จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 630 กระบี่ฟันภูเขาและแม่น้ำ
ทุกคนของตระกูลเจี่ยง มองไปยังหลินหยุนที่ถูกม้วนภาพวาดครอบคลุม ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ ด้วยความดีอกดีใจ
“ดูเหมือนว่า นักพรตจื่อหยางเอาจริงเข้าให้แล้ว! ”
“ภาพวาดนั้นคืออาวุธเครื่องรางตามที่ตำนานร่ำลือกันใช่ไหม? ”
“แต่ว่า ดูแล้วเหมือนกับว่าไม่มีพลังอานุภาพอะไรเลย! ”
เจี่ยงหลินหลินเคยเห็นภาพเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงตอนที่หลินหยุนยิงธนูใส่เจียวที่ทะเลสาบมังกรร้าย ขณะที่ลำแสงลูกธนูปรากฏนั้น สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งฟ้าดิน
ตอนนั้น เธออยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร ก็ยังสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงความทรงพลังของลูกธนูนั้น เหมือนกับว่าจะดูดตัวเธอเข้าไปสู่ด้านในของลำแสงลูกธนูนั้นให้ได้
แต่ภาพวาดแผ่นนี้ของนักพรตจื่อหยาง กลับไม่ทำให้เธอรู้สึกถึงความทรงพลังสักเท่าไหร่
อีกทั้ง แม้ว่าหลินหยุนจะไม่เคลื่อนไหว แต่มองดูแล้วก็เหมือนกับว่าไม่มีอะไรที่ผิดปกติ
ผู้อาวุโสยอดฝีมือสองคนนั้นที่ผมร่วงทั้งศีรษะแล้ว รวมไปถึงหญิงชราที่อัปลักษณ์คนนั้น ต่างก็แสดงสีหน้าท่าทางที่สงสัย
“ไอ้นักพรตแก่จื่อหยางได้อาวุธเครื่องรางที่เก่งกาจนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ”
“ก่อนหน้านี้ที่พวกเราได้ประลองฝีมือกับเขา ก็ไม่เห็นว่าเขาใช้อาวุธเครื่องรางชิ้นนี้ คงจะเป็น ชิ้นใหม่ที่เพิ่งได้มาอย่างแน่นอน”
“ไอ้แก่นี้ไปที่ไหนมากันแน่? ถึงได้ของล้ำค่าชิ้นนี้มา! ”
ทั้งสามคนกับนักพรตจื่อหยางต่างก็เป็นยอดฝีมือในยุคเดียวกัน แต่ว่า หลายปีก่อนพ่ายแพ้ให้กับนักพรตจื่อหยาง จึงได้เก็บตัวบำเพ็ญฝึกฝนอยู่อย่างสันโดษมาโดยตลอด
ได้ยินว่านักพรตจื่อหยางมีนัดท้าประลองยุทธ์ จึงได้ออกจากบำเพ็ญแล้วเดินทางมาร่วมชม
ในส่วนของนักบู๊ที่มีพลังความสามารถที่ต่ำนั้น ไม่สามารถที่จะมองออกได้ถึงพลังอานุภาพของภาพภูเขาแม่น้ำนี้
นักพรตจื่อหยางใช้พลังทั้งหมดเพื่อรักษาการขับเคลื่อนของภาพภูเขาแม่น้ำ ถึงแม้ว่าเขาจะมีโชคชะตาความบังเอิญ ได้พบเจอกับอาวุธเครื่องรางชิ้นนี้ แต่ว่า ระดับการบำเพ็ญฝึกฝนของเขา ก็ทำได้เพียงเพียรพยายามควบคุมเท่านั้น
เพื่อที่จะจัดการกับหลินหยุน และก็เพื่อสยบจิตใจของผู้คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ นักพรตจื่อหยาง ไม่ตระหนี่หวงของ จึงได้นำอาวุธเครื่องรางชิ้นนี้ออกมา
ภายในภาพภูเขาแม่น้ำ หลินหยุนมองไปที่คลื่นยักษ์ที่โหมซัดสาด รวมถึงภูเขาขนาดใหญ่เจ็ดลูกที่ทับถมบนตัวเขา โดยเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าพลังอานุภาพของฟ้าดินเหล่านี้แล้ว กลับกลายเป็นว่ามีขนาดเล็กเท่ากับมด
แต่ว่า หลินหยุนที่อยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์โหมซัดสาด กลับมีสีหน้าท่าทางที่เฉยเมย
“แม้ว่านี่จะไม่ใช่พลังอานุภาพที่แท้จริงของฟ้าดิน ทว่า กลับสามารถรู้สึกได้ถึงพลังของฟ้าดินอันกว้างใหญ่ไพศาล”
หลินหยุนหลับตาลง ปล่อยให้ภูเขายักษ์ทับถมบนร่างของเขา ปล่อยให้คลื่นยักษ์ซัดสาดเข้าใส่ร่างกายที่เล็กนิดเดียวของเขา
แต่ว่า เขากลับเหมือนเป็นประภาคารที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ตั้งตระหง่านยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคง
นักพรตจื่อหยางแอบตกตะลึงอยู่ในใจ: “ไอ้หนุ่มนี้ตกลงใช้วิชาอะไรกันแน่ ไม่ว่าข้าจะขับเคลื่อนภาพค่ายกลอย่างไร ก็ยังคงไม่สามารถจะสังหารเขาได้! ”
“ข้าไม่เชื่อว่ามันจะเป็นแบบนี้ไปได้! ”
นักพรตจื่อหยางตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จึงใช้ชี่แท้ขับเคลื่อนภาพค่ายกลอีกครั้ง
ค่ายกลสังหารในภาพค่ายกล ก็ได้โจมตีเข้าใส่หลินหยุนอีกครั้ง
หลินหยุนที่อยู่ในความว่างเปล่า มองไปยังภูเขาขนาดใหญ่และคลื่นยักษ์ที่โหมกระหน่ำเข้าใส่ อีกครั้ง ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองข้างก็เบิกโพลงขึ้นโดยพลัน พร้อมกับตะโกนขึ้นว่า: “กระบี่ต้าเต๋า! ”
ลำแสงกระบี่ยักษ์สีดำ ปรากฏขึ้นบนศีรษะของหลินหยุนในระยะสามฟุต เปล่งกระจายกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
หลินหยุนยื่นมือขึ้นจับ กระบี่ยักษ์สีดำเล่มนั้นก็ลอยเข้ามาสู่มือของเขาอย่างอัตโนมัติ
ฉับ!!
หลินหยุนฟันฉับขึ้นไปกลางอากาศ ทันใดนั้น ภูเขาแม่น้ำก็แหลกละเอียด ท้องฟ้าพังทลายลง
ฟุบ!
นักพรตจื่อหยางกระอักเลือดออกมา
ภาพภูเขาแม่น้ำที่อยู่บนศีรษะของหลินหยุน พลันมีเสียงดังเพล้งขึ้น แหลกละเอียดเป็นผุยผง
แม้ว่าคนของตระกูลเจี่ยงจะไม่เข้าใจในวิชาบู๊ แต่ก็สามารถมองออกได้ว่า การต่อสู้กันในครั้งนี้นักพรตจื่อหยางกำลังตกเป็นรอง
“คุณพ่อ นักพรตจื่อหยางจะพ่ายแพ้แล้วใช่ไหม? ” เจี่ยงหลินหลินถามขึ้นอย่างเคร่งเครียด
เจี่ยงจิงเทียนสีหน้าท่าทางจริงจัง: “อย่างเพิ่งรีบร้อน รอดูต่อไป! ”
แม้ว่าเขากำลังปลอบใจให้เจี่ยงหลินหลินอย่างเพิ่งร้อนใจ แต่ว่า เขากลับมองไปยังนายท่านเจี่ยงด้วยท่าทางที่ขาดความมั่นใจ
นายท่านเจี่ยงสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก และพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “ที่นี่คือถิ่นของนักพรตจื่อหยาง ซึ่งความสามารถของเขานั้น ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน”
“ครั้งก่อนที่พวกเรามาคารวะเขา พลังวิชาที่เขาแสดงออกมานั้น ตอนนี้ยังไม่ได้แสดงออกมาเลย”
“ดังนั้น ไม่ต้องกังวล นักพรตจื่อหยางไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างง่ายดายแบบนี้แน่นอน! ”
ผู้อาวุโสยอดฝีมือสองคนนั้น รวมไปถึงหญิงชราที่อัปลักษณ์คนนั้น ต่างก็แสดงสีหน้าท่าทางที่ ตกตะลึง
“คิดไม่ถึงว่าไอ้หนุ่มนั่นจะสามารถทำลายอาวุธเครื่องรางของไอ้นักพรตแก่จื่อหยางได้! ”
“ปรมาจารย์หลินคนนี้ มีวิชาความสามารถไม่เบา”
ชายและหญิงวัยกลางคนคู่นั้นที่อยู่บนต้นไม้ ต่างก็แสดงอาการที่ตกตะลึงออกมา
ชายหนุ่มอุทานขึ้นด้วยความตกใจว่า: “สมกับเป็นบุคคลที่ท่านหงให้การดูแลคุ้มครองเสียจริงยอดเยี่ยมมาก! ”
หญิงสาวผู้นั้นแม้ว่าจะไม่เต็มใจยอมรับ แต่เวลานี้จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้: “ไอ้หนุ่มนี้ มีวิชาความสามารถพอตัวเลยทีเดียว”
หลินหยุนยืนอยู่ที่เดิม แล้วมองไปที่นักพรตจื่อหยางอย่างเงียบสงบ พร้อมกับพูดขึ้นว่า: “ยังจะมีวิชาความสามารถอะไรอีก ก็แสดงออกมาให้หมดได้เลย! ”
“ทำให้ข้าได้รับรู้ถึง พลังอานุภาพของเวทมนตร์”
นักพรตจื่อหยางส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา: “ไอ้หนุ่ม แม้ว่านายจะทำลายภาพภูเขาแม่น้ำของข้าลงได้ แต่นายก็อย่าได้ภาคภูมิใจไป พลังอานุภาพของสายเวทมนตร์ ไม่ใช่ว่านายจะสามารถจินตนาการออกได้”
“เมื่ออยู่เบื้องหน้าของเวทมนตร์ที่ลึกล้ำ นายก็เป็นเพียงแค่มดแมลงตัวน้อยเท่านั้น”
นักพรตจื่อหยางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าอารมณ์ที่ปลดปลง น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเคารพยำเกรง: “ถ้าหากนายเคยรับรู้ถึงเวทมนตร์ที่แท้จริง นายจะพบว่า มนุษย์ที่เป็นนักบู๊เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของฟ้าดิน แม้แต่ความคิดที่จะต่อต้านเพียงเล็กน้อยก็ไม่กล้าที่จะมีได้เลย”
หลินหยุนพูดขึ้นว่า: “นายรู้แค่เพียงความแข็งแกร่งทรงพลังของเวทมนตร์ แต่ที่จริงแล้ว นายยังไม่เคยได้พบเห็นวิชาอาคมที่แท้จริงเลย”
“ความแข็งแกร่งทรงพลังในความหมายของนายนั้น สำหรับข้าแล้ว ยังเทียบเท่าไม่ได้กับสัดส่วนหนึ่งในหมื่นของวิชาอาคมเลย”
นักพรตจื่อหยางยิ้มเยาะ: “ไอ้หนุ่ม นายช่างหลงระเริงยิ่งนัก แม้ว่านายจะมีพลังความสามารถอยู่บ้าง แต่ สำหรับเวทมนตร์แล้ว แม้แต่ข้าเองก็ยังคงให้การเคารพยำเกรงมาโดยตลอด”
“ตอนนี้ ข้าจะทำให้นายรู้ว่า การดูถูกมองข้ามเวทมนตร์นั้นช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลาสิ้นดี”
นักพรตจื่อหยางกางมือทั้งสองข้างออก หนังสือโบราณเก่าแก่สีเหลืองเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศที่เบื้องหน้าของเขา
หนังสือเล่มนั้นมีขนาดเท่ากับกระดาษ A4 โดยตัวเล่มของหนังสือเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ยิ่งใหญ่ น่าเกรงขาม ราวกับว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่หนังสือเล่มบางเท่านั้น แต่เป็นภูเขายักษ์ เป็นเมือง เป็น ฟ้าดินที่กว้างใหญ่
บนหน้าปกของหนังสือ ใช้ตัวอักษรแบบจ้วนซูเขียนสองตัวอักษรว่า หนังสือวิชาดิน
หลินหยุนนึกขึ้นได้อย่างแรกก็คือ ตามตำนานร่ำลือของจีน ของล้ำค่าที่อยู่ในมือของเจิ้งหยวนจื่อ บรรพบุรุษของเซียนดิน หนังสือวิชาดิน
โดยไม่รู้ว่าหนังสือดินที่อยู่ในมือของนักพรตจื่อหยางเล่มนี้ กับหนังสือดินเล่มที่อยู่ในมือของ เจิ้งหยวนจื่อนั้น เป็นของล้ำค่าชิ้นเดียวกันหรือไม่
แต่ว่า ไม่นานหลินหยุนก็ปฏิเสธความคิดดังกล่าวนี้
ถ้าหากหนังสือดินเล่มนี้ คือของล้ำค่าชิ้นนั้นที่อยู่ในมือของบรรพบุรุษของเซียนดิน ซึ่งลำพังพลังความสามารถของนักพรตจื่อหยาง เกรงว่าไม่สามารถที่จะควบคุมอยู่ได้อย่างแน่นอน
อีกทั้ง ถ้าหากตามตำนานที่ร่ำลือกันพลังอานุภาพของหนังสือดินเล่มนั้น ไม่ต้องพูดถึงหลินหยุนตอนนี้ที่ยังไม่บรรลุถึงขั้นแดนยาทอง ต่อให้เป็นแดนกษัตริย์เซียน ก็ยังไม่สามารถที่จะต้านทานพลังของหนังสือดินเล่มนั้นในมือของเจิ้งหยวนจื่อได้
นักพรตจื่อหยางมือซ้ายถือ มือขวาเริ่มเปิดหน้าหนังสือ
ในมือของเขา แต่ละหน้าของหนังสือดินนั้น เหมือนกับว่ามีน้ำหนักมาก
นักพรตจื่อหยางใช้แรงพลังทั้งหมด จึงจะเปิดขึ้นได้หนึ่งหน้า จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ไปบนหน้าหนังสือนั้น
โครม!
ทุกคนรู้สึกว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้าเหมือนกับเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย
จากนั้น ก้อนหินยักษ์จำนวนมาก ก็พลันผุดขึ้นมาจากพื้นดินทันทีโดยไม่มีสัญญาณบอกกล่าวและได้ก่อตัวขึ้นเป็นคุก กักขังหลินหยุนอยู่ภายในนั้น
หน้าที่หนึ่งของหนังสือดิน คุกหินยักษ์
ทุกคนที่อยู่โดยรอบ มองไปยังหนังสือดินในมือของนักพรตจื่อหยาง แล้วก็ตกตะลึงขึ้นอีกครั้ง!
“นั่นคืออาวุธเครื่องรางอะไรอีกล่ะ? ”
“ไอ้นักพรตแก่จื่อหยางได้ไปพบเจอถ้ำของเซียนท่านใดใช่หรือไม่? ”
“พลังอานุภาพของอาวุธเครื่องรางชิ้นนี้ เหมือนว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่าภาพค่ายกลนั้นเลย! ”
“นักพรตจื่อหยางตกลงว่ามีโชคชะตาที่ดีอะไร จึงได้ครอบครองอาวุธเครื่องรางสองชิ้นที่เก่งกาจ ทรงพลังขนาดนี้! ”
พวกผู้อาวุโสยอดฝีมือ วิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นด้วยความอิจฉาริษยา
เจี่ยงจิงเทียนค่อยเบาใจลงได้บ้าง: “เหมือนกับที่ท่านพ่อพูดเอาไว้ไม่ผิด นักพรตจื่อหยางมีของล้ำค่าไม่น้อยเลยทีเดียว! ”
ชายหญิงคู่นั้นที่อยู่บนต้นไม้ที่ไกลออกไป มองไปที่นักพรตจื่อหยาง และขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกัน
หญิงสาวพูดขึ้นว่า: “ไอ้แก่จื่อหยางนี้ มีของล้ำค่าอยู่ไม่น้อยเลย! ”
“ฉันว่า ต่อให้ไอ้หนุ่มนั่นมีพลังความสามารถที่ไม่เลว แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าของนักพรตจื่อหยางแล้ว ก็ยังคงไม่สามารถเอาชนะได้อยู่ดี”
“ท่านหงเป็นกังวลมากเกินไปแล้ว”
ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “ค่อย ๆ ดูกันต่อไปเถอะ! ”