงามแสดงให้โลกรู้ด้วยการบอกผ่านผลงานภาพวาดของตนเอง หรือแม้กระทั่งความรู้สึกที่ลึกซึ้ง”
“พวกเขาต่างก็มีสิ่งที่เหมือนกัน คือใช้ศิลปะเพื่อให้ได้รับเกียรติจากผู้คน!”
“สำหรับคนที่ใช้การเปิดร่างกายเพื่อแสดงออกทางศิลปะ ไม่ใช่คนบ้า แต่คือคนไร้ซึ่งศีลธรรม”
น้ำเสียงราบเรียบของหลินหยุน ตอบกลับจนทำให้หวางชิ่งเซิงนักศิลปะตัวปลอมคนนี้ต้องไร้ซึ่งคำพูดตอบโต้
“เหอะ นายก็แค่คนที่ไม่เข้าใจศิลปะก็เท่านั้น ฉันไม่อยากมาถกเถียงกับนาย!”
หวางชิ่งเซิงรู้ว่าตัวเองพูดเอาชนะหลินหยุนไม่ได้ ก็ตัดสินใจไม่สนใจเขาอีก พร้อมหันหน้าหาห่าวฮ่วยฮ่วย เพื่อที่จะพูดหลอกล่อเธอต่อไป
“สาวน้อย จากที่เมื่อกี้ฉันได้สังเกตเธอ ฉันพบว่าเธอมีความรู้ด้านศิลปะที่ไม่ธรรมดาทีเดียว สนใจที่จะมาพูดคุยให้ลึกซึ้งมากกว่านี้กับฉันไหม”
“ฉันรับรองว่าจะทำให้เธอกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงแน่นอน ปีหน้าก็จัดงานนิทรรศการภาพวาดของตัวเองที่เมืองหลวงได้แล้ว!”
คิดไม่ถึงว่าห่าวฮ่วยฮ่วยเองก็เริ่มคล้อยตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าเกียรติยศอันจอมปลอม ผู้หญิงสวยส่วนใหญ่ต่างก็เปลี่ยนเป็นสมองทึ่มไปกันหมดสินะ แม้แต่คำโกหกง่ายๆ แบบนี้ก็ยังเชื่อได้
หลินหยุนรู้สึกดีกับห่าวฮ่วยฮ่วย เธอเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง ไม่มีความคิดที่ไม่ดี เป็นมิตรกับทุกคน ชาติที่แล้วหลินหยุนเองก็เพ้อฝันกับเธอเช่นกัน
เพราะฉะนั้น หลินหยุนไม่มีทางให้ห่าวฮ่วยฮ่วยตกหลุมพรางชายแก่คนนี้แน่นอน