จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 641 ปัญหาของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป
หลินหยุนได้กลับไปถึงคฤหาสน์เย่หยาหู
เตรียมตัวที่จะฝึกฝนบำเพ็ญตนสักระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงจะเริ่มลงมือสร้างตัวอ่อนยาทอง
เมื่อมีปรามสีม่วงหงเหมินระดับในตำนานแล้ว ต่อให้เป็นถึงมหากษัตริย์ชางฉองก็ตาม ก็ยังอยากรู้ว่าในอนาคตจะสามารถกลั่นยาทองในระดับไหนออกมาได้
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์เย่หยาหูแล้ว ทั้งคาร์นอตวิลเลียมและซูหนันก็ไม่อยู่เหมือนเดิม
หลินหยุนก็ไม่ได้กังวลใจ ด้วยพลังความสามารถของเขาทั้งสองแล้ว สามารถรักษาตัวรอดได้อย่างล้นเหลือ
แต่ว่า เมื่อผ่านไปไม่นานนัก ซูจื่อเหลียงก็โทรศัพท์มาหาหลินหยุน
“อาจารย์ครับ รู้สึกว่าบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป ดูเหมือนจะเกิดปัญหาขึ้นแล้ว รายละเอียดของปัญหาคืออะไรนั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้เท่าไรนัก ผู้อำนวยการหวาง ดูเหมือนจงใจที่จะปกปิดทุกคน ฉันรู้สึกว่าคุณควรจะไปดูด้วยตัวเองสักครั้งหนึ่งจะดีกว่า”
หลินหยุนพูดว่า “ได้!”
หลังจบการสนทนาแล้ว หลินหยุนจึงได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจในการคิดสร้างตัวอ่อนยาทองอีกต่อไป
บริษัท ตงหวาง กรุ๊ป เป็นน้ำพักน้ำแรงของแม่แก่และพี่ฉินหลันเชียวนะ หลินหยุนไม่กล้าที่จะละเลยแม้แต่นิดเดียว
หลินหยุนจึงรีบออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังมณฑลจงโจวทันที
ในเวลากลางคืนสองทุ่ม ก็มาถึงสถานที่ที่ซูจื่อเหลียงพักอาศัยอยู่แล้ว
เป็นบ้านพักที่มีสองห้องนอนหลังหนึ่งภายในหมู่บ้านชุมชน
เป็นครั้งแรกที่หลินหยุนได้มาถึงบ้านพักของซูจื่อเหลียง เมื่อนับเวลาดูแล้ว ซูจื่อเหลียงมาช่วยดูแลบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป ก็เป็นเวลายาวนานพอสมควรแล้ว
“ปกติแล้วคุณก็มาฝึกฝนตนเองที่นี่เหรอ?” หลินหยุนถามอย่างเรียบเฉย
ซูจื่อเหลียงตอบอย่างนอบน้อมว่า “ที่นี่เป็นเพียงแค่บ้านพักชั่วคราวเท่านั้น ฉันไม่ค่อยมาอยู่ที่นี่หรอก เวลาส่วนใหญ่ของฉัน ก็คอยติดตามใกล้ชิดท่านผู้อำนวยการหวางทั้งนั้น”
เวลาส่วนใหญ่ที่ว่านี้ คาดเดาว่าน่าจะเป็นทั้งวัน24ชั่วโมงเลย
ซูจื่อเหลียงไม่พูด คาดเดาว่าคงไม่อยากจะเอาความดีความชอบต่อหน้าหลินหยุนมากกว่า
“ลำบากคุณแล้วนะ” หลินหยุนพูด
“ได้มีโอกาสรับใช้อาจารย์แล้ว เป็นเกียรติอย่างยิ่งของศิษย์แล้วครับ” ซูจื่อเหลียงพูดอย่าง เคารพนบนอบ เป็นเพราะพลังความสามารถของหลินหยุนนั้น สามารถพิชิตใจเขาได้อย่างสิ้นเชิง ทำให้เขายอมสยบต่อหลินหยุนไปตลอดชั่วชีวิตเลยทีเดียว
“พลังความสามารถของคุณตอนนี้ น่าจะถึงแดนปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแล้ว ในระดับขั้นนี้ ก็อย่าเพิ่งรีบใจร้อนเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมาย จะต้องปูพื้นฐานให้มั่นคงเสียก่อน จะมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยฝึกฝนในภายภาคหน้าได้”
“ครับ ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ”
กลับมาพูดเรื่องเดิม หลินหยุนถามว่า “พูดมาเถอะ บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
ซูจื่อเหลียงพูดว่า “รายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ฉันยังสืบไม่พบเลย และก็ไม่กล้าที่จะไปสืบด้วย เกรงว่าผู้อำนวยการหวางจะสงสัย”
“แต่ว่า ฉันสามารถรับรู้ได้ว่า บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน ถึงแม้ว่า ผู้อำนวยการจะปกปิดไว้ได้อย่างดีก็ตาม แต่ก็ยังมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ผู้คนรู้สึกแบบนั้นได้อย่างง่ายดาย”
หลินหยุนพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า “ปัญหาทางด้านไหน”
ซูจื่อเหลียงคิดดูแล้วก็พูดว่า “น่าจะเป็นทางด้านเงินทุนมากกว่า”
ปัญหาด้านเงินทุน นั่นก็คือปัญหาเรื่องเงินทอง เรื่องที่สามารถใช้เงินในการแก้ไขปัญหานั้น สำหรับหลินหยุนแล้วมันไม่ใช่เป็นปัญหาอะไรเลย
“ในเมื่อผู้อำนวยการไม่อยากให้คนอื่นรู้ งั้นพวกเราตอนนี้ก็อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งจะดีกว่า ให้เป็นไปตามความต้องการของเธอไปก่อน” หลินหยุนพูด
“ครับ!”
“พรุ่งนี้ฉันจะไปบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป สักครั้งหนึ่ง ดูว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่” ถึงแม้ว่าเรื่องของเงินทองเป็นเรื่องที่แก้ไขได้ง่ายก็จริง แต่ว่าหลินหยุนก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
แม่แก่และพี่ฉินหลันเป็นคนที่เขาเป็นห่วงมากที่สุด จะต้องไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆอย่างเด็ดขาด
ในคืนวันนั้นเอง หลินหยุนก็ผลิตยันต์หยกคุ้มกายขึ้นมาใหม่อีกสองชิ้นที่มีระดับชั้นสูงขึ้นกว่าเดิม เตรียมไว้สำหรับมอบให้กับหวางซูเฟินและฉินหลัน
ทางด้านหลินตงหัวนั้น อยู่ในสถานะทางการรัฐบาล โดยทั่วไปก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร
มีแต่หวางซูเฟินและฉินหลันเท่านั้น ที่เป็นเป้าหมายการโจมตีของกลุ่มพลังอิทธิพลที่อยู่รอบด้านมาโดยตลอด
อีกทั้งเมืองหลวงทางนั้น ก็ยังมีศัตรูที่แข็งแกร่งมากอีกด้วย
ช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น หลินหยุนก็มาถึงบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป
ฉินหลันเดินลงมารับหลินหยุนด้วยตัวเอง จากนั้นก็ขึ้นลิฟต์ไปด้วยกัน
ภายในลิฟต์นั้น หลินหยุนจ้องมองฉินหลันด้วยรอยยิ้ม ฉินหลันที่แต่งตัวในชุดทำงาน ดูไปแล้วค่อนข้างเหมือนเจ้ใหญ่สไตล์สาวมั่นเล็กน้อย
เป็นแบบอย่างของแม่ศรีเรือนอย่างแท้จริง
ฉินหลันถูกหลินหยุนมองจนรู้สึกเขินอาย เพียงแต่ว่าสายตาของหลินหยุนนั้น มีแต่ความชื่นชม เท่านั้น ไม่มีความคิดสกปรกลามกเหมือนผู้ชายคนอื่นพวกนั้นเลย
ฉินหลันจึงได้แต่ค้อนใส่หลินหยุนด้วยความโกรธเคือง “มองพอแล้วยัง!”
หลินหยุนเมื่ออยู่ต่อหน้าฉินหลันแล้ว ไม่มีความเป็นมหากษัตริย์แห่งโลกเซียนเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว ก็เหมือนกับพวกคนไร้ยางอาย พูดจาด้วยสีหน้าทะลึ่งตึงตังว่า “ยังเลย ต่อให้มองตลอดทั้งชาติก็ยังไม่พอ”
คำพูดของหลินหยุนเป็นคำพูดออกจากใจจริงทั้งนั้น เมื่อชาติที่แล้ว การเสียชีวิตของแม่แก่ ถึงแม้ทำให้เขาได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจก็จริง แต่ว่านั่นมันเป็นเพราะความโชคร้ายเท่านั้น
ส่วนฉินหลันนั้นเพื่อช่วยชีวิตเขาแล้ว เธอยอมเสียสละตัวเองแต่งงานกับศัตรูอย่างอดสู หลังจากนั้นก็ฆ่าตัวตาย
อาจพูดได้ว่า ฉินหลัน จึงเป็นสิ่งที่เสียใจที่สุดในใจของหลินหยุน
เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว หัวใจของฉินหลันก็รู้สึกเต้นแรงผิดปกติขึ้นมาทันที
“กะล่อนปลิ้นปล้อน!” ฉินหลันตะคอกเสียงเบา หันหน้าไปที่อื่น ใบหน้าที่สะสวย ก็เริ่ม มีสีแดงเรื่อๆปรากฏขึ้นมา ทำให้แลดูสวยงามมากยิ่งขึ้นจนไม่มีสิ่งใดสามารถเทียบทันได้
หลินหยุนถามว่า “เมื่อกี้ตอนที่ฉันรอคุณอยู่ที่หน้าเคาน์เตอร์ ได้ยินพนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์บอกว่าอีกสองวันคุณจะออกไปทำงานข้างนอกเหรอ?”
“หรือไม่จะให้ฉันไปด้วยได้ไหม? ฉันสามารถปกป้องดูแลคุณได้นะ”
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ทั้งสองคนก็เดินออกไปจากลิฟต์
ฉินหลันมองดูหลินหยุนแวบหนึ่ง แล้วถามด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยว่า “ทำไมเหรอ เป็นบอดี้การ์ดจนเสพติดแล้วเหรอ? ยังคิดจะมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันอีกเหรอไง? แต่ว่า ฉันคงไม่มีเงินเดือนให้คุณหรอกนะ!”
ในเวลานี้เอง มีหญิงสาวสองคนเดินตรงเข้ามา รูปร่างสูงเพรียว สวยงามไม่มีที่ติทั้งคู่
นั่นก็คือหลินโร่หลันและหลินโร่สุ่ยพี่น้องสองสาวนั่นเอง
“เป็นคุณได้ยังไงกัน!” หลินโร่สุ่ยมองดูหลินหยุน ตกใจตะโกนขึ้นมาทันที
สำหรับผู้ชายที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรมอย่างหลินหยุนคนนี้ เธอก็ยังคงมีความรู้สึกที่ดีๆให้
หลินโร่หลันมองดูหลินหยุน กลับขมวดคิ้ว สายตาแสดงความเหยียดหยามเล็กน้อย “ที่แท้แล้ว ก็เป็นเพียงแค่บอดี้การ์ดให้คนอื่น มิน่าฝีมือถึงได้ไม่เลวเลย!”
ฉินหลันก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองหลินหยุนด้วยความสงสัย “พวกคุณ……รู้จักกันเหรอ?”
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “เคยเห็นหน้าครั้งหนึ่ง”
ฉินหลันมองดูหลินโร่หลันที่สีหน้าเย่อหยิ่ง และหลินโร่สุ่ยที่ให้ความสนใจหลินหยุนเป็นพิเศษ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็ให้ฉันช่วยแนะนำให้ทุกคนรู้จักกันไว้นะ!”
“ทั้งสองท่านนี้เป็นหลานสาวของผู้อำนวยการค่ะ”
“ท่านนี้คือหลินหยุน เป็นแขกของผู้อำนวยการค่ะ”
หลินโร่หลันยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างสง่า สวยงามมีเสน่ห์ เพียงแต่ว่า สีหน้าช่างดูถูกดูแคลนเหลือเกิน “ผู้ช่วยฉินคะ ไม่ต้องช่วยปิดบังหรอก เป็นบอดี้การ์ดก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไรเลย”
พูดจบ หลินโร่หลันก็ทำตาถลนใส่หลินโร่สุ่ย พูดอย่างตำหนิว่า “ยัยเด็กโง่ ตอนนี้เห็นชัดเจนแล้วสิ!”
“ฉันบอกแกตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าสามารถใช้กิริยาท่าทางที่หยาบช้าอย่างนั้นได้ คนคนนั้นจะต้องเป็นได้แค่คนชั้นต่ำคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”
หลินโร่สุ่ยพูดเถียงอย่างไม่พอใจว่า “พี่ พี่ก็อย่ามองคนด้วยสายตาที่มีอคติสิ! บอดี้การ์ดมีอะไรไม่ดี หาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง พี่มีสิทธิ์อะไรที่ไปดูถูกคนอื่นล่ะ!”
หลินโร่หลันขมวดคิ้ว ตะคอกใส่ว่า “ยัยเด็กเวรนี่ แกยิ่งมายิ่งใจกล้ามากแล้วนะ หัดเถียงคำไม่ตกฟาก!”
“ฉันเพียงแต่อยากจะสอนให้แกรู้จักดูคนยังไง แกฟังคำสอนฉันให้ดีๆนะ จำไว้ด้วย ทีหลังก็อย่าไปทุ่มเทจิตใจให้กับใครที่ไหนอีก ไม่เช่นนั้นแล้ว สักวันหนึ่งแกจะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า”
พอพูดจบ ก็ดึงตัวหลินโร่สุ่ยเข้าไปในลิฟต์
ขณะที่เดินผ่านข้างกายหลินหยุนไปนั้น ยังมองหลินหยุนด้วยสายตาที่น่ารังเกียจ แล้วส่งเสียงฮื่อใส่อีกด้วย
หลินหยุนไม่ได้สนใจเธอ นิสัยของหลินโร่หลันนั้น เมื่อชาติที่แล้ว เขาก็รู้แจ้งเห็นชัดแล้ว
ความคิดทัศนคติของผู้หญิงคนนี้ ถูกพ่อแม่ของเธอหล่อหลอมจนบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว
ในสายตาเธอนั้น มีแต่ผลประโยชน์ มีแต่สังคมชั้นสูงเท่านั้น ในใจคิดแต่ว่าจะแต่งงานเข้าไปอยู่ในบ้านสี่ตระกูลยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวงให้ได้
ฉินหลันรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย “ขอโทษค่ะ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้คุณหนูทั้งสองเข้าใจคุณผิดไป หวังว่าคุณคงไม่โกรธนะ อย่าไปถือสาหาความกับพวกเด็กๆเลย”
ใบหน้าของหลินหยุนยังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิม พูดอย่างเรียบๆว่า “ไม่เป็นไร แต่ว่าทำไมพวกเธอถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”
ฉินหลันพูดว่า “ความจริงแล้วพวกเธอคือหลานสาวของคุณอาหลิน เพราะว่าพวกเธอจะจัดงานเปิดตัวบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ จึงคิดอยากจะมาเชิญผู้อำนวยการไปร่วมงานด้วย จะได้ทำให้พวกเธอมีหน้ามีตาขึ้นมาบ้าง”
“บริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนท์เหรอ?”
หลินหยุนนึกขึ้นได้ทันทีว่า เมื่อชาติที่แล้ว ก็เคยได้ยินมาว่าหลินโร่หลันและหลินโร่สุ่ยได้เปิดบริษัทเอ็นเตอร์เทนเมนท์ขึ้นจริงๆ อีกทั้งยังอยู่ที่มณฑลจงโจวด้วย
แต่ว่า เปิดได้ไม่ถึงครึ่งปี ก็ปิดกิจการไปแล้ว
หลินโร่หลันและหลินโร่สุ่ย เป็นลูกสาวของคุณอาสามของหลินหยุน พวกเขาทั้งสองจะต้องเรียกหลินหยุนว่าพี่ชาย เพราะว่า หวางซูเฟินเป็นป้าสะใภ้ของพวกเธอ
พวกเธอมาหาหวางซูเฟิน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร