จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 579 สำนักบู๊แท้แห่งซีเป่ย
ที่ประตูมหาวิทยาลัยการแพทย์หลินโจว ชายหนุ่มในชุดสีดำคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นสนที่ข้างทางโดยไม่ไปไหนมาหลายชั่วโมงแล้ว
ชายหนุ่มนั้นหน้าตาดี แต่มีท่าทางที่เคร่งขรึม ลักษณะเหมือนจะเย็นชาเล็กน้อย
พวกนักเรียนที่เดินผ่านต่างก็อดไม่ได้ที่จะมองดูเขาบ้าง ไม่ใช่เพราะว่าเขาหล่อเหลา และก็ไม่ใช่ว่าเขาเย็นชา แต่เป็นเพราะช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ เขาเป็นแบบนี้แทบทุกวัน ยืนอยู่ใต้ต้นสนนั้นเพื่อรอคนคนหนึ่งโดยไม่เว้นแม้ว่าจะฝนตกหรือแดดออก
จุดโคมไฟขึ้น ฟังเสียงขลุ่ยโบราณทั้งคืน รอคอยคนคนหนึ่ง ที่รอมาเป็นเวลานาน
เหมือนกับเนื้อเพลงตามเพลงนั้นเลย ชายหนุ่มคนนั้นไม่รู้ว่ารอคอยมาเป็นเวลานานเท่าไหร่แล้ว
หลังจากที่จงเฟยหยู่เลิกเรียน ส่วนใหญ่ก็จะก้มศีรษะแล้วเดิน จากนั้นก็ไปที่ป้ายรถประจำทางที่อยู่ไกลออกไประยะห้าสิบเมตร เพื่อรอรถประจำทางกลับบ้าน
แต่ว่า ตั้งแต่ที่เธอได้เคยช่วยชีวิตคนคนหนึ่งเอาไว้ หลังจากที่คนนั้นหายจากอาการบาดเจ็บแล้ว การดำเนินชีวิตประจำวันของเธอที่สงบและเป็นระเบียบนั้น ก็ได้ถูกทำลายลงไปโดยสิ้นเชิง
คนผู้นี้ ก็คือซูหนันที่หายสาบสูญไปเป็นเวลานานแล้วนั่นเอง
ตั้งแต่ที่ได้รับการช่วยชีวิตจากจงเฟยหยู่แล้ว ซูหนันก็ไม่ได้กลับไป เพราะเขาพบว่าในชีวิตของเขานั้น นอกจากการบำเพ็ญฝึกฝนแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากได้เพิ่มเติมเข้ามา ถึงขนาดที่ว่ามีความสำคัญมากกว่าชีวิตของเขาเองอีกด้วย
ไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นสิ่งของ เพราะสิ่งนั้นคือคนที่มีชีวิต
วันนี้ จงเฟยหยู่สวมใส่เสื้อกันลมยาวสีแดงมะรูน รวบผมยาวมัดเป็นแบบหางม้า มองดูแล้วมีท่าทางคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงมากขึ้น เสน่ห์ความน่าหลงใหลลดลงเล็กน้อย
แต่ว่า ยังคงสวยงดงามกว่าคนทั่วไปเหมือนเช่นเคย
ซูหนันที่อยู่ใต้ต้นสนหน้าประตูมหาวิทยาลัย เหมือนกับว่ารับรู้สัมผัสได้ จึงหมุนตัวหันมองไปที่ประตูมหาวิทยาลัย
ทันใดนั้น คิ้วและดวงตาที่จริงจังของซูหนันก็ได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
ส่วนจงเฟยหยู่ก็เป็นความเคยชินแล้ว เคยชินที่จะต้องหันหน้า เคยชินที่จะต้องมองไปที่ใต้ต้นสนนั้นที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะฝนตกลมแรง หรือว่าลูกเห็บหิมะตกก็ตาม
ราวกับว่าชายหนุ่มคนนั้น ยังคงอยู่ที่เดิมไม่เคยเปลี่ยน
วันนี้ ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น!
จงเฟยหยู่ทำได้เพียงปรับเปลี่ยนทิศทางอย่างจำใจ แล้วเดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นไม้นั้น
หญิงสาวงดงามใจกว้าง สดชื่นกระฉับกระเฉง ชายหนุ่มสูงใหญ่หน้าตาดี มาดเข้มเย็นชา
เป็นคู่ที่เหมาะสมกันทีเดียว
จงเฟยหยู่เดินมาถึงใต้ต้นไม้ แล้วหยุดยืนอยู่ที่ระยะห่างสองเมตรก่อนที่จะถึงชายหนุ่มคนนั้น และมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นอย่างจำใจ: “ไม่ใช่บอกนายไปแล้วเหรอว่า ต่อไปไม่ต้องมารับฉันอีกแล้ว”
จะพูดกันจริง ก็ต้องโทษตำหนิไอ้พวกคนอันธพาลเหล่านั้น ถ้าหากไม่ใช่พวกเขาที่คิดจะพูดจา แทะโลมหยอกเย้าจงเฟยหยู่แล้ว ซูหนันก็คงจะไม่ต้องมาที่นี่ทุกวันเพื่อรอคอยเธอเลิกเรียน
อันที่จริงตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงพวกอันธพาลแล้ว แม้แต่พวกเพื่อนนักเรียนชายของจงเฟยหยู่เองต่างก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้จงเฟยหยู่ในระยะสองสามเมตรแล้ว
ก่อนหน้านี้มีชายคนหนึ่ง แอบชอบจงเฟยหยู่มาโดยตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เรียนวิชาพละที่สนามกีฬา ชายคนนั้นต้องการที่จะช่วยหยิบเศษหญ้าแห้งที่ติดอยู่บนศีรษะของจงเฟยหยู่ออก
แต่ผลก็คือไม่รู้ว่าซูหนันพลันพุ่งพรวดออกมาจากที่ไหน ใช้มือข้างหนึ่งยกตัวของชายคนนั้นขึ้น แล้วโยนทิ้งลงไปในถังขยะที่อยู่ด้านข้าง
ตอนนั้นเพื่อนนักเรียนทุกคนรวมถึงคุณครูต่างก็ตกใจกันไปหมด
ชายคนนั้น ได้ยินว่าทั้งครึ่งเดือนเต็ม ๆ ถึงได้หยุดฝันร้ายจากเรื่องนั้น
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงไม่มีใครกล้าที่จะเข้าใกล้จงเฟยหยู่อีก
ทุกคนต่างทราบดีว่า ด้านหลังของจงเฟยหยู่ มีบอดี้การ์ดเย็นชาที่น่ากลัวผู้หนึ่งแอบซ่อนอยู่
จงเฟยหยู่มองไปที่ซูหนัน โดยที่ไม่ได้คิดจะตำหนิอะไร เพียงแค่ว่าไม่ต้องการที่จะรบกวน หรือว่าไม่ต้องการที่จะเป็นหนี้บุญคุณต่อซูหนัน
ซูหนันมองไปที่ใบหน้าอันงดงามและขาวสะอาดของเธอ พร้อมกับพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “ฉันเต็มใจ”
จงเฟยหยู่หมดหนทาง เพราะทุกครั้งเขาก็พูดคำนี้ขึ้น
“นายทำเพื่อฉันมากขนาดนี้ ฉันไม่รู้ว่าจะตอบแทนนายอย่างไร” มีบางคำ ที่จงเฟยหยู่ไม่อยากจะพูดออกไป เพียงแค่หวังว่าจะใช้วิธีอื่น เตือนสติเขา
ซูหนันพูดว่า: “ฉันไม่ต้องการอะไรตอบแทน”
“……”
จงเฟยหยู่พูดว่า: “ฉันไม่อยากที่จะเป็นหนี้บุญคุณนายมากเกินไป”
ซูหนันพูดอย่างจริงจังว่า: “คุณเคยช่วยชีวิตฉันไว้ บุญคุณนี้ตลอดชีวิตฉันก็ตอบแทนไม่หมด”
จงเฟยหยู่มีอารมณ์โกรธขึ้นบ้างแล้ว พูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า: “ตอนนี้ที่นายทำแบบนี้ มันรบกวนการใช้ชีวิตของฉันแล้ว”
ซูหนันไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย: “แล้วจะทำไมเหรอ”
“นาย……” จงเฟยหยู่กำหมัดแน่น กัดฟัน บังคับตัวเองให้พูดคำนั้นออกมา
“ฉันไม่ชอบนาย ตอนนี้นายตายใจได้แล้วหรือยัง? ”
ท่าทางบนใบหน้าของซูหนันไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร และยังคงพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “แล้วจะทำไมเหรอ”
จงเฟยหยู่แทบจะหมดคำพูดแล้ว: “ฉันไม่ชอบนาย นายฟังไม่เข้าใจเหรอ? ”
ดวงตาของซูหนันแปรเปลี่ยนมีความลึกซึ้งขึ้น สูดหายใจ ท่าทางบนใบหน้ายิ่งมีความจริงจังกว่าเมื่อครู่นี้อีก: “ฉันชอบคุณก็เพียงพอแล้ว”
“เอ่อ……”
จงเฟยหยู่ตกตะลึง ผ่านไปสักพักใหญ่ ก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา
“คุณควรกลับไปได้แล้ว” ซูหนันพูดเตือนขึ้น
“ก็ได้! ” จงเฟยหยู่หันหลัง แล้วก็เดินไปยังป้ายรถประจำทางที่กลับบ้าน
จงเฟยหยู่พูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า: “พรุ่งนี้ฉันลงชื่อสมัครไปสำรวจภาคสนามที่มหาวิทยาลัย ซีเป่ย คงอีกหลายวันถึงจะกลับมา ในช่วงวันที่ฉันไม่อยู่นี้ นายจะต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าได้ไป ก่อเรื่องสร้างความวุ่นวาย”
ซูหนันเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ด้านหลังที่สวยงามของจงเฟยหยู่ พูดเบา ๆ ว่า: “ฉันจะไปกับคุณด้วย”
“ไม่ต้องหรอก ครั้งนี้ฉันมีเพื่อนนักเรียนหลายคนติดตามไปด้วย เกรงว่าหากนายไปแล้วจะทำให้พวกเธอนั้นตกใจ! ” จงเฟยหยู่พูดขึ้น
ซูหนันไม่พูดอะไรต่ออีก และแอบเดินตามอยู่ด้านหลังของจงเฟยหยู่
นักเรียนชายคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลมากนัก มองเห็นจงเฟยหยู่ แล้วก็หันหลังเดินจากไป ฝีเท้าค่อนข้างจะเร่งรีบ
ชายคนนั้นเดินไปยังมุมกำแพงของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่เปล่าเปลี่ยว แล้วก็ได้โทรศัพท์
“คุณหวาง จงเฟยหยู่จะไปสำรวจภาคสนามที่มหาวิทยาลัยซีเป่ย เป็นไปได้ว่าชายคนนั้นก็คงจะติดตามไปด้วย”
โทรศัพท์ฝ่ายนั้นคือเสียงของชายวัยกลางคน: “รู้แล้ว นายทำได้ไม่เลว สะกดรอยตามเธอต่อไป”
“รับทราบ! ”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นรีบโทรศัพท์ไปหาอีกฝ่ายหนึ่งทันที
เวลานี้ ในลานบ้านตระกูลหวางที่เมืองหลวง หวางเจ๋อนั่งอยู่ที่ศาลา โดยได้หลับตาสองข้างลงเล็กน้อย เพื่อสัมผัสรับรู้อย่างสงบถึงปลาที่ว่ายน้ำไปมาในสระน้ำที่อยู่ใต้ศาลา สัมผัสรับรู้ถึงภูเขาปลอมที่อยู่ตรงข้าม ที่มีนกสองตัวน้อยเกาะอยู่
ทุกอย่างล้วนสงบเงียบ ผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ
ทันใดนั้น หวางเจ๋อลืมตาขึ้น หยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเก้าอี้ยาวที่อยู่ด้านข้าง แล้วก็กดปุ่มรับสาย
“มีธุระอะไร? ” หวางเจ๋อถามขึ้น
“คุณชาย ที่หลินโจวนั้นส่งข่าวคราวมาว่า พรุ่งนี้จงเฟยหยู่จะไปสำรวจภาคสนามที่มหาวิทยาลัย ซีเป่ย ไอ้หนุ่มที่ชื่อซูหนันนั่น เป็นไปได้ว่าจะติดตามไปด้วย”
“รู้แล้ว”
วางสายโทรศัพท์ลง หวางเจ๋อมองไปยังปลาที่อยู่ในสระน้ำ หยิบเหยื่อขึ้นมา แล้วก็ดีดลงไป ปลาน้อยตัวหนึ่งที่กำลังแหวกว่ายอยู่นั้น ก็พลันพลิกตัวขึ้น บนตัวของมันปรากฏช่องรูเล็กขึ้น
“ปลาอยากที่จะออกจากรูช่องแล้ว แต่ว่า จะไปทอดแหที่ไหนดีล่ะ? ”
หวางเจ๋อหลับตาลง ผ่านไปมี่กี่วินาที ก็ลืมตาขึ้น และมุมปากก็แสดงรอยยิ้มออกมา
“ภูเขาเย่นต้านที่ซีเป่ย มีสำนักบู๊แท้อยู่ที่นั่น เหอะเหอะ พระเจ้าช่วยข้าจริง ๆ! ”
หนึ่งวันถัดมา ที่ภูเขาเย่นต้าน ในตำหนักของสำนักบู๊แท้
นักพรตอาวุโสในชุดคลุมยาวสีเทา บริเวณทรวงอกมีภาพไทเก็ก ได้มองไปยังหวางเจ๋อที่ยิ้มแย้ม และพูดขึ้นว่า: “คุณชายหวางที่ไม่กลัวระยะทางอันยาวไกล ได้เดินทางมาถึงสำนักบู๊แท้ของข้า ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรเหรอ? ”
ด้านล่างของเขา มีผู้อาวุโสหลายท่านที่อยู่ในชุดคลุมยาวสีเทาเหมือนกัน จ้องมองไปที่หวางเจ๋อ ด้วยสีหน้าท่าทางระมัดระวัง
หวางเจ๋อยิ้มและพูดว่า: “ข้าต้องการที่จะทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับเจ้าสำนักหลี่”
หลี่สุนเฟิงยิ้มและพูดว่า: “ข้อตกลงแลกเปลี่ยนอะไร? ”
“ต้องการที่จะขอยืมใช้ค่ายกลโบราณกาลของเจ้าสำนักหลี่สักหน่อย! ” ในดวงตาทั้งคู่ของหวางเจ๋อ เผยความแวววับขึ้นแวบหนึ่ง
เมื่อหวางเจ๋อพูดจบ หลี่สุนเฟิงรวมถึงผู้อาวุโสหลายท่านเหล่านั้น ต่างก็มีสีหน้าท่าทางที่จริงจังกันทั้งหมด
“คุณชายหวาง เรื่องของค่ายกลนั้น คุณไปรับฟังมาจากที่ไหน? ” หลี่สุนเฟิงยิ้มขึ้นอีกครั้ง
“นั่นคือเรื่องราวที่ไม่เป็นความจริง คุณอย่าได้ไปรับฟังคำเล่าลือต่าง ๆ นา ๆ แล้วก็เชื่อว่ามันเป็นความจริง”
“สำนักบู๊แท้ของพวกเรา ไม่มีค่ายกลโบราณกาลอะไรนั้นอย่างแน่นอน! ”