จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 590 ความกำเริบเสิบสานของคุณชายเหยียน
จากข้อมูลที่ยิ่งตงไหลได้ให้ไว้ หลินหยุนใช้เวลาไปครึ่งวัน ก็มาถึงที่หน้าประตูใหญ่ของหุบเขาเทพยา
แต่ว่า หุบเขาเทพยานี้กับที่หลินหยุนจินตนาการเอาไว้ กลับแตกต่างกันอย่างมาก
ตามที่กล่าวไว้ หุบเขาเทพยาสังกัดภายใต้อิทธิพลของโลกบู๊ ควรจะปลีกตัวอยู่อย่างสันโดษจากโลกมนุษย์ หรืออยู่ภายในป่าเขาที่ลึกลับหรืออุโมงค์ทึบ
ทว่า หุบเขาเทพยากลับอยู่บนพื้นที่หลายสิบเอเคอร์อย่างเปิดเผย โดยได้สร้างคฤหาสน์ขึ้นที่ปลายเขา
นี่ไม่ใช่ปลีกตัวออกจากโลกมนุษย์ แต่นี่คือการอาศัยอยู่ในโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิง
ประตูใหญ่ของหุบเขาเทพยาสวยงามตระการตา ลอกเลียนแบบสิ่งก่อสร้างพระราชวังในสมัยโบราณ คล้ายคลึงกับถนนหงส์แดงในสมัยราชวงศ์ถัง
ด้านบนยอดของประตูใหญ่ แกะสลักตัวอักษรคำว่าหุบเขาเทพยาสีทองที่มีความทรงพลัง สง่างดงาม เรียบง่ายและมีอำนาจ
หน้าประตูมียามรักษาความปลอดภัยยืนเฝ้าเวรยาม ต่างอยู่ในชุดทำงาน บุคลิกองอาจห้าวหาญ ใบหน้ามีท่าทางหยิ่งยโส เหมือนกับว่าการได้เฝ้าดูแลประตูใหญ่ของหุบเขาเทพยา เป็นเรื่องที่มีเกียรติและน่าภาคภูมิใจอย่างที่สุด
ด้านหลังของประตูใหญ่ มีรูปปั้นขนาดใหญ่ยืนตระหง่านอยู่
ไม่ทราบว่าเป็นรูปปั้นของใคร แต่อยู่ในชุดโบราณ ในมือถือหม้อสามขา คงน่าจะเป็นปรมาจารย์กลั่นยาท่านใดท่านหนึ่ง หรืออาจจะเป็นผู้ก่อตั้งหุบเขาเทพยา
ด้านหน้าประตูใหญ่ของหุบเขาเทพยา มีคนจำนวนมาก โดยยืนเข้าแถวยาวสองแถว
หลินหยุนไม่รู้ว่าคนเหล่านี้กำลังทำอะไร หรือว่าทั้งหมดมาเพื่อขอยาสมุนไพร?
เวลานี้ หลินหยุนมองเห็นสาวน้อยในชุดเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง เดินตรงมาทางนี้
สาวน้อยอายุไม่มาก คาดว่าคงจะยี่สิบปีต้น ๆ ผมยาว ปกปิดครึ่งใบหน้าจึงทำให้มองเห็นหน้าตาที่ไม่ชัดเจน
เสื้อผ้าของเธอนั้นขาดรุ่งริ่ง แต่ก็ยังถือว่าสะอาดเรียบร้อย โดยเสื้อผ้าที่หยาบและเรียบง่าย ยังมีการถูกเย็บปะอีกหลายแห่งด้วย
สมัยนี้ ไม่ต้องพูดถึงวัยรุ่นอายุยี่สิบปีต้น ๆ ต่อให้เป็นคนชรา ก็น้อยมากที่จะมีคนสวมใส่เสื้อผ้าที่มีการเย็บปะ
สาวน้อยเดินไปยังหน้าประตูหุบเขาเทพยา แล้วคุกเข่าลงที่กำแพง ก้มหน้า โดยไม่พูดไม่จา
มองจากท่วงท่าที่ชำนาญของเธอนั้น รวมไปถึงพื้นซีเมนต์ที่สะอาดบริเวณโดยรอบของตัวเธอ สามารถมองออกได้ว่า คงจะไม่ใช่วันแรกที่เธอมาคุกเข่าที่นี่แล้ว
หลินหยุนมีความแปลกใจ ต่อสาวน้อยคนนี้
เวลานี้ ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีขาวคนหนึ่ง เดินออกมาจากด้านในประตูใหญ่ แล้วตะโกนพูดกับทุกคนที่กำลังเข้าแถวอยู่ว่า: “แยกย้ายได้แล้ว แยกย้ายกันไปได้แล้ว ช่วงนี้สมุนไพรของหุบเขาเทพยาไม่เพียงพอ จึงไม่จำหน่ายให้กับคนภายนอก พวกคุณกลับไปกันเถอะ อย่าได้มาแออัดอยู่ที่นี่อีกเลย! ”
แต่ว่า คำพูดของเขาไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด แถวที่ยาวนั้นไม่มีสักคนที่จะแยกย้ายจากไป
หลินหยุนเดินเข้าไป ยืนต่อแถวด้านหลังแถวหนึ่ง แล้วก็หันไปถามพี่ผู้หญิงคนหนึ่งว่า: “ไม่ใช่พูดว่าไม่จำหน่ายให้กับคนภายนอกไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมทุกคนยังคงยืนต่อแถวกันอยู่อีกล่ะ? ”
พี่ผู้หญิงคนมองไปที่หลินหยุน และพูดว่า: “นายมาจากต่างถิ่นเพื่อมาขอซื้อสมุนไพรล่ะสิ ! ไม่ใช่ว่าหุบเขาเทพยาไม่จำหน่ายยาให้กับคนภายนอก แต่เปลี่ยนวิธีการจำหน่ายในอีกรูปแบบหนึ่ง”
แววตาของหลินหยุนเคลื่อนไหวเล็กน้อย: “เปลี่ยนวิธีการจำหน่ายในอีกรูปแบบหนึ่ง? ”
พี่ผู้หญิงคนนั้นพูดว่า: “ก็คือการแลกเปลี่ยน คุณต้องการที่จะขอซื้อยาอะไร ก็ใช้สิ่งของที่มีราคาเท่าเทียมกันนำไปแลกเปลี่ยนกับหุบเขาเทพยา”
“โดยทั่วไปทุกคนจะนำยาสมุนไพรไปแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะยาสมุนไพรที่หาได้ยาก ได้ยินว่าคนของหุบเขาเทพยา ชอบสิ่งของที่แปลกประหลาดแบบนั้น”
“ข้าได้ยินว่าครั้งก่อนมีคนหนึ่ง ใช้หินก้อนหนึ่ง แลกเปลี่ยนยาทิพย์สามเม็ดของหุบเขาเทพยา”
“ยาทิพย์สามเม็ดของหุบเขาเทพยา โดยที่เม็ดเดียวก็สามารถนำไปขายได้ในราคาหลักล้าน ซึ่งเป็นของล้ำค่าที่มีความต้องการเป็นอย่างมาก”
“ครั้งนี้ฉันเองก็ขึ้นไปบนเขาแล้วเก็บก้อนหินมาหนึ่งก้อน ดังนั้นจึงมาลองเสี่ยงโชคดู”
ขณะที่พูด พี่ผู้หญิงคนนั้นก็ล้วงเอาถุงผ้าออกมาจากกระเป๋า โดยได้เปิดถุงผ้านั้นอย่างระมัดระวัง ปรากฏเป็นหินประหลาดที่มีขนาดใหญ่เท่ากับฝ่ามือ
หลินหยุนมองดูเล็กน้อย หินก้อนนั้นมีสีสันที่แปลกประหลาด รูปทรงก็แปลกประหลาด แต่เป็นเพียงแค่ก้อนหินธรรมดา คาดว่าพี่ผู้หญิงคนนี้คงจะต้องผิดหวัง
แต่ว่า หุบเขาเทพยานี้กำลังทำอะไรอยู่? ไม่แปลกที่ทำให้มีคนจำนวนมากมายืนเข้าแถว ซึ่งดูเหมือนว่ามีคนจำนวนมาก ต่างก็หวังที่จะลองเสี่ยงโชคเพื่อทำการแลกเปลี่ยน โดยที่ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนป่วยที่ต้องการรักษาช่วยชีวิตอย่างแท้จริง
เวลานี้ รถซุปเปอร์คาร์สีขาวที่สง่างามคันหนึ่ง ขับมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากเลี้ยวหักศอกอย่างสวยงาม รถซุปเปอร์คาร์ก็หยุดจอดอยู่ที่ด้านข้างของประตูใหญ่ โดยมีระยะห่างจากสาวน้อยที่คุกเข่านั้นเพียงแค่หนึ่งเมตร
ประตูรถได้เปิดขึ้น ชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าที่ทันสมัย ใบหน้าแฝงไปด้วยความหยิ่งยโส ได้ลงมาจากที่นั่งของคนขับ
และได้ใช้เท้าเตะไปยังร่างของสาวน้อยคนนั้น
“ขอทานมาจากที่ไหน ถึงกล้ามาขัดขวางทางของข้า! ” ชายหนุ่มดุด่ายกใหญ่ จากนั้นก็ใช้เท้าเตะเข้าใส่ร่างของสาวน้อย ทำให้สาวน้อยล้มลงไปกองกับพื้น
ผู้คนโดยรอบมีความโกรธแค้นขึ้น เป็นเขาเองที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ เตะเข้าไปที่สาวน้อยคนนั้น แล้วกลับไปโทษว่าสาวน้อยขัดขวางทางเดินของเขา
มีอย่างที่ไหนกัน!
แต่ แม้ว่าทุกคนจะไม่ชอบการกระทำของชายหนุ่ม แต่กลับไม่มีใครที่จะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสาวน้อยคนนั้น
สาวน้อยถูกเตะลงไปกองกับพื้น โดยที่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ก้มหน้าแล้วก็ขยับตัว เปลี่ยนไปยังที่ใหม่แล้วก็คุกเข่าลงอีกครั้ง
“ยังจะไม่รีบไสหัวไปอีก! ”
สาวน้อยไม่ได้ตอบโต้ แต่ชายหนุ่มนั้นก็ไม่คิดที่จะปล่อยเธอไป เดินขึ้นไปข้างหน้า แล้วก็เตะเข้าใส่สาวน้อยอีกครั้ง
ถ้าหากโดนเตะเข้าในครั้งนี้ ร่างกายที่บอบบางของสาวน้อยนั้น เกรงว่ากระดูกคงจะหักไปหลายท่อน
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หลินหยุนแวบหายตัวไป ยืนขวางอยู่ด้านหน้าของสาวน้อย
เท้าของชายหนุ่ม เตะเข้าใส่ร่างของหลินหยุน แต่ว่ายังไม่ทันได้ถูกร่างกายของหลินหยุน โดยได้เตะเข้าไปที่เกราะปกป้องที่รวบรวมขึ้นโดยพลังทิพย์ของหลินหยุน
“โอ้ย! ”
ชายหนุ่มร้องเสียงดัง โอบกอดเท้าของตนเอง แล้วก็นั่งลงไปที่พื้น
“เท้าของข้า เท้าของข้าหักแล้ว! ”
“คุณชายเหยียน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม! ”
ด้านหลังของรถซุปเปอร์คาร์ยังมีรถออดี้สีดำคันหนึ่งขับตามมา โดยมีชายหนุ่มสี่คนลงมาจากรถ ซึ่งน่าจะเป็นบอดี้การ์ดของชายหนุ่มคนนี้
ผู้ที่ออกจากบ้านแล้วมีบอดี้การ์ดติดตามมากขนาดนี้ คงจะไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่
พวกบอดี้การ์ดรีบวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังด้านหน้าของชายหนุ่ม และถามขึ้นอย่างเป็นกังวล
เท้าของข้าหัก หักแล้ว เจ็บปวดมาก รีบไปหาลุงของข้าในหุบเขาเทพยา ให้เขาออกมาดูให้ข้าหน่อย! ” ชายหนุ่มตะโกนร้องเสียงดัง
“รับทราบ! ”
บอดี้การ์ดคนหนึ่งรีบวิ่งไปที่ประตูใหญ่ของหุบเขาเทพยาในทันที
หลินหยุนปกป้องสาวน้อยคนนั้น โดยมองไปที่คุณชายเหยียนอย่างเย็นชา
คุณชายเหยียนก็มองไปที่เขา ทันใดนั้น ก็ดุด่าขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่โหดร้าย: “ไอ้เดรัจฉาน แกผุดออกมาจากที่ไหน! และกล้าดีที่จะทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บ หากไม่ทุบขาของแกให้หัก คงยากที่จะลบล้างความแค้นในใจของข้าได้! ”
“พวกนายสองคน เข้าไปจัดการทุบขาของเขาให้หักเดี๋ยวนี้! ”
ชายหนุ่มกำเริบเสิบสานอย่างที่สุด ในช่วงกลางวันแสก ๆ กล้าถึงขนาดโวยวายทุบขาคนให้หัก
บอดี้การ์ดสองคนนั้น เชื่อฟังอย่างมาก โดยมองไปที่หลินหยุนด้วยเจตนาร้าย แล้วก็เดินเข้าไปหา
ชัดเจนว่า เรื่องแบบนี้ พวกเขาทำมาไม่น้อย
ดูเหมือนว่า ชายหนุ่มนี้ไม่ได้กำเริบเสิบสานธรรมดา
“ไอ้หนุ่มน้อย จะให้พวกข้าลงมือ หรือว่านายเป็นคนลงมือเอง? ” บอดี้การ์ดคนหนึ่งพูดเยาะเย้ยด้วยความโหดร้ายใส่หลินหยุน
สาวน้อยคนนั้นที่อยู่ด้านหลังของหลินหยุน พลันยืนขึ้น แล้วก็ทำการคารวะบอดี้การ์ดสองคนนั้นไม่หยุด พร้อมกับส่งเสียงโอ้โอ้ออกมา
ชัดเจนว่า เธอกำลังอ้อนวอนขอร้องบอดี้การ์ดสองคนนั้น
“ฮ่าฮ่า ที่จริงแล้วเป็นคนใบ้! ” บอดี้การ์ดสองคนนั้นยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยาม
หลินหยุนมองไปที่สองคนนั้น พูดเบา ๆ ออกมาคำหนึ่งว่า: “ไปให้พ้น! ”
บอดี้การ์ดสองคนพลันรู้สึกถึงลมหายใจที่น่ากลัว กำลังปกคลุมพวกเขาอยู่ โดยที่วิญญาณของพวกเขากำลังสั่นไหว
ทั้งสองคนราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น หยาดเหงื่อไหลท่วมแผ่นหลังในทันที
“ลุยเข้าไปสิ! พวกแกไอ้ขี้ขลาดทั้งสอง! ” คุณชายเหยียนดุด่าขึ้น
สองคนอยากที่จะถอยร่น แต่ติดอยู่ที่ความกดดันจากคุณชายเหยียน พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะถอยร่น
มองไปยังสองคนที่ยังคงยืนหยัด หลินหยุนส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา ความน่าเกรงขามเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ฟุบ!
ทั้งสองคนคุกเข่าด้านหน้าของหลินหยุน ตัวสั่นไปหมด
“พวกนายกำลังทำอะไร? ลุกขึ้น ข้าสั่งให้พวกนายทุบขาของเขาให้หัก! ” คุณชายเหยียนดุด่าขึ้นด้วยความโมโห บอดี้การ์ดที่เขาจ่ายเงินไปเพื่อเชิญมานั้น คิดไม่ถึงว่าจะคุกเข่าต่อหน้าศัตรูของเขาแบบนี้!
แล้วแบบนี้คุณชายเหยียนจะทนรับความเจ็บปวดได้อย่างไรกัน!
แต่ว่า เมื่อชีวิตถูกการคุกคามอย่างหนักหน่วง บอดี้การ์ดทั้งสองคนจะยังดูแลปกป้องคุณชาย เหยียนได้อีกเหรอ?
ปกป้องชีวิตของตนเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!