จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 601 ค่ายกลกระบี่ชิงมู่
ผู้อาวุโสสามอยู่ข้างๆเพื่อเตรียมตัวที่จะเคลื่อนไหวตั้งแต่แรกแล้ว พอได้ยินคำสั่งของโม่ซิวอู่ ก็แอบเตรียมตัวปล่อยท่าไม้ตายที่รุนแรงออกมา
“กรงเล็บเงามืด!”
มือข้างหนึ่งของผู้อาวุโสสาม ได้กลายเป็นสีดำสนิท ในความมืดมิดนั้น ก็มีแสงแวววาวราวกับเป็นของโลหะ
พอดูแล้ว ทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
ทั้งสองปล่อยออกไปด้วยพลังทั้งหมดที่ตัวเองมี ทุกกระบวนท่าที่ใช้ก็เป็นท่าที่รุนแรงที่สุดของตัวเอง
ต่อให้จะเป็นคนที่บรรลุถึงขั้นปรมาจารย์ใหญ่ขั้นสูงสุด ก็ไม่กล้าประมาท
แต่ว่า สีหน้าของหลินหยุนก็ยังคงเป็นใบหน้าที่นิ่งเงียบเหมือนเดิม ยืนรออยู่ที่เดิมอยู่เงียบๆ
รอจนการโจมตีของทั้งสองคนเข้าใกล้ระยะสามเมตรของร่างตัวเอง ถึงได้สวนกลับไปหนึ่งฝ่ามือ
บูม!
ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีเปลวเพลิงของโม่ซิวอู่ หรือร่างกายของผู้อาวุโสสามที่ปกคลุมด้วยหมอกสีดำ ก็โดนการโจมตีที่รุนแรงซัดปลิวออกไป
“ผัวะ!”
ทั้งสองกระอักเลือดออกมาพร้อมกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง!”
“ความแข็งแกร่งของเขา ไปถึงแดนไหนแล้วกันแน่?”
โม่ซิวอู่และผู้อาวุโสสามยืนอยู่หน้าประตูตึก ต่างก็จ้องมองซึ่งกันและกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสั่นไหว
หลินหยุนหันไปมองทั้งสองคนที่อยู่หลังตึก แล้วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ยังไม่ออกมาอีก? หรือต้องการให้ข้าสังหารเจ้าสองคนนี้ก่อน เจ้าถึงจะยอมออกมา”
ออร่าที่แข็งแกร่ง ในที่สุดก็เผยออกมาจากตึกนั้น ก็เหมือนกับเมฆสีดำ ที่เข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ จนท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ
ยังไม่ทันได้เห็นร่างของคน ก็มีเสียงของชายชราดังออกมาก่อนแล้ว “เจ้าหนุ่ม มารบกวนการฝึกฝนของข้า เจ้าสมควรตาย!”
ซวบ!
ประตูไม้ของตึก ถูกทำลายด้วยพลังที่แข็งแกร่ง
ร่างที่ผอมแห้งราวกับเป็นฟืนไม้ ชายชราที่ผมขาวทั้งหัว เดินโค้งตัว ออกมาจากห้องห้องนั้น
ใบหน้าของชายชราแห้งเหี่ยวราวกับเป็นเปลือกของต้นไม้ มีดวงตาคล้ายกับงู จ้องมองหลินหยุน แล้วปล่อยจิตสังหารออกมา
“ท่านเหล่าจู่!” โม่ซิวอู่และผู้อาวุโสสาม โค้งตัวทำความเคารพพร้อมกัน
“พวกไร้ประโชยน์!” เหล่าจู่ของตระกูลโม่ตะโกนด้วยเสียงเย็นชา
ทันใดนั้น โม่ซิวอู่และผู้อาวุโสสาม ใบหน้าชราของพวกเขาก็แดงก่ำ
พวกเขาล้วนเป็นหัวหน้าของหุบเขาเทพยา ตอนนี้กลับโดนเหล่าจู่ของตระกูลโม่ตำหนิราวกับเป็นเด็กน้อย แทบยังโดนตำหนิต่อหน้าหลินหยุน ใบหน้าชราของพวกเขารับเรื่องแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ
แต่ว่า พออยู่ต่อหน้าเหล่าจู่ของตระกูลโม่ พวกเขาก็ไม่กล้าส่งเสียงคัดค้านแม้แต่น้อย
เหล่าจู่คนนี้ ตอนนี้มีอายุได้สองร้อยปีแล้ว เขาค่อยปกป้องผู้สืบทอดของหุบเขาเทพยามาโดยตลอด มีอยู่สองครั้งที่หุบเขาเทพยาต้องเผชิญการวิกฤตที่อันตรายถึงขีดสุด ล้วนเป็นเพราะความช่วยเหลือจากเหล่าจู่คนนี้ ถึงทำให้หุบเขาเทพยาได้มีผู้สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
พอพูดแบบนี้ เขาก็เป็นผู้อาวุโสมากกว่าโล่อู๋จี๋และเยนหนานเทียนสักอีก
หลินหยุนจ้องมองชายชราอัปลักษณ์คนนี้ ใบหน้ายังคงนิ่งเงียบราวกับสายน้ำที่นิ่งสงบ “เจ้าใช้อายุขัยของตัวเองจนหมดแล้ว ถ้าเกิดไม่ออกมา ยังสามารถมีชีวิตได้อีกหลายปี ตอนนี้พอเจ้าออกมา อย่างมากเจ้าก็มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หนึ่งปี”
พอโม่ซิวอู่และผู้อาวุโสสามได้ยินประโยคนี้ ต่างก็แสดงความตกใจออกมา “ท่านเหล่าจู่กำลังจะสิ้นอายุขัยแล้วงั้นเหรอ?”
ถึงแม้จะมีการเตรียมใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่โม่ซิวอู่ก็ยังตกใจอยู่ดี
ก็เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่พึ่งพิงมาโดยตลอด จู่ๆก็มีคนมาบอกว่ามันตายแล้ว
ทันๆที่รู้อยู่แล้วว่าอายุขัยเหล่าจู่ของตระกูลโม่ ล่วงเลยขีดจำกัดของมนุษย์มานานแล้ว สามารถหมดลมหายใจได้ตลอดเวลา
แต่ว่า พอถึงเวลาที่ได้ยินเรื่องนี้เข้าจริงๆ โม่ซิวอู่ก็ยังทำใจรับเรื่องนี้ได้ยากอยู่ดี
ต้องรู้ก่อนว่า ในสายตาเหล่าจู่ของตระกูลโม่ โม่ซิวอู่ก็เหมือนกับเด็กที่ยังไม่โต
เหล่าจู่ของตระกูลโม่จ้องมองหลินหยุนด้วยสายตามัวหมอง แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ต่อให้ข้าจะมีชีวิตได้อีกแค่หนึ่งชั่วยาม ก็เพียงพอที่จะแยกชิ้นส่วนเจ้าเป็นหมื่นๆชิ้นได้สบายๆ”
หลินหยุนค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา แล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆว่า “เจ้าก็ลองทำดูสิ”
เหล่าจู่ของตระกูลโม่หันไปตะโกนเสียงเย็นชากับโม่ซิวอู่และผู้อาวุโสสามที่อยู่ข้างหลังว่า “ต่อจากนี้ พวกเจ้าดูให้ดีๆล่ะ”
พอพูดจบ เหล่าจู่ของตระกูลโม่ก็หันกลับมา จ้องมองหลินหยุน “ตอนข้ายังหนุ่มข้าได้เรียนรู้วิชาหายใจแบบเต่า ทำให้มีชีวิตยืนยาวมาจนถึงตอนนี้ ปิดตัวฝึกฝนมานานขนาดนี้ ถึงแม้จะยังไปไม่ถึงแดนระดับตำนานที่เหล่านักบู๊เล่าขานกัน แต่ก็คงอีกไม่ไกลแล้ว!”
“ข้าได้ฝึกฝนเคล็ดลับชิงมู่ จงไปถึงขั้นใกล้จะสำเร็จ หลายปีมานี้ที่ข้าปิดตัวฝึกฝน จนตรัสรู้คุณธรรมศีลธรรม ทำให้เกิดเป็นค่ายกลกระบี่ชิงมู่ จิตกระบี่ชิงมู่”
“แต่น่าเสียดาย ทั้งชั่วชีวิตของข้า แทบจะไม่เคยออกจากตึกแห่งนี้ ต่อให้ข้าตายก็คงไม่สามารถแสดงกระบวนท่าไม้ตายนี้ที่ข้าคิดค้นออกมาได้ แต่ว่า โชคยังดีที่เจ้ามาที่นี่”
พอพูดจบประโยค เหล่าจู่ของตระกูลโม่ที่ตัวโค้งอยู่ ก็ทำมือเป็นดรรชนีกระบี่ แล้วชี้ไปที่ท้องฟ้า
หลินหยุนสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน ต้นไม้รอบๆที่สูงจนเกือบจะปกคลุมท้องฟ้า ก็สั่นไหวไปมา ชี่ทิพย์จากฟ้าดินที่ทรงพลัง ไปรวมตัวอยู่รอบๆเหล่าจู่ของตระกูลโม่
“เจ้าหนุ่ม เจ้าลองรับค่ายกลกระบี่ชิงมู่ของข้าดูหน่อย!”
พอมือเหล่าจู่ของตระกูลโม่ประสานกัน เหล่าชี่ทิพย์จากฟ้าดินที่อยู่รอบๆตัวเขา ก็รวมตัวกันจนกลายเป็นกระบี่ชี่จำนวนมาก
ค่อยๆปรากฏออกมาเป็นรูปร่างของกระบี่อย่างชัดเจน
กระบี่ชี่นับไม่ถ้วน เรียงกันจนกลายเป็นตาข่ายยักษ์ ล่องลอยอยู่กลางอากาศ
“ไป!”
เหล่าจู่ของตระกูลโม่ไม่พูดให้มากความ สั่งการค่ายกลกระบี่ ให้จู่โจมหลินหยุนทันที
กระบี่ชี่นับไม่ถ้วน ราวกับเป็นงูพิษที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จู่โจมมาจากทั่วทุกทิศทาง ทุกๆมุม เพื่อโจมตีใส่หลินหยุน
โม่ซิวอู่และผู้อาวุโสสามต่างก็มองตาค้าง
“นึกไม่ถึงจริงๆ ระดับการบำเพ็ญบู๊ของท่านเหล่าจู่ จะมาถึงขั้นนี้แล้ว!”
“มันช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์จริงๆ!”
พวกเขาไม่เคยนึกมาก่อนว่า ระดับการบำเพ็ญบู๊ จะสามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
แม้กระทั่ง การโจมตีแบบนี้ ก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
จ้องมองเงาของกระบี่นับไม่ถ้วนที่อยู่บนท้องฟ้า แววตาของหลินหยุนขยับเล็กน้อย “ไม่เลว ถึงขั้นสามารถรับรู้ส่วนหนึ่งของวิถีต้าเต๋าได้ ในหมู่นักบู๊ คงมีแค่ไม่กี่คนที่พอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้”
มีแสงสีทองออกมาจากร่างของหลินหยุน แล้วปกคลุมหลินหยุนและเสี่ยวจุยในรัศมีสามเมตร
เงาของกระบี่นับไม่ถ้วนกระแทกเข้ากับแสงสีทองนั้น จนเกิดเสียงบูมๆดังขึ้น ราวกับเป็นเสียงของก้อนหินที่ร่วงใส่แม่น้ำ
สายตาเหล่าจู่ของตระกูลโม่เหล่ลงเล็กน้อย “ชี่ทิพย์ป้องกันกาย!”
“เฮิง ข้าไม่เชื่อว่า ชี่ทิพย์ป้องกันกายของเจ้าจะสามารถต้านค่ายกลกระบี่ชิงมู่ของข้าได้!”
เหล่าจู่ของตระกูลโม่กระโดดขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว ร่างกายส่องแสงสีฟ้าออกมา ทำมือเป็นดรรชนีกระบี่ แล้วตะโกนใส่หลินหยุน “พลิก!”
ทันใดนั้น กระบี่ชี่นับไม่ถ้วนที่โจมตีใส่หลินหยุนด้วยความยุ่งเหยิง ที่เหมือนกับกระแสน้ำนับไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นหลังฝนตก พอได้รับการควบคุมจากเหล่าจู่ของตระกูลโม่ ก็รวมตัวกันจนกลายเป็นแม่น้ำ
แม่น้ำแห่งชี่กระบี่ ราวกับเป็นการร่วงหล่นของดาราจักรโจมตีใส่แสงสีทองที่ปกคลุมร่างของหลินหยุนเอาไว้
ปึ่งปึ่งปึ่งปึ่ง!
ครั้งนี้ แม่น้ำแห่งชี่กระบี่ที่โจมตีใส่ค่ายคุ้มกายของหลินหยุน จนเกิดเสียงไพเราะเพราะพริ้ง
เสี่ยวจุยที่ยืนอยู่ข้างหลังของหลินหยุน จ้องมองภาพที่อยู่ตรงหน้า ราวกับอยู่ในความฝัน
เธอใช้ชีวิตในฐานะคนธรรมดาของสังคมมาโดยตลอด ไม่เคยเห็นภาพที่แปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน
สีหน้าของหลินหยุนยังคงนิ่งเรียบ มือทั้งสองไขว้อยู่ข้างหลัง ยืนอยู่ตรงกลางของค่ายคุ้มกาย จากนั้นก็ค่อยๆเงยหน้ามองเหล่าจู่ของตระกูลโม่
เห็นได้ชัดว่าเหล่าจู่ของตระกูลโม่เสียแรงไปไม่น้อย ยังคงใช้ค่ายกลกระบี่ เพื่อโจมตีหลินหยุน
“เจ้าหนุ่ม หรือว่าเจ้าเป็นได้แค่เต่าที่เอาแต่มุดหัวอยู่ในกระดองไม่ยอมออกมางั้นเหรอ?”
พอเห็นว่าไม่สามารถทำลายการป้องกันของหลินหยุนลงได้ เหล่าจู่ของตระกูลโม่ก็เริ่มพูดจาดูถูกหลินหยุน
หลินหยุนส่งเสียงเฮิงด้วยความเย็นชา เสียงที่เรียบสงบค่อยๆดังขึ้นมา “ท่าห้ามสิ่งวายชนม์!”
มือทั้งสองข้างของหลินหยุนเปิดและปิดมือ ใส่ท้องฟ้าที่ว่างเปล่า
ทันใดนั้น กระบี่ชี่ที่อยู่รอบๆ ต่างก็ถูกหยุดอยู่กลางอากาศ
ใบหน้าเหล่าจู่ของตระกูลโม่ขาวซีด จู่ๆก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า เดินถอยหลังไปหลายก้าว กว่าจะคงร่างเอาไว้ได้
“นี่มันวิชาอะไรกัน? ถึงขั้นสามารถหยุดชี่ทิพย์จากฟ้าดินได้!” เหล่าจู่ของตระกูลโม่จ้องมองหลินหยุนด้วยใบหน้าตื่นตกใจ
เหล่าจู่ของตระกูลโม่ทำหน้าจริงจัง “ไม่ได้ออกมาโลกภายนอกมาตั้งนาน นึกไม่ถึงว่าโลกภายนอกจะมีเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ด้วย!”
“เจ้าหนุ่ม ลองรับกระบี่ของข้าอีกสักรอบ!”
“จิตกระบี่ชิงมู่!