จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 629 พลังอานุภาพแห่งเวทมนตร์
หญิงสาวคนนั้นที่อยู่บนต้นไม้ ยิ้มเยาะ: “จบกันเพียงเท่านี้แล้วเหรอ? ปรมาจารย์ประสาอะไรกัน ก็แค่เด็กหนุ่มที่ไม่ได้เรื่องได้ราว ยังกล้าจะเรียกขานกันว่าปรมาจารย์อีก! ”
“ท่านหงคงน่าจะเล่นสนุกกับพวกเราทั้งสองเป็นแน่ พลังความสามารถเพียงเท่านี้ เกรงว่าเพิ่งจะบรรลุถึงระดับขั้นพรแสวงเท่านั้น! ”
ชายหนุ่มกลับพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า: “ดูกันต่อไป จะมาสรุปผลในตอนนี้ มันยังเร็วเกินไป! ”
กลางพื้นที่ประลอง แม้ว่าหลินหยุนจะถูกผูกมัดอยู่ แต่นักพรตจื่อหยางก็ยังไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม
อาศัยโอกาสในช่วงจังหวะนี้ นักพรตจื่อหยางก็ได้วาดภาพกลางอากาศขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้ เวลาที่ใช้ในการวาดภาพ มากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
เป็นไปตามนั้น รอนักพรตจื่อหยางวาดภาพเสร็จ ตาข่ายยักษ์ที่ผูกมัดตัวของหลินหยุน ก็เหมือนกับน้ำแข็งที่ประสบกับน้ำร้อน ละลายไปจนหมด
หลินหยุนยืนอยู่ที่เดิม เสื้อผ้ายังคงอยู่ในสภาพดี เหมือนกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
“ออกมาได้! ”
นักพรตจื่อหยางตะโกนเสียงดังขึ้นอีกครั้ง มนุษย์หินที่สูงสามฟุตก็ผุดขึ้นมาจากใต้ดินในทันที
แขนข้างหนึ่งของมนุษย์หินนั้น ยังมีขนาดที่ใหญ่โตกว่าร่างกายของหลินหยุนเสียอีก
“เหยียบย่ำเขาให้แหลกละเอียด! ” นักพรตจื่อหยางสั่งการไปยังมนุษย์หิน
มนุษย์หินเงยหน้าขึ้นและส่งเสียงคำราม จากนั้นก็เดินก้าวใหญ่ เสียงดังกึกก้องตรงไปหาหลินหยุนเพื่อที่จะเหยียบย่ำ
“นี่มันคืออะไรกัน! ”
ผู้คนที่มาชมการประลองในบริเวณโดยรอบ ต่างก็พากันตกตะลึง
“นี่ก็คือพลังอานุภาพของยอดฝีมือเวทมนตร์ใช่ไหม! ” ช่างเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
ท่ามกลางผู้คน มีผู้อาวุโสสองคนที่ผมร่วงจนหมดศีรษะแล้ว มองไปยังมนุษย์หินยักษ์ตนนั้น และพูดขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมองว่า: “ไอ้นักพรตแก่จื่อหยางนั้น มีพลังความสามารถที่แข็งแกร่งมากขึ้นอีกแล้ว”
ที่ไกลออกไป ยังมีหญิงชราในชุดที่สุภาพสูงศักดิ์คนหนึ่ง มองมาที่นักพรตจื่อหยาง โดยสายตาแสดงความเยาะเย้ยออกมาแวบหนึ่ง
“ไอ้นักพรตแก่จื่อหยางนี่ คิดไม่ถึงว่าจะเข้าสู่ระดับขั้นแดนนั้นได้ก่อนพวกเราเสียอีก”
“ช่างบัดซบเสียจริง ทำไมถึงต้องเป็นเขาด้วย! ”
ใบหน้าของหญิงชราขนลุกขนพองขึ้น ด้วยเพราะความโมโห จึงแสดงสีหน้าเขียวขึ้น
คนของตระกูลเจี่ยงมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ สายตาต่างก็เผยความตกตะลึงออกมา
โดยเฉพาะเจี่ยงจิงเล่ ที่มองไปยังมนุษย์หินยักษ์ตนนั้น สายตาก็แสดงออกถึงความหวาดผวา เหมือนกับว่ามีความหวาดกลัวต่อสิ่งที่มีขนาดใหญ่มหึมานั้น
“นักพรตจื่อหยางสมกับคำร่ำลือจริง ๆ พลังความสามารถนี้เมื่อเทียบกับนักพรตหมิงยู่แล้ว อย่างน้อยแข็งแกร่งมากกว่าเป็นสิบเท่า! ”
สำหรับพวกเศรษฐีและคนที่มีชื่อเสียง รวมถึงนักบู๊ที่อายุยังน้อย ยิ่งจะไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวของ หลินหยุนเข้าไปอีก
“พลังความสามารถของนักพรตจื่อหยางสมกับคำร่ำลือจริง ๆ ปรมาจารย์หลินอะไร มันก็แค่มูล สุนัขเท่านั้น ช่างอ่อนแอเปราะบางเสียจริง! ”
หลินหยุนสีหน้าเฉยเมย: “วิชาปราบดิน! ”
“หยุด! ”
หลินหยุนยกมือขึ้น ปล่อยคาถาข่มห้าธาตุ มนุษย์หินที่สูงสามฟุตนั้น ก็หยุดการเคลื่อนไหวลงทันที ก้อนหินบนร่างกายก็ละลายเหมือนกับน้ำแข็งหิมะ กลับคืนสู่พื้นดินอีกครั้ง
ทุกคนพากันตกตะลึง!
“มนุษย์หินยักษ์ใหญ่ขนาดนั้น ปรมาจารย์หลินจัดการลงได้อย่างง่ายดาย! ”
“ดูเหมือนว่า ปรมาจารย์หลินผู้นี้ก็มีวิชาที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน! ”
“เหอะเหอะ พวกนายไม่ลองคิดดูบ้าง ในเมื่อปรมาจารย์หลินสามารถมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว หลิงหนาน ถ้าหากไม่มีพลังความสามารถอะไรเลยจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ? ”
“ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะได้ง่ายดายขนาดนั้น”
บนต้นไม้ แววตาของหญิงสาววัยกลางคนในชุดสีดำนั้นแสดงอาการตกตะลึงขึ้น: “ไอ้หนุ่มนี้ มีวิชาความสามารถอยู่พอตัว”
ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างนั้นหัวเราะเหอะเหอะ: “บอกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่า ในเมื่อท่านหงมอบหมายมาแล้ว ก็คงจะต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ดูต่อไปเถอะ ข้าคิดว่าพลังความสามารถของไอ้หนุ่มนี้ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้แน่นอน”
“ไม่แน่ว่า เขาอาจจะเอาชนะนักพรตจื่อหยางก็เป็นได้! ”
หญิงสาวยิ้มเยาะ: “เป็นไปไม่ได้! มนุษย์หินยักษ์ตนนี้เป็นเพียงแค่การทดสอบของนักพรตจื่อหยางเท่านั้น โดยเขายังไม่ได้แสดงท่าไม้ตายของเขาออกมา! ”
“ถ้าหากนักพรตจื่อหยางเอาจริง ไอ้หนุ่มนี้ไม่มีทางที่จะรับมือได้อย่างเด็ดขาด! ”
กลางพื้นที่ประลอง นักพรตจื่อหยางก็แสดงสีหน้าที่ตกตะลึงออกมา: “ช่างเกินความคาดหมาย เสียจริง คิดไม่ถึงว่านายจะเข้าใจในวิชาข่มดินด้วย! ”
“นั่นไม่ใช่วิชาข่มดิน” หลินหยุนพูดขึ้น ดูเหมือนว่าวิชาเวทมนตร์บนโลกมนุษย์ เทียบเท่ากับวิชาแค่ผิวเผินจากการถ่ายทอดของผู้บำเพ็ญเซียน
หลินหยุนใช้คาถาข่มห้าธาตุ แต่กลับถูกนักพรตจื่อหยางพูดว่าเป็นวิชาอาคมที่ใช้ต่อสู้เฉพาะกับวิชาปราบดิน
แต่หารู้ไม่ว่า คาถาข่มห้าธาตุ เมื่อเปรียบเทียบกับวิชาข่มดินที่เขาพูดนั้น สูงส่งล้ำเลิศกว่าเป็น ร้อยเท่าเลย
นักพรตจื่อหยางหัวเราะอย่างเย็นชา: “ไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร หลังจากนี้ วิชาข่มดินของนายจะไม่สามารถใช้การได้อีกแล้ว! ”
พูดจบ นักพรตจื่อหยางก็ได้โบกมือขึ้น ม้วนภาพวาดโบราณที่เขาถืออยู่ในมือมาโดยตลอดนั้นก็ได้เปิดขึ้น
นั่นคือม้วนภาพวาดที่มีความยาวกว่าสองเมตร ด้านในมีชี่ทิพย์พรั่งพรูออกมา โดยเป็นภาพวาดของภูเขาและแม่น้ำ ดูทรงพลังและงดงามเป็นอย่างมาก
“ปรมาจารย์หลิน ขอเชิญท่านเข้ามาเดินเล่นในภาพภูเขาแม่น้ำของข้าหน่อยเถอะ! ”
“เริ่มได้! ”
นักพรตจื่อหยางตะโกนเสียงดัง ม้วนภาพวาดในมือของเขาก็พลันสูญหายไปอย่างน่าประหลาด
จากนั้น ทิวทัศน์ด้านหน้าของหลินหยุนก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน
ทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณโดยรอบต่างก็มองไม่เห็นแล้ว ราวกับว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง
ที่นี่มีภูเขามีแม่น้ำ ภูเขาสูงตระหง่าน สายน้ำไหลเชี่ยว เหมือนกับเป็นโลกความเป็นจริงอีกแห่งหนึ่ง
ตอนนี้หลินหยุนอยู่ในท่ามกลางความว่างเปล่า มองดูภูเขาและแม่น้ำที่อยู่เบื้องล่าง ก็พลันคิดได้ว่า: “มันเป็นภาพค่ายกล! ”
“คิดไม่ถึงว่า บนโลกใบนี้ยังจะมีสิ่งของลักษณะนี้อยู่ด้วย! ”
ภาพค่ายกล ถือว่าเป็นเครื่องรางของขลังอย่างหนึ่ง โดยนำผู้บำเพ็ญเซียนให้เข้าไปอยู่ในภาพค่ายกล และเจ้าของภาพค่ายกลจะสามารถจัดการทำอะไรกับเขาก็ได้
ภาพค่ายกลรระดับสูงตามตำนานนั้น ก็เหมือนกับจักรวาล ภายในมีภูเขาและแม่น้ำ มีต้นไม้ดอกไม้และสัตว์นานาชนิด ถึงขนาดที่ว่าคนยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ภายในนั้นได้
มันก็เหมือนกับโลกแห่งความเป็นจริง
ตามตำนานบนโลกได้ร่ำลือกันว่า ภาพซานเหอเสิ้อจี้ของพระแม่หนี่ว์วา ก็คือภาพค่ายกลระดับ สูงสุด
แต่ หลินหยุนเข้าใจมาโดยตลอดว่า ตามตำนานที่ร่ำลือบนโลกนั้น มันช่างเพ้อเจ้อเกินไป ที่จริงแล้วพวกเซียนเหล่านั้น อย่างมากที่สุดก็คือระยะจิตปฐมของผู้บำเพ็ญเซียนเท่านั้นเอง
แม้แต่นักปราชญ์ในตำนานเหล่านั้น ก็เป็นเพียงแค่แดนดั่งเทพเท่านั้น
แต่ว่า ตำนานที่ร่ำลือบนโลกที่ได้บรรยายถึงพวกอาวุธเครื่องรางเหล่านั้นว่า มีความเก่งกาจล้ำเลิศมากกว่าอาวุธเครื่องรางระดับสูงของโลกเซียนเสียอีก
แน่นอนว่า นี่ก็คือการสรุปของหลินหยุนต่อพวกเซียนในตำนานเหล่านั้นว่า ทุกอย่างล้วนเกินจริงทั้งหมด
เพราะว่าถ้าหากพวกอาวุธเครื่องรางเหล่านั้นทรงพลังตามที่ตำนานร่ำลือไว้จริง ๆ งั้นก็แทบจะถึงระดับขั้นที่ไม่สามารถทำลายลงได้แล้ว
แต่ในชาติที่แล้วหลินหยุนได้ตระเวนท่องโลกเซียนมานานหลายปี กลับไม่เคยพบเห็นอาวุธเครื่องรางตามตำนานแม้สักชิ้นเดียว
แน่นอนว่า ก็ไม่เคยพบเห็นเซียนตามที่ในตำนานของจีนร่ำลือกันเลยเช่นกัน
ทว่า ภาพภูเขาแม่น้ำนี้ มีความคล้ายคลึงอย่างมากกับภาพซานเหอเสิ้อจี้จริง ๆ
เพียงแต่ว่า เมื่อเทียบพลังอานุภาพกับภาพซานเหอเสิ้อจี้ตามตำนานที่ร่ำลือกันนั้น มันอ่อนด้อยกว่าเป็นหมื่นเท่าเลยทีเดียว
เสียงของนักพรตจื่อหยาง ดังขึ้นอย่างกึกก้องในมิติที่หลินหยุนอยู่ เหมือนกับเทพเจ้า
เจ้าของภาพค่ายกล สำหรับโลกในภาพค่ายกลแล้ว ก็คือเทพของโลกใบนั้น
“ปรมาจารย์หลิน อาวุธเครื่องรางชิ้นนี้ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ” น้ำเสียงของนักพรตจื่อหยางแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก”
“ใช่เหรอ? งั้นก็จะให้นายรับรู้สัมผัสให้มากขึ้น! ”
เมื่อนักพรตจื่อหยางพูดจบ โลกที่หลินหยุนอยู่นั้น ทั้งภูเขาและแม่น้ำก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทันใดนั้นภูเขาก็ลอยขึ้นจากพื้นดิน น้ำก็ไหลย้อนกลับ โดยพุ่งตรงมาทางหลินหยุน
“จะให้นายได้ทดลองรับพลังอานุภาพของภาพภูเขาแม่น้ำของข้า! ” นักพรตจื่อหยางยิ้มเยาะและพูดขึ้น
ด้านนอก ในสายตาของผู้ชมเหล่านั้น ภาพวาดแผ่นนั้นของนักพรตจื่อหยาง เวลานี้กำลังครอบคลุมอยู่บนศีรษะของหลินหยุน ส่วนหลินหยุนยืนอยู่ด้านล่าง โดยไม่มีการเคลื่อนไหว
บนต้นไม้ ชายวัยกลางคนนั้น ขมวดคิ้วและพูดว่า: “ภาพวาดแผ่นนั้น ดูเหมือนจะเป็นอาวุธเครื่องราง! ”
“และยังจะเป็นอาวุธเครื่องรางที่เก่งกาจล้ำเลิศอีกด้วย! ”
หญิงสาวพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า: “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่านักพรตจื่อหยางมีอาวุธเครื่องรางที่ทรงพลังขนาดนี้? ”
“หรือว่าไอ้แก่นี้จะพบกับสิ่งนี้เข้าโดยบังเอิญ? ”
ชายหนุ่มพยักหน้า: “คงน่าจะใช่ ไม่อย่างนั้นพลังความสามารถของเขาก็คงจะไม่สามารถเพิ่มสูงขึ้นได้รวดเร็วขนาดนี้! ”
“ไอ้แก่นี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ออกไปจากเกาะแห่งนี้ไม่ใช่เหรอ? แล้วจะมีโชคพบเจอโดยบังเอิญได้อย่างไรกัน? ” หญิงสาวสงสัย โดยที่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความอิจฉา
ชายหนุ่มส่ายศีรษะ: “นี่ก็คือโชคชะตา มีบางคน ต่อให้มีโชควางอยู่เบื้องหน้า ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถนำมันมาได้”