จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 648 คุณก็เป็นแค่แจกันดอกไม้
หลินโร่สุ่ยพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน
“ขอโทษนะ ฉันคุยเรื่องในใจที่แย่ๆมากมายขนาดนั้น ต้องมีผลต่อสภาพจิตใจของคุณแน่เลย!”
“ขอบคุณมากที่คุณยอมรับฟัง หาคนมาระบายความอัดอั้นตันใจได้ ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจมากขึ้นมากเลย” หลินโร่สุ่ยยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย
หลินหยุนยิ้มอย่างเรียบๆ สายตาที่มองดูหลินโร่สุ่ยเต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ไม่เป็นไร ขอให้คุณสบายใจก็พอแล้ว”
หลินโร่สุ่ยยิ้ม ดวงตาที่กลมโตสวยงามโค้งงอเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “คนอย่างคุณนี่ถูกใจฉันจริงๆเลย คุณคงไม่ได้คิดมิดีมิร้ายกับฉันใช่มั๊ย?”
หลินหยุนพูดอย่างเชื่องช้าว่า “คุณคิดมากไปแล้ว”
สำหรับคำพูดที่ทำให้คนฟังแล้วตกใจบ่อยครั้งของหลินโร่สุ่ยนั้น หลินหยุนก็รู้สึกคุ้นชินมานานแล้ว
“เอาเถอะ งั้นฉันกลับก่อนแล้วล่ะ สองวันนี้ฉันยังต้องหาทางไปชักชวนคนเพิ่มเต็มให้มากขึ้น เพื่อจะทำให้งานพิธีเปิดบริษัทของฉันมีหน้ามีตามากยิ่งขึ้น”
“ต่อให้แพ้ ก็ไม่ควรแพ้จนดูน่าเกลียดมากเกินไป” หลินโร่สุ่ยสีหน้าเต็มไปด้วยความจนใจ
หลินหยุนพูดว่า “วางใจไปเถอะ คุณไม่แพ้หรอก”
“คุณไม่ต้องมาปลอบในฉันหรอก เวลาก็ผ่านมาตั้งนานหลายปีแล้ว ฉันก็คุ้นชินไปนานแล้วล่ะ” หลินโร่สุ่ยช่างรู้จักวิธีปลอบใจตัวเองดีเสียจริง
“เชื่อฉันสิ คราวนี้คุณจะต้องไม่แพ้” ในตัวของหลินหยุนเปล่งประกายความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่งออกมา
หลินโร่สุ่ยอึ้งไปสักครู่ ไม่รู้ว่าหลินหยุนเอาความเชื่อมั่นในตัวเองที่แข็งแกร่งขนาดนั้นมาจากไหน ต่อให้หลินหยุนเป็นเพื่อนกับประธานหลันของบริษัทหวนตี้ก็จริง แต่ความสัมพันธ์ก็ยังไม่ได้สนิทกันมากเท่าไรนัก
หรือว่าเขายังสามารถเชิญประธานหลันมาได้หรืออย่างไร?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินโร่สุ่ยก็รีบส่ายหัวกับตัวเองก่อน ปฏิเสธความคิดเช่นนี้ไปเลย
ถึงแม้ว่าหลินโร่สุ่ยยังคงไม่เชื่อมั่นหลินหยุนเช่นเดิม แต่ว่า ก็ไม่อยากจะทำลายความเชื่อมั่นตัวเองของหลินหยุน
“พวกเรากลับกันเถอะ!”
“ได้!” หลินหยุนลุกขึ้นยืน ทั้งสองคนก็เดินออกไปข้างนอก
ในขณะที่เดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าร้านกาแฟนั้น ทันใดนั้นก็มีคนสองคนเดินตรงเข้ามา
หนึ่งในนั้นก็คือพี่สาวของหลินโร่สุ่ย หลินโร่หลันนั่นเอง
ข้างกายของหลินโร่หลันยังมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามมาด้วย ดูไปแล้วหน้าตาก็ธรรมดา แต่ว่าบุคลิกท่าทางสุขุมหนักแน่นมาก ไม่เหมือนพวกลูกเศรษฐีที่มีท่าทางหยิ่งผยองไม่สำรวมเช่นนั้น
ชายหนุ่มคนนี้ หลินหยุนก็รู้จัก
เขาก็คือหวางเหวินหย่วนแห่งตระกูลหวางนั่นเอง
หลินโร่หลันก็มองเห็นหลินโร่สุ่ยและหลินหยุนแล้ว ทันใดนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าก็จะจางหายไปทันที
“หลินโร่สุ่ย คำพูดที่ฉันเคยพูดกับแกไว้ ทำไมแกถึงลืมได้เร็วขนาดนี้?”
“ฉันไม่ให้แกไปคบกับคนแบบนี้ แกไม่ยอมเชื่อก็แล้วไป แต่แกถึงกับมานัดเดทกับเขาสองต่อสองเชียวเหรอ? แกจงใจที่จะยั่วโมโหฉันใช่ไหม?”
หลินโร่หลันมองหน้าหลินหยุน พูดด้วยสีหน้ารังเกียจว่า “เจ้าเด็กน้อย ฉันขอเตือนแกก่อนนะ อย่าคิดว่าน้องสาวฉันยังอ่อนหัดไม่ประสีประสา แกก็จะมาคิดหลอกลวงน้องสาวฉัน”
“คนอย่างแกฉันเห็นมามากแล้ว ตัวเองไม่มีปัญญา ก็คิดจะเกาะผู้หญิงกิน หลอกทั้งเงินหลอกทั้งตัว”
“ฉันขอเตือนให้แกล้มเลิกความคิดนี้ไปเสีย พวกเราเป็นคนที่อยู่กันคนละโลก แกเป็นแค่ยามรักษาความปลอดภัย ต่อให้ขยันต่อสู้ตลอดทั้งชีวิต ก็อย่าคิดมาทำให้น้องสาวฉันต้องแปดเปื้อนเลย”
หลินโร่สุ่ยรีบอธิบายว่า “พี่ พี่เข้าใจผิดแล้ว เขาไม่ใช่ยามรักษาความปลอดภัยนะ!”
หลินโร่หลันตะคอกด้วยเสียงเยือกเย็นว่า “ไม่ใช่ยามรักษาความปลอดภัยแล้วเป็นอะไร? ไหนแกพูดมาซิ แกจะรู้ได้ยังไง? แกรู้จักเขาดีพอแล้วเหรอ?”
“แกไม่มีมันสมองคิดสักนิดเลย น่าเป็นห่วงเสียจริงเชียว!”
เมื่อถูกหลินโร่หลันพูดต่อว่าเป็นชุด หลินโร่สุ่ยก็ร้อนใจจนหน้าแดงไปหมด แต่ว่าพูดอะไรไม่ออกสักคำเดียว
สำหรับหลินหยุนแล้วเธอยังรู้จักไม่ดีพอ มิหนำซ้ำฐานะและอาชีพของหลินหยุนเป็นอย่างไร เธอก็ยังไม่รู้เลย
แต่ว่า ขอเพียงเธอรู้ไว้อย่างเดียวก็พอแล้ว นั่นก็คือเมื่อได้พูดคุยกับหลินหยุนแล้ว ทำให้เธอมีความสุข
หลินโร่สุ่ยพูดประท้วงว่า “พี่ เวลาที่พี่มองคน อย่ามองแต่พื้นเพฐานะอาชีพเพียงอย่างเดียวจะได้มั๊ย หลินหยุนเป็นคนยังไงนั้น พี่ก็อย่าเอาสายตาที่มีอคติไปตัดสินเขาสิ”
“ถึงแม้ฉันไม่ได้รู้จักเขาดีพอ แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่า เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง”
หลินโร่หลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่เล็กจนโต น้องสาวคนนี้ไม่เคยกล้าที่จะพูดเถียงเธอเลย
วันนี้ ถึงกับเพื่อผู้ชายคนหนึ่งที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน มาเถียงต่อปากต่อคำกับตัวเองแล้ว
ในสายตาของหลินโร่หลันนั้น นี่คือสัญญาณที่อันตรายอย่างหนึ่ง
เธอจะยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
“หลินโร่สุ่ย ฉันเป็นพี่สาวแกนะ พ่อแม่ให้ฉันดูแลแก ฉันก็จะต้องรับผิดชอบเรื่องทุกอย่างของแกด้วย!”
“ฉันจะไม่ยอมให้แกคบกับผู้ชายที่ไร้ประโยชน์แบบนี้เป็นอันขาด เผื่อว่าพวกแกเกิดอะไรขึ้นมา ก็จะทำให้เสื่อมเสียไปทั้งวงศ์ตระกูล!”
หลินโร่สุ่ยก็ร้อนใจขึ้นมาทันที “พี่ พี่พูดเหลวไหลอะไรกัน? พวกเราก็แค่มาพูดคุยธรรมดาเท่านั้นเอง จะไปมีเรื่องสกปรกอย่างที่พี่คิดได้ยังไงล่ะ!”
“ถ้าฉันจะคบหลินหยุนเป็นเพื่อนละก็ นี่ก็เป็นสิทธิ์ของฉันเอง แม้แต่พ่อแม่ก็ห้ามฉันไม่ได้!”
หลินโร่หลันโกรธมาก ง้างมือขึ้นจะไปตบหลินโร่สุ่ย “แกไม่ยอมเชื่อฟังฉัน!”
สายตาของหลินหยุนส่องประกายแสงสว่างออกมา เตรียมตัวที่จะลงมือขัดขวางเธอ
แต่ว่า ยังไม่ทันรอให้หลินหยุนขัดขวางเลย หวางเหวินหย่วนที่อยู่ข้างกายหลินโร่หลันกลับจับข้อมือของเธอเอาไว้เสียก่อน
“ทำไมต้องขัดขวางฉันด้วย?” เมื่อเห็นว่าเป็นหวางเหวินหย่วน น้ำเสียงของหลินโร่หลันก็อ่อนลงมาก ถามด้วยความสงสัย
หวางเหวินหย่วนส่งยิ้มเล็กน้อย ทำให้รู้สึกแลดูเหมือนเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง
“การทำร้ายคนช่วยแก้ไขปัญหาอะไรไม่ได้หรอก ฉันจะลองพูดเตือนเธอเอง”
หลินโร่หลันก็พยักหน้าตอบตกลง
หวางเหวินหย่วนมองไปยังหลินโร่สุ่ย พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับผู้อาวุโสว่า “น้องโร่สุ่ยครับ ฉันขอถามน้องคำถามหนึ่ง น้องเคยเห็นแมงกะพรุนหรือเปล่า?”
หลินโร่สุ่ยตะลึงงง หวางเหวินหย่วนไม่ใช่จะมาพูดเตือนเธอเหรอ? ทำไมจึงเปลี่ยนเรื่องพูดล่ะ!
“เคยเห็น เป็นยังไงเหรอ?”
หวางเหวินหย่วนยิ้มแล้วพูดว่า “มีแมงกะพรุนบางชนิด เมื่อมองดูแล้วสวยงามมาก แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ได้สัมผัสแล้ว ก็มักจะถูกพิษมันทำร้ายบาดเจ็บได้”
“มีคนบางจำพวกก็เป็นเช่นเดียวกัน ดูไปแล้วไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อคนและสัตว์เลย ดูเหมือนเป็นคนดีคนหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่าน้องรู้จักเขายังไม่ลึกซึ้งพอ”
คำพูดของหวางเหวินหย่วนนั้น มีความหมายคล้ายเป็นการชี้นำเท่านั้น พูดเพียงแค่นี้ จากนั้นก็ไม่พูดต่ออีกเลย
ส่วนที่เหลือ ก็ให้หลินโร่สุ่ยคิดเอาเอง
เชื่อว่า ขอเพียงหลินโร่สุ่ยไม่โง่เกินไป ก็จะเข้าใจความหมายของเขาเอง
หลินโร่หลันพูดอย่างภูมิใจว่า “ได้ยินหรือยัง ฟังคำพูดของพี่เหวินหย่วนของแกบ้าง นี่ถึงจะเป็นคำพูดที่ออกจากปากของคนมีคุณภาพและได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดี”
“ถ้าแกจะคบเพื่อน ต่อให้หาคนที่เหมือนกับพี่เหวินหย่วนแบบนี้ยังไม่พบก็ตาม แต่ว่าก็ไม่ควรที่จะประชดชีวิต ไปคบกับใครก็ได้นี่นา!”
เสียงของหลินหยุนดังขึ้นอย่างเรียบๆ “เสี่ยวสุ่ยเป็นเพื่อนกับฉัน มันเป็นยังไงเหรอ?”
หลินโร่หลันมองไปยังหลินหยุนอย่างเหยียดหยามทันที พูดเย้ยหยันด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “แกยังมีหน้ามาถามอีก ฐานะของตัวแกเองเป็นยังไง ในใจแกจะไม่รู้ตัวบ้างเชียวเหรอ?”
“แกก็แค่เศษสวะที่เป็นบอดี้การ์ดให้คนอื่นเท่านั้น ยังคู่ควรที่จะมาคิดจีบน้องสาวฉันด้วยเหรอ?”
หลินโร่หลันชี้ไปที่หวางเหวินหย่วนที่อยู่ข้างๆด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ แล้วพูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “แกรู้ไหมว่า คนที่อยู่ข้างฉันคนนี้เป็นใคร?”
“คนของตระกูลหวาง ผู้นำของสี่ตระกูลยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวง!”
“เป็นไงล่ะ ไม่เคยได้ยินล่ะสิ? หรือว่าตกใจกลัวแล้ว?”
สีหน้าของหลินหยุนไร้ความรู้สึก พูดอย่างเรียบๆว่า “ตระกูลหวางแห่งเมืองหลวง ทำไมฉันจะไม่เคยได้ยินล่ะ?”
หลินโร่หลันแสยะยิ้ม “เคยได้ยินก็ดีแล้ว ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปลืองน้ำลายอธิบายให้แกฟัง รอให้ถึงเวลาเมื่อไหร่ที่ฐานะของแก อยู่ในระดับที่สามารถยืนเทียบเท่าพี่เหวินหย่วนเสียก่อน ถึงเวลานั้นแกค่อยมาคบหากับน้องสาวฉันก็แล้วกันนะ!”
ทันใดนั้นหลินหยุนก็หัวเราะขึ้นมา “ฮา หลินโร่หลัน นิสัยที่บ้าอำนาจหวังแต่ผลประโยชน์ของคุณไม่เคยเปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว”
“คุณรู้แต่ว่าตระกูลหวางเป็นผู้นำของสี่ตระกูลยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่รู้ว่าตระกูลหวางในสายตาของฉัน ก็เป็นเพียงแค่มดตัวน้อยเท่านั้นเอง”
“นิสัยของคุณ กำหนดให้ชั่วชีวิตนี้ของคุณเป็นได้แต่ของเล่นของคนอื่น เป็นได้แค่แจกันดอกไม้ประดับที่สวยงามเท่านั้น”
หลินโร่หลันรู้สึกช็อกมาก เธอคิดไม่ถึงว่าเศษขยะที่เป็นแค่บอดี้การ์ดของคนอื่นอย่างหลินหยุน ถึงกับกล้าที่จะพูดเย้ยหยันเธอว่าเป็นแค่แจกันดอกไม้ เป็นของเล่นของคนอื่นเท่านั้น
สีหน้าหลินโร่สุ่ยก็รู้สึกเหลือเชื่อ เธอก็คิดไม่ถึงว่าหลินหยุนถึงกับกล้าทำให้พี่สาวเธอโกรธได้
หวางเหวินหย่วนแสดงสีหน้าดูถูกออกมา สายตาที่มองไปยังหลินหยุนเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม คนที่กล้าพูดกับหลินโร่หลันเช่นนี้ได้ จะต้องเป็นไอ้งั่งที่ทำอะไรไม่นึกถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นตามมาในภายหลัง
ต่อให้เขาในฐานะเป็นคนของตระกูลสูงส่งก็ตาม ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ ก็จะไม่ไปแตะต้องตระกูลหลินแห่งอูซุอย่างเด็ดขาด