จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 591 มีเขาอยู่ มันก็คือบ้านที่ทำให้จิตใจสงบ”
ยังเหลือบอดี้การด์หนึ่งคน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติ ก็กระซิบที่หูของคุณชายเหยียน “คุณชายเหยียน รู้สึกผิดปกติ! จังเหมิ่งกับหลี่หย่งปกติก็ไม่ใช่คนใจเสาะ ทำไมประพฤติตัวได้แย่ขนาดนี้?”
คุณชายเหยียนนิ่งสงบ โดยย้อนคิดได้ว่าเมื่อสักครู่เขาได้เตะผู้หญิงคนนั้น แต่ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าหลินหยุนโผล่มาจากไหน
ในเวลานั้นคุณชายเหยียนไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้มาคิด ความเร็วของหลินหยุนนั้นว่องไวแค่ไหน! ชั่วขณะก็สามารถยืนอยู่ต่อหน้าหญิงสาว
คุณชายเหยียนลืมความเจ็บปวดที่ขาชั่วคราว และพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายหมายความว่า พวกเราได้พบกับนักบู๊เหรอ?”
“อืม” บอดี้การ์ดพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
เพียงแต่ว่า คุณชายเหยียนไม่กลัว ลุงของเขาเป็นพ่อบ้านของหุบเขาเทพยา และเป็นนักบู๊ท่านหนึ่ง
แม้ว่าคุณชายเหยียนเป็นเพียงคนธรรมดา แต่มีลุงเป็นพ่อบ้านหุบเขาเทพยา เขาเลยไม่ค่อยนับถือและเกรงกลัวนักบู๊
คุณชายเหยียนมองไปที่หลินหยุน ยิ้มเยาะเย้ยและพูดว่า “ไอ้หนุ่ม นายเป็นนักบู๊ใช่ไหม!”
แม้ว่าจะเป็นการถาม แต่คุณเหยียนก็ใช้น้ำเสียงที่ยืนยัน
“ไสหัวออกไป!” หลินหยุนตอบเขาคำนี้
สีหน้าคุณชายเหยียนเปลี่ยนไป มีใบหน้าที่เคร่งเครียดมาก “ไอ้หนุ่มยังไม่เคยมีใครกล้าพูดคำนี้กับฉัน! ฉันเป็นคุณชายตระกูลเหยียน ลุงของฉันเป็นพ่อบ้านหุบเขาเทพยา นายกล้าบอกให้ฉันไสหัวไป ชาตินี้อย่าคิดแม้แต่จะเข้าไปในหุบเขาเทพยา!”
หลินหยุนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และเหลือบมองคุณชายเหยียน ชั่วขณะ คุณชายก็ใจสั่น ราวกับว่าถูกสัตว์ยักษ์โบราณกำลังจ้องมอง
มีความรู้สึกขนลุกไปทั่วร่างกาย
“นาย นายมองอะไร!” คุณชายเหยียนตกใจจนก้าวถอยหลัง จนลืมความเจ็บปวดที่ขา
บอดี้การ์ดคนนั้นกระซิบข้างหูคุณชายเหยียน “คุณชายเหยียน คนฉลาดไม่ต้องไปเสียเปรียบใคร! ถ้าเขาเป็นนักบู๊ พวกเราทุกคนไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา ถอยกลับไปก่อนดีกว่า! แล้วค่อยไปวางแผนระยะยาวกันใหม่”
“โอเค ถอยกลับ!” คุณชายเหยียนต้องเห็นด้วยแน่นอน เห็นสายตาของหลินหยุนเมื่อกี้ ก็ตกใจจนเกือบจะฉี่ใส่กางเกงแล้ว
เมื่อเห็นคุณชายเหยียนพาบอดี้การ์ดหลายคนกลับไป หลินหยุนก็หันกลับมามองหญิงสาวคนนั้น
ในขณะนี้ หญิงสาวเงยหน้าขึ้น ในที่สุดหลินหยุนก็เห็นใบหน้าของเธออย่างชัดเจน
“ช่างเป็นผู้หญิงที่สวยจริงๆ!” หลินหยุนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
จากประสบการณ์ของหลินหยุน สาวงามแบบไหนที่หลินหยุนยังไม่เคยเห็นล่ะ? แม้ว่าจะเป็นเทพธิดาเซียนธิดาศักดิ์สิทธิ์ หลินหยุนก็เคยเห็นมาเยอะแยะ และยังเคยฆ่าด้วยมือตัวเอง
เพียงแต่ว่า ขณะที่เห็นผู้หญิงคนนี้ หลินหยุนก็อดไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อย
เธอแค่สวมเสื้อเชิ้ตผ้าเนื้อหยาบๆ มีรอยปะ และไม่แต่งหน้าเลย หน้าสด
อย่างไรก็ตาม ถึงกระนั้น ความงามของเธอก็ทำให้หลินหยุนตกตะลึง
ไม่พูดก็รู้ว่า ความงามของเธอ อยู่ในขั้นไหน!
“ทำไมคุณถึงคุกเข่าที่นี่” หลินหยุนถามเบาๆ
หญิงสาวส่ายหัว ชี้ไปที่ปากตัวเอง แล้วชี้ไปที่หูตัวเอง
ส่งสัญญาณว่าเธอไม่ได้ยิน และพูดไม่ได้
“ที่แท้ก็เป็นหญิงสาวที่ใบ้และหูหนวก!” ในใจหลินหยุนมีร่องรอยของความรู้สึกเสียดายและเสียใจ
“ว่ากันว่าในชีวิตคนเราได้สูญเสียของสิ่งหนึ่งไป และก็จะได้ของอีกสิ่งหนึ่งกลับคืนมา”
“สวรรค์ให้เธอเป็นใบ้และหูหนวก ดังนั้นจึงมอบใบหน้าที่งดงามจนไม่มีใครเทียบได้ให้กับเธอ!”
เพียงแต่ว่า หลินหยุนมีวิธีสื่อสารกับเธอ
เสียงหนึ่งแวบเข้าไปในสมองของหญิงสาวโดยตรง
“ทำไมคุณถึงมาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ล่ะ”
ใบหน้าของหญิงสาวมีความรู้สึกตกใจ แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เธอหยิบชอล์กออกจากกระเป๋าของเธอ แล้วเขียนลงบนพื้นให้หลินหยุนดู
“ฉันมาขอยา เพื่อช่วยสามีของฉัน”
หลินหยุนมองดูเธอ และพบว่าเธอมีคิ้วและดวงตาที่สวยงาม และเห็นได้ชัดว่าเธอยังบริสุทธิ์ ไม่เหมือนผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเลย
เพียงแต่ว่า หลินหยุนไม่ใช่คนชอบซุบซิบนินทาคน และส่งสัญญาณเสียงกลับไป “สามีของคุณเป็นอะไร?”
หญิงสาวเขียนต่อ “เรื่องมันยาว เขามีปัญหาทางจิต”
ปัญหาทางจิต เกรงว่าหุบเขาเทพยาก็คงช่วยอะไรไม่ได้
หลินหยุนมีใจที่จะช่วยผู้หญิงคนนี้
“พอดีฉันมีความรู้เกี่ยวกับอาการป่วยทางจิต ดังนั้นให้ฉันรักษาสามีของคุณ”
หญิงสาวรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่ว่า ไม่นาน เธอก็ตัดสินใจ
“เชิญตามฉันมา!” หญิงสาวเขียนลงบนพื้น
หญิงสาวได้ลบคำทั้งหมดบนพื้น แต่ว่า รอยชอล์กที่เขียนไว้บนพื้นคอนกรีตนั้น มันไม่ได้ลบง่ายๆ
หลินหยุนสบัดมือ รอยตัวหนังสือทั้งหมดก็หายไป
หญิงสาวสะดุ้ง และแววตาที่มองหลินหยุนมีความยินดีและประหลาดใจ
หลินหยุนรู้ว่า เธอมีความสุขแทนสามีเธอที่ได้พบกับยอดฝีมือ
หลินหยุนตามหญิงสาว ไปที่บ้านพักชาวบ้าน
เป็นบ้านพักชาวบ้านที่เรียบง่าย มีบ้านดินเพียงหลังเดียว ห้องครัวและห้องน้ำไม่มีเลย
ตรงมุมตรงข้ามบ้านดิน มีชั้นวางเก่าๆที่ทำจากไม้ ด้านบนได้วางอุปกรณ์ทำกับข้าว
หญิงสาวหยิบกุญแจออกมา เปิดประตูไม้เก่าๆ
บ้านหลังนี้มีขนาดเล็กมาก มีผนังสีขาวและสีเทาทรงโบราณ มีเตียงขนาดเล็กวางอยู่ซึ่งใช้พื้นที่หนึ่งในสามของบ้าน
มีเก้าอี้ไม้เก่าๆอยู่ข้างใน ไม่มีของอย่างอื่น
เพียงแต่ว่า ภายในบ้านสะอาดมาก จากโปสเตอร์ที่ติดไว้บนหัวเตียงอย่างประณีต จะเห็นได้ว่าเจ้าของได้ตั้งใจตกแต่งเป็นพิเศษ
บนเตียง มีชายหนุ่มนอนอยู่ แต่งตัวดูดี ใบหน้าและผมดูสะอาดสะอ้าน และหล่อเหลา
เพียงแต่ว่า มือและเท้าของเขาถูกมัดด้วยเชือกอ่อน
หญิงสาวก้าวไปข้างหน้า และแก้เชือกให้ชายหนุ่ม ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่ง เหมือนทำตัวไม่ถูกแล้วมองไปที่หลินหยุน สีหน้าตื่นตระหนก โดยไม่รู้ตัว ได้ไปพิงข้างกายหญิงสาว
หญิงสาวจับศีรษะของเขา และตบหลังเขาเบาๆ ในไม่ช้า ความหวาดกลัวบนใบหน้าของชายหนุ่มก็หายไป และมีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้น
หญิงสาวชี้ไปที่เก้าอี้ไม้ที่ชำรุดซึ่งมีเพียงตัวเดียวในห้อง และยิ้มให้หลินหยุน
หลินหยุนรู้ว่า เธอกำลังบอกให้ตัวเองนั่งลง ในเวลาเดียวกัน เธอก็คงรู้สึกละอายใจที่บ้านของตัวเองเก่าทรุดโทรมขนาดนี้
ขณะนี้หลินหยุนเต็มไปด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับชายหญิงคู่นี้
ด้วยรูปลักษณ์ของหญิงสาว แม้ว่าเธอจะหูหนวกและเป็นใบ้ แต่ถ้าเธออยากหาผู้ชายที่ร่ำรวย ก็เป็นเรื่องง่าย
แต่ว่า เพราะแรงบันดาลอะไรทำให้เธอยังอยู่เฝ้าคนโง่เขลาเช่นนี้ และไม่ยอมละทิ้งไปไหน? และยังคุกเข่าที่ประตูหุบเขาเทพยา เพื่อขอยาให้กับเขา!
มันคือความรักหรือ? หลินหยุนไม่เชื่อ
หญิงสาวหยิบกระดาษกับดินสอแท่งหนึ่ง
ในห้องไม่มีโต๊ะ เธอจึงคุกเข่าบนหัวเตียง แล้วคว่ำอยู่บนเตียงเพื่อเขียนบอกหลินหยุน
หญิงสาวเขียนอยู่นานมาก ก่อนจะยื่นกระดาษขาวให้หลินหยุน
ขณะที่หญิงสาวกำลังเขียน หลินหยุนรออย่างเงียบๆ เฝ้าดูเธอเขียนอย่างจริงจัง เล่าเรื่องราวระหว่างเธอกับเขา
หลินหยุนหยิบกระดาษขาวมา ซึ่งเขียนข้อความเต็มไปหมด ตัวหนังสือสวยมาก เรียบร้อย และยังเป็นตัวพิมพ์เล็ก
“หาหมอมาสามปี ใช้เงินเก็บจนหมด แม้ห้องจะเล็ก มีเขาอยู่ มันก็คือบ้านที่ทำให้จิตใจสงบ”
นี่คือจุดเริ่มต้น คำง่ายๆสองสามคำ ทำให้สถานการณ์ปัจจุบันและความรักของพวกเขา แสดงออกมาอย่างชัดเจน
“แม้ห้องจะเล็ก แต่มีเขาอยู่ มันคือบ้านที่ทำให้จิตใจสงบ”
จู่ๆหลินหยุนก็นึกขึ้นได้ตอนที่เขาเพิ่งไปจากโลก เมื่อตอนที่เขาฝึกฝนอยู่ในสำนักต้าเต๋า ในเวลานั้น เขารู้สึกโดดเดี่ยว ลังเลใจไม่รู้จะไปทางไหน
ต่อมา เขาได้เจอเย่เยว่ และเย่เยว่กล่าวคำหนึ่ง
“ตรงที่ทำให้เราจิตใจสงบ มันก็เป็นบ้านเกิดของเรา!”
เป็นสาวที่ฉลาดหลักแหลมมาก
หลินหยุนยังคงอ่านต่อไป ช่วงต่อไปเขียนว่า
“ฉันรู้จักกับเขาที่โรงงานแห่งหนึ่ง เขาเป็นนักศึกษาวิทยาลัย เป็นช่างเทคนิคในโรงงาน และฉันเป็นเพียงเด็กสาวชนบทที่มารับจ้าง”
“เขาชอบพูดหยอกล้อกับฉันบ่อยๆ บอกว่าชอบฉัน ต้องพูดวันละครั้งตลอดทั้งปี มีบางครั้ง เรื่องหยอกล้อพูดกันนานไป แม้แต่ตัวเองก็เอาจริงเอาจัง”
“ฉันปฏิเสธมาตลอด แต่ว่า ฉันรู้ตัวว่าชอบเขา เวลาฝึกงานของเขาหมด จะกลับบ้านแล้ว ที่หน้าประตูโรงงาน ฉันไปส่งเขา จากนั้น เขาก็บอกว่าเขาชอบฉันเป็นครั้งสุดท้าย และขอให้ฉันเป็นแฟนของเขา ยังบอกว่าเขาอยากแต่งงานกับฉัน ในอนาคตฉันจะได้ไม่ต้องลำบากอีก”