จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 524 กลับมาถึงจงโจวแล้ว
หญิงสาวทำท่ายึกยักสะดีดสะดิ้ง สีหน้าเขินอายเล็กน้อย
ขณะที่ชายหนุ่มหันไปมองนอกหน้าต่างรถอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็ตกตะลึงขึ้นมาทันที
เขามองเห็นคนคนหนึ่ง กำลังวิ่งผ่านหน้าต่างรถมุ่งไปยังข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหมาน้อย แกจะขับรถให้เร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ? ยังสู้คนวิ่งผ่านไม่ได้เลย! ฉันยังต้องรีบไปให้ทันรถไฟฟ้าด้วยนะโว้ย!” ชายหนุ่มด่าทอ
“พี่เอ๊ย พี่สุดที่รักของฉัน ฉันวิ่งถึง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว ถ้าเร็วกว่านี้ก็ต้องถูกปรับแล้ว” ชายหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าพูดโอดครวญพลางยิ้มเจื่อนๆ
“อย่าโกหกฉัน ตั้งใจขับรถหน่อย เมื่อกี้ฉันยังเห็นกับตาว่านอกหน้าต่างมีคนวิ่งผ่านไปเลย……..”
หลังจากพูดแล้ว เขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลย
ดูเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ รีบมองไปยังแผงควบคุมหน้ารถ
เข็มไมล์รถชี้ไปที่ 150 จริงๆ
“ดูสิพี่ ฉันไม่ได้โกหกพี่เลยนะ นี่ก็เกือบถึง 160 แล้ว” เจ้าหมาน้อยพูด
ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปเลย ทันใดนั้นก็รู้สึกขนหัวลุกไปทั้งตัว
“ฉันคงไม่ได้เห็นผีหลอกนะ! ความเร็วของคน เป็นไปได้ยังไงที่จะเร็วกว่ารถที่วิ่ง 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้!”
“อีกทั้งเขายังวิ่งเร็วกว่ารถยนต์มากอีกด้วย!”
สายตาของหญิงสาวแสดงออกถึงความเหยียดหยาม ไอ้หมอนี่น่าจะเป็นโรคประสาทล่ะมั่ง! แต่ก็ช่างเถอะ ใครให้พ่อเขารวยล่ะ?
“พี่ห้าวคะ อย่าหยุดสิคะ!” หญิงสาวพูดออดอ้อน
“ออกไป!” ชายหนุ่มไหนเลยจะมีอารมณ์เช่นนั้นอีก เอามือปัดหญิงสาวออกไป แล้วแนบไปบนหน้าต่างรถเพื่อมองดูข้างนอก
แต่ว่า จะยังมีเงาคนอะไรที่ไหนกันล่ะ อะไรก็ไม่มี มีเพียงแต่เสียงลมที่พัดผ่านไป
หลินหยุนใช้เวลาครึ่งชั่วโมง ก็มาถึงสถานีรถไฟแล้ว
แต่ว่า ขณะที่เดินไปซื้อตั๋วรถที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วนั้น จึงได้รู้ว่าต้องรออีกหนึ่งชั่วโมง หลังจากนี้จึงจะมีขบวนรถเที่ยวต่อไปที่จะวิ่งไปจงโจว
ส่วนขบวนรถไปจงโจวที่เพิ่งออกไปก่อนหน้านั้น เพิ่งออกไปราว10นาทีเท่านั้น
หลินหยุนจึงหันหลังกลับ แล้วเดินต่อไป
จากนั้นก็กระโดดข้ามราวกั้นรถ วิ่งไปยังชานชาลาด้วยความเร็วสูงสุด
หลินหยุนวิ่งไปตามรางรถไฟฟ้า วิ่งไล่ตามไปยังทิศทางที่ไปจงโจว
ยามรักษาความปลอดภัยเมื่อเห็นหลินหยุนแล้ว จึงรีบตะโกนพูดกับหลินหยุน ให้หลินหยุนระวัง แล้วให้ออกจากรางรถไฟไป
หลินหยุนไม่ได้สนใจ เร่งความเร็วจนสุดฤทธิ์ แล้วหายวับไปจากสายตาของยามรักษาความปลอดภัยทันที
ทำให้ยามรักษาความปลอดภัยนั้นคิดว่าตัวเองตาฝาดไป
หลินหยุนออกแรงสุดฤทธิ์วิ่งไล่ตามรถไฟฟ้าไป ความเร็วของรถไฟฟ้าโดยทั่วไปแล้ว ราวสามร้อยกว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ว่า ขณะที่เริ่มออกวิ่งนั้นความเร็วก็ค่อนข้างช้าเป็นธรรมดา
ความเร็วของหลินหยุนนั้น สามารถวิ่งเร็วกว่ารถไฟฟ้าแล้ว คาดเดาว่าอยู่ประมาณใกล้เคียงกับความเร็วเสียง
แต่ว่า ด้วยประสิทธิผลในการฝึกฝนของหลินหยุน กลับไม่สามารถที่จะประคองให้หลินหยุนวิ่งด้วยความเร็วขนาดนั้นจนถึงจงโจวได้ตลอด
นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำไมหลินหยุนถึงต้องวิ่งไล่ตามรถไฟฟ้าเช่นนี้
หลินหยุนวิ่งไปตามรางรถไฟอย่างบ้าคลั่ง
สำหรับผู้คนที่หยุดนิ่งอยู่กับที่นั้น ความเร็วของหลินหยุนสูงมากจนสามารถเห็นได้เพียงแค่เงามืดดำจางๆเท่านั้นเอง
แต่ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วของรถไฟฟ้าแล้วละก็ ความเร็วของหลินหยุนก็ถูกหักลบลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง
ส่วนผู้โดยสารที่อยู่ในรถไฟฟ้านั้น ก็สามารถเห็นเงาร่างของหลินหยุนได้อย่างชัดเจนทีเดียว
ภายในโบกี้รถ มีคู่รักหนุ่มสาวคู่หนึ่ง กำลังทะเลาะกัน
หญิงสาวจ้องหน้าชายหนุ่มตาเขม็ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าคิดจะให้ฉันเชื่อคุณละก็ นอกเสียจากว่ามีคนที่วิ่งเร็วกว่ารถไฟฟ้านี้เสียก่อน!”
ชายหนุ่มสีหน้าจนปัญญา พูดด้วยรอยยิ้มฝืดๆว่า “ฉันไม่ได้โกหกคุณจริงๆ ฉันพูดด้วยความจริงใจทั้งนั้น!”
หญิงสาวก็ไม่ยอมเชื่อ “ฮึ่อ ทุกครั้งคุณก็มักจะหาข้ออ้างแก้ตัวต่างๆนานา ฉันจะไม่ยอมเชื่อคุณอีกต่อไปแล้ว”
“คราวนี้เป็นเรื่องจริงๆนะ!” ชายหนุ่มพูดอย่างคนบริสุทธิ์ใจ
หญิงสาวไม่สนใจเขาอีก เชิดหน้าไปทางอื่น
ชายหนุ่มมองไปทางหน้าต่างด้วยความหดหู่ใจ
ทันใดนั้นสีหน้าชายหนุ่มก็แตกตื่นตกใจ รีบเอามือตบไหล่ของหญิงสาว
“จะทำไมล่ะ!” หญิงสาวตะคอกด้วยความรำคาญ
“คุณ คุณรีบมองตรงข้างนอกหน้าต่าง มีคนวิ่งเร็วกว่าความเร็วรถไฟฟ้าจริงๆด้วย!” ชายหนุ่มชี้ไปยังหลินหยุนที่วิ่งผ่านนอกหน้าต่างรถไฟฟ้า ด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง
เมื่อหญิงสาวมองเห็นแล้ว ถึงกับตกใจอึ้งไปทันที
ผ่านไปสักพักจึงได้สติกลับคืนมา
“ไหนว่ารถไฟฟ้าวิ่งเร็วมาก ที่แท้ก็โกหกคนทั้งเพ ความเร็วยังสู้คนวิ่งไม่ได้เลย!”
หญิงสาวพูดด้วยความอัดอั้นว่า “เลิกกันเถอะ! ฉันจะไม่เชื่อพวกนักต้มตุ๋นอย่างพวกคุณอีกแล้ว!”
หลินหยุนขึ้นไปอยู่บนรถไฟฟ้า แล้วนอนอยู่บนหลังคารถ อาศัยขณะที่รถแวะจอดสถานี จึงมุดเข้าไปอยู่ภายในโบกี้รถไฟฟ้า
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณแปดโมงกว่า หลินหยุนก็ลงมาจากสถานีรถไฟฟ้าจงโจวแล้ว
ก่อนอื่นหลินหยุนรีบโทรศัพท์ไปหาหวางซูเฟินเป็นอันดับแรก
แต่ไม่สามรถติดต่อได้
จากนั้น หลินหยุนก็โทรศัพท์ให้ฉินหลัน ก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน
ต่อมา หลินหยุนจึงโทรศัพท์ให้ซูจื่อเหลียง
เสียดายที่ว่าซูจื่อเหลียงไม่รู้เรื่องอะไรที่เกิดขึ้นเลย รู้แต่เพียงว่าหวางซูเฟินและฉินหลันเดินทางไปเจรจาการค้าธุรกิจที่เมืองหาน ตอนนี้ยังไม่กลับมาเลย
หลินหยุนจึงไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบตรงไปยังสำนักงานใหญ่บริษัทตงหวาง กรุ๊ป
สำนักงานใหญ่บริษัทตงหวาง กรุ๊ปถึงกับถูกปิดกั้นบริเวณไปแล้ว
หลินหยุนจึงกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางเขตหวงห้าม แล้วเดินไปยังประตูทางเข้า
ยามรักษาความปลอดภัยจึงรีบมากั้นเอาไว้ แต่ว่าเพียงแค่เห็นเงาคนผ่านไปแวบเดียว หลินหยุนก็เข้าไปถึงข้างในประตูแล้ว
“แปลกจริง! ฉันตาฝาดไปหรือไง?” ยามรักษาความปลอดภัยมองไปยังประตูทางเข้าก็ไม่มีคนอยู่เลย สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
หลินหยุนมาถึงเคาน์เตอร์ด้านหน้า พนักงานต้อนรับสาวหน้าเคาน์เตอร์สองคนรีบลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่แตกตื่น
“คุณคะ คุณเข้ามาได้ยังไงกัน!”
หลินหยุนสีหน้าเรียบเฉย “ฉันมาหาผู้อำนวยการหวาง”
“ผู้อำนวยการหวางไม่อยู่ค่ะ!”
หลินหยุนมองหน้าเธอ ในดวงตาส่องแสงประกายดาวหมุนวนไปมา น้ำเสียงแฝงด้วยพลังทิพย์ “ผู้อำนวยการหวางอยู่ไหน?”
พนักงานต้อนรับสาวหน้าเคาน์เตอร์คนนั้นท่าทีมึนงงทันที ตอบคำถามอย่างไร้ความรู้สึกว่า “อยู่ห้องพักผ่อนชั้น 13!”
พนักงานต้อนรับสาวอีกคนหนึ่งก็รีบแอบเขย่าแขนของเธอ
ขณะที่เงยหน้าขึ้นมานั้น หลินหยุนก็หายตัวไปแล้ว
ภายในห้องพักผ่อนชั้น 13
หวางซูเฟินและฉินหลันนั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ทันใดนั้น โทรศัพท์ภายในบนโต๊ะก็ดังขึ้น
ฉินหลันยกหูโทรศัพท์แล้วถามว่า “ใครคะ?”
“ผู้ช่วยฉินคะ มีชายหนุ่มประหลาดคนหนึ่ง จะมาหาผู้อำนวยการ เขามองหน้าฉันแวบเดียว ฉันก็ไม่รู้สึกตัวอะไรเลย ฉันบอกที่อยู่ของผู้อำนวยการหวางให้เขาไป คาดว่า ตอนนี้เขากำลังขึ้นไปแล้ว” พนักงานต้อนรับสาวหน้าเคาน์เตอร์พูดด้วยน้ำเสียงแตกตื่น แทบจะร้องไห้ออกมา
“ไม่เป็นไร คุณบอกมาสิว่า ลักษณะพิเศษของคนนั้นเป็นยังไง!” ฉินหลันถึงกับสงสัยหลินหยุนขึ้นมาเป็นคนแรก
ยังไม่ทันรอให้พนักงานต้อนรับบรรยายเลย เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นแล้ว
“ผู้อำนวยการหวางครับ พี่ฉินหลันครับ ผมคือหลินหยุน!”
ฉินหลันมองไปยังหวางซูเฟิน “คือหลินหยุน”
“เขามาได้ยังไงล่ะ!” หวางซูเฟินขมวดคิ้ว “หรือว่าเขาได้ยินอะไรมาหรือเปล่า?”
“หลินหยุนไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ได้เลย ในเมื่อมาแล้ว พวกเราก็พบเขาหน่อยเถอะ!” ฉินหลันพูด
“ไปเปิดประตูเลย!” หวางซูเฟินพยักหน้า
ฉินหลันเปิดประตูแล้วถามว่า “คุณมาได้ยังไงล่ะ?”
เมื่อเห็นว่าหวางซูเฟินและฉินหลันต่างก็ปลอดภัยดี ในที่สุดความกังวลในใจของหลินหยุนก็ปล่อยวางลงไปได้เสียที
เมื่อชาติที่แล้ว หวางซูเฟินและฉินหลันก็คือสิ่งที่เสียใจที่สุดชั่วชีวิตของหลินหยุน ถึงแม้จะได้เป็นถึงมหากษัตริย์ชางฉองที่มีอำนาจอิทธิพลเหนือโลกต่างๆจำนวนนับหมื่นนับแสนก็ตาม เรื่องที่เสียใจที่สุดนี้ยังติดตัวหลินหยุนตลอดไปตราบจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีวันที่จะจางหายไปได้เลย
ยังดีที่ว่า เขาได้มาเกิดใหม่แล้ว
ถ้าหากในชาตินี้ ก็ยังเกิดเรื่องอะไรกับหวางซูเฟินและฉินหลันเหมือนเช่นเดิมอีกละก็ ต่อให้หลินหยุนชกโลกทั้งใบนี้ให้แตกสลายลงไป ก็ไม่สามารถชดเชยได้เลย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” หลินหยุนถามพลางจ้องหน้าคนทั้งสอง
“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” หวางซูเฟินพูด
เป็นที่แน่ชัดว่า แม่แก่ไม่ยอมพูดความจริงกับเขาแน่นอน ถึงแม้ว่าเขาได้ช่วยเหลือบริษัทตงหวาง กรุ๊ปมาหลายครั้งหลายคราวแล้วก็ตาม แต่ว่าเขาก็ยังคงเป็นแค่คนนอกคนหนึ่งเช่นเดิม
อาจเป็นเพราะว่าหวางซูเฟินไม่ยอมให้หลินหยุนเข้ามาพัวพันกับเรื่องภายในนี้ก็ได้
“ไม่ต้องปิดบังฉัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” สีหน้าหลินหยุนเคร่งเครียด
ฉินหลันพูดว่า “ฉันเดินทางกลับมาพร้อมกับผู้อำนวยการ ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุรถชนกัน ก็ยังดีที่ป้ายหยกที่คุณให้พวกเรามา พวกเราจึงรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้มาได้”
“เกิดอุบัติเหตุรถชนเหรอ? แล้วทำไมบริษัทตงหวาง กรุ๊ปจึงถูกกักบริเวณห้ามเข้าออกด้วยล่ะ!” สายตาของหลินหยุนเยือกเย็นเล็กน้อย “นี่มันไม่ใช่อุบัติเหตุรถชน มันเป็นการลอบสังหารชัดๆ!”
“ไม่มีหลักฐาน อย่าซี้ซั้วพูดไป” หวางซูเฟินพูดด้วยเสียงหนักแน่น
“ดูเหมือนว่าฉันเดาถูกแล้ว พวกคุณก็สงสัยอยู่เหมือนกัน” หลินหยุนพูด
เมื่อเห็นว่าปิดบังหลินหยุนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ฉินหลันจึงพูดว่า “ไม่ผิดหรอก ฉันกับผู้อำนวยการก็สงสัยอยู่ นี่มันไม่ใช่อุบัติเหตุรถชนธรรมดาทั่วไปหรอก”
“พวกคุณสงสัยเป็นฝีมือใครทำเหรอ?” หลินหยุนถาม
แท้จริงแล้ว ในใจหลินหยุนก็มีคำตอบแล้ว
นอกจากตระกูลส้งแล้ว ยังจะมีใครอีกล่ะ?
ตระกูลหวาง คงยังไม่บ้าคลั่งถึงขั้นสติฟั่นเฟือนที่ใช้วิธีลอบสังหารเช่นนี้ เพื่อมาจัดการกับหวางซูเฟิน
อย่างน้อย พูดไปแล้ว หวางซูเฟินก็ยังเป็นคนของตระกูลหวางอยู่ดี