จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 650 เรียกเจ้าเด็กนั่นมาหน่อย
ผู้จัดการจางและประธานเหยียนที่ถูกไล่ออกไปแล้วนั้น ถึงกับยุแยงรองประธานหลิวของสำนักงานใหญ่หัวหยา กรุ๊ป ออกหน้ามาช่วยแก้ปัญหาให้กับพวกเขา
ถ้าพูดถึงอำนาจสิทธิ์ขาดแล้ว ถึงแม้บริษัทหวนตี้จะขึ้นอยู่กับหัวหยา กรุ๊ปก็จริง แต่ในบริษัทหวนตี้นั้น ประธานที่แท้จริงก็ยังเป็นหลันโร่หลิน
รองประธานหลิวถึงแม้มีตำแหน่งสูงกว่าหลันโร่หลินอยู่ระดับหนึ่งก็จริง แต่ว่าถ้าอยู่ในบริษัทหวนตี้แล้ว เขายังไม่มีอำนาจสิทธิ์ขาดอะไรเลย
แต่ว่า อย่างน้อยหลันโร่หลินก็เพิ่งจะมารับตำแหน่งใหม่ได้ไม่นานนัก ยังไม่ทันได้สร้างทีมงานของตัวเองขึ้นมาเลย
ดังนั้น ถ้าหากรองประธานหลิวจะมาหาเรื่องกะทันหันเช่นนี้ อีกทั้งยังมีประธานเหยียนและผู้จัดการจางทั้งสองคนนี้คอยสนับสนุนอยู่ข้างๆด้วยแล้ว หลันโร่หลินคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาจริงๆ
ถึงแม้หลินหยุนเป็นเจ้านายใหญ่ของหัวหยา กรุ๊ปก็จริง แต่เขาก็แค่รับช่วงถือหุ้นทั้งหมดที่มีของนายท่านเสี้ยงมาเท่านั้นเอง
ส่วนรองประธานหลิวคนนี้ อยู่ในหัวหยา กรุ๊ป ก็ยังถือหุ้นอยู่ในมืออีกด้วย เพียงแต่มีจำนวนหุ้นที่ถืออยู่สู้ของหลินหยุนไม่ได้เท่านั้นเอง
เป็นเพราะสาเหตุเช่นนี้ รองประธานหลิวจึงกล้าที่จะมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ที่บริษัทหวนตี้
ถ้าหากหลินหยุนยังไม่ปรากฏตัวแล้ว ต่อให้เป็นทีมงานบริหารมืออาชีพของจ้าวซูเหาก็ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น รองประธานหลิวก็แต่งองค์ทรงเครื่องหวีผมเรียบจนเงาแวววับ ใส่ชุดสูทสีขาวทั้งตัว ภายใต้การนำทางของประธานเหยียนและผู้จัดการจางทั้งสองคนนี้ ก็ได้มาถึงบริษัทหวนตี้สาขาย่อยจงโจวแล้ว
ยามรักษาความปลอดภัยเมื่อเห็นประธานเหยียนและผู้จัดการจางมาถึง ก็ระแวดระวังภัยเต็มที่ทันที
“หยุดนะ พวกคุณไม่ใช่พนักงานของบริษัทอีกต่อไปแล้ว มาที่นี่ทำอะไร?” ยามรักษาความปลอดภัยตะคอกถาม
ผู้จัดการจางตะโกนด่าทอว่า “พวกแกใจกล้ามากเลยนะ กล้าพูดจาอย่างนี้กับฉัน! ฉันจะบอกพวกแกให้นะ วันนี้พวกฉันกลับมา ก็เพื่อที่จะจัดการกับหลันโร่หลิน รอให้พวกฉันได้กลับมาทำงานใหม่ก่อน แล้วฉันจะจัดการพวกแกเป็นอันดับแรกเลย!”
ยามรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนก็ถูกข่มขู่จนตกใจกลัว รีบอ่อนข้อลงไปทันที
ผู้จัดการจางเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็พูดเยาะเย้ยว่า “รู้ไหมว่าคนข้างหลังฉันคนนี้เป็นใคร?”
“นี่คือประธานสำนักงานใหญ่หัวหยา กรุ๊ป ท่านประธานหลิว!”
“ยังไม่รีบทำความเคารพอีก!”
ยามรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนไม่ได้รู้จักประธานหลิวอะไรเลย แต่ว่าในเมื่อผู้จัดการจางพูดอย่างมั่นอกมั่นใจเช่นนั้น คิดดูแล้วไม่น่าจะเป็นตัวปลอม
“สวัสดีครับ! ท่านประธานหลิว”
ยามรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนก็รีบยืนตรงทำความเคารพ
“ค่อยยังชั่วหน่อย” ผู้จัดการจางพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ
จากนั้นก็หันหลังกลับไป พูดกับประธานหลิวด้วยสีหน้าประจบเอาใจว่า “ประธานหลิว เชิญท่านก่อนครับ!”
รองประธานหลิวเดินเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง แล้วค่อยๆเดินตรงไปยังลิฟต์
ยามรักษาความปลอดภัยก็รีบกระซิบบอกพนักงานสาวหน้าเคาน์เตอร์ว่า “รีบโทรศัพท์ไปบอกผู้จัดการหลันเร็ว”
หลันโร่หลินกำลังตรวจดูบัญชีของบริษัทย่อยอยู่ภายในห้องทำงาน ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
หลังจากรับสายโทรศัพท์แล้ว หลันโร่หลินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ประธานหลิว? หรือว่าจะเป็นรองประธานหลิวของสำนักงานใหญ่หัวหยา กรุ๊ป?”
“ได้ ฉันรู้แล้ว”
เพิ่งจะวางหูโทรศัพท์ลง ประตูของห้องทำงานก็ถูกผลักออกอย่างแรงทันที ประธานเหยียนและผู้จัดการจางรวมทั้งรองประธานหลิว ก็ก้าวเท้าเดินเข้ามาในห้องทำงาน
“ประธานหลันครับ นึกไม่ถึงล่ะสิ พวกเราก็ได้มาพบหน้าอีกครั้งเร็วขนาดนี้” ผู้จัดการจางพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
หลันโร่หลินไม่ได้ไปสนใจเขา แต่สายตาหยุดมองไปที่ตัวของรองประธานหลิวที่ยืนยิ้มอยู่
“ท่านก็คือรองประธานหลิวเหรอคะ?” หลันโร่หลินก็เคยได้เห็นหน้ารองประธานหลิวเพียงครั้งหนึ่งในที่การประชุมของสำนักงานใหญ่เท่านั้น จึงไม่ค่อยแน่ใจนัก
รองประธานหลิวยิ้มอย่างเสแสร้งแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าประธานหลันยังจำผมได้ ผมคิดว่าตัวเองเป็นแค่รองประธาน คงถูกคนอื่นลืมไปหมดแล้ว”
คนที่มาเจตนาไม่ดีแน่!
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของรองประธานหลิวคนนี้แล้ว ก็สามารถฟังออกได้
หลันโร่หลินไม่ค่อยชอบหน้าคนนี้เป็นอย่างมาก เพราะว่าสายตาที่เขามองตัวเองนั้น แฝงไปด้วยกลิ่นอายการรุกรานที่รุนแรงเช่นนั้น แทบจะอยากถลกหนังกลืนกินตัวเองเลยทีเดียว
แต่ว่า ด้วยตำแหน่งของรองประธานหลิวที่สูงกว่าเธอ ถึงแม้เธอเป็นประธานของบริษัทหวนตี้ก็จริง แต่รองประธานหลิวเป็นถึงรองประธานหัวหยา กรุ๊ป อีกทั้งยังถือหุ้นอยู่ในมืออีกด้วย ดังนั้น หลันโร่หลินก็ยังคงเป็นลูกน้องของเขาอยู่ดี
หลันโร่หลินจึงอดกลั้นเก็บความรู้สึกที่ไม่ดีเอาไว้ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รองประธานหลิวพูดเล่นแล้ว ในหัวหยา กรุ๊ปทั้งหมดมีใครบ้างที่ไม่รู้จักชื่อของรองประธานหลิว เพียงแต่ไม่ทราบว่า รองประธานหลิวมาที่บริษัทหวนตี้อย่างกะทันหันเช่นนี้ มีคำชี้แนะอะไรคะ?”
พอพูดจบ หลันโร่หลินก็กวาดสายตาไปยังผู้จัดการจางและประธานเหยียนอย่างเหยียดหยาม แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “หวังว่ารองประธานหลิวคงไม่ได้หลงเชื่อคำยุแยงของพวกคนถ่อย ถูกพวกคนถ่อยเขาหลอกเอานะคะ!”
รองประธานหลิวก็หัวเราะ “ประธานหลันครับ คุณกำลังจะบอกว่าผมแก่แล้วสายตาฝ้าฟาง หรือว่ากำลังดูถูกฉันว่าไร้ความสามารถล่ะ?”
หลันโร่หลินขมวดคิ้ว “รองประธานหลิวคะ ท่านเข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันเพียงแต่อยากเจอเตือนสติท่าน อย่าได้ถูกพวกคนถ่อยหลอกใช้เท่านั้นเอง”
รองประธานหลิวพูดว่า “คนถ่อยเหรอ? คุณกำลังว่าประธานเหยียนและผู้จัดการจางเป็นคนถ่อยเหรอ?”
“สองคนนี้ทำงานตั้งแต่ตอนที่ท่านประธานเฉินยังอยู่หวนตี้เลย ตอนนั้นก็ยังเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหวนตี้สาขาย่อยในจงโจวแล้ว ตั้งใจทำงานเพื่อพัฒนาบริษัทให้ดียิ่งขึ้น ขยันขันแข็งต่อสู้มานานสิบกว่าปีแล้ว”
“แต่กลับตรงข้ามพอประธานหลันเพิ่งขึ้นมารับตำแหน่งใหม่ ก็ไล่พวกเขาออกไปแล้ว ฉันก็อยากจะถามหน่อยว่า ใครกันแน่ที่เป็นคนถ่อย?”
ประธานเหยียนและผู้จัดการจางสีหน้าแสดงออกถึงความฮึกเหิมลำพองใจ รู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวรองประธานหลิวจนยอมสยบแทบเท้าเลยทีเดียว
“ประธานหลัน ได้ข่าวว่าคุณไล่คนที่รับผิดชอบในเครือบริษัทสาขาย่อยหลายคนออกแล้ว นี่คุณคิดจะทำอะไรกันแน่? จะยึดอำนาจหรือไง? หรือว่าคิดจะอาศัยอำนาจเพื่อหาประโยชน์ใส่ตัว เอาญาติสนิทมิตรสหายของตัวเองเข้ามาทำงานในบริษัทนี้เหรอ?” รองประธานหลิวพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย
ผู้จัดการจางก็ถือโอกาสพูดกล่าวโทษว่า “คุณทำเพื่อไอ้หนุ่มหน้าจืดคนหนึ่ง ถึงกับอ้างงานบังหน้าหาประโยชน์ใส่ตัว อาศัยอำนาจในมือของตัวเอง มาไล่ฉันกับประธานเหยียนออกจากงาน!”
“เห็นได้ชัดว่าฉันเป็นคนฝ่ายเสียหาย แต่คุณในฐานะประธานบริษัท ไม่ทำเพื่อปกป้องพนักงานของตัวเอง แต่กลับทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ผิดทำนองคลองธรรม”
“ประธานหลิวครับ คุณจะต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเราด้วยนะ! เอามอดแมลงของบริษัทพวกนี้ออกไปให้หมดเลย!”
สีหน้าของรองประธานหลิวเคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ประธานหลัน นี่ก็คือเรื่องที่คุณได้ทำไว้ใช่ไหม?”
“คุณทำอย่างนี้ ไม่รู้สึกผิดต่อความไว้วางใจที่บริษัทมอบให้กับคุณบ้างเลยเหรอ?”
“เมื่อก่อนเคยได้ยินมาว่าประธานหลันอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด ยังคิดว่าประธานหลันเป็นคนที่มีความประพฤติดีรักนวลสงวนตัว คิดไม่ถึงเลยว่าถึงกับมีรสนิยมความชอบแบบนี้ด้วย”
ประธานเหยียนยืนอยู่ด้านข้างพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “นั่นน่ะสิ ไอ้หนุ่มหน้าจืดคนนั้นมีอะไรดี! รูปลักษณ์ภายนอกสวยงามเท่านั้นเอง ดูดีแต่ไร้ประโยชน์ ถ้าหากจะหาผู้ชายคนหนึ่งละก็ หันมาสนใจประธานหลิวของพวกเราอย่างนี้ดีกว่า มีเสน่ห์ร้อนแรง แล้วยังมีเงินทองมากมายอีกด้วย!”
หลันโร่หลินไม่ได้ไปสนใจคนทั้งสอง หันไปถามรองประธานหลิวว่า “พูดแบบนี้ ท่านรองประธานหลิวมาคราวนี้จะมาสืบสาวราวเรื่องเพื่อเอาผิดกับฉันใช่ไหม?”
รองประธานหลิวทำท่าทางเคร่งขรึมวางตัวเป็นกลาง “อย่าพูดน่าเกลียดอย่างนั้นเลย ผมก็แค่ได้รับการรายงานจากพนักงานของบริษัท จึงเข้ามาดูหน่อยเท่านั้นเอง”
“ถ้าประธานหลันคิดว่าตัวเองถูกใส่ร้ายละก็ สามารถจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้”
ผู้จัดการจางร้องตะโกนพูดว่า “ถูกต้อง ไปเรียกไอ้หนุ่มหน้าจืดคนนั้นออกมา พิสูจน์ต่อหน้ากันเลย ฉันจำได้ว่าตอนนั้นประธานหลิวยังเกรงใจเขามากเลย ตอนนั้นฉันก็ยังรู้สึกแปลกใจว่า เขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุแค่ยี่สิบต้นๆเท่านั้นเอง แล้วมันเรื่องอะไรที่คนระดับประธานบริษัทหวนตี้อย่างคุณจะต้องเกรงใจเขาขนาดนั้นด้วย”
“หลังจากนั้นแล้วฉันถึงได้เข้าใจแล้วว่า ความสัมพันธ์ของพวกคุณสองคน มันต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน”
หลันโร่หลินหัวเราะขึ้นมาทันที “พวกคุณสองคนเพื่อใส่ร้ายป้ายสีฉันแล้ว ถึงกับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายเชียวเหรอ?”
“พวกคุณอยากจะให้ฉันเรียกเด็กหนุ่มหน้าจืดคนนั้นมาพิสูจน์ต่อหน้ากันใช่ไหม?”
“ฉันตกลงพวกคุณก็ได้ แต่หวังว่าถึงเวลานั้นพวกคุณอย่าเสียใจก็แล้วกัน”
เดิมทีหลันโร่หลินรู้สึกโกรธเคืองมาก รู้สึกผิดหวังต่อรองประธานหลิวคนนี้เป็นอย่างมาก แต่ว่าเมื่อได้ยินประธานเหยียนและผู้จัดการจางทั้งสองคนนี้ ต่างก็เรียกร้องให้เรียกหนุ่มหน้าจืดมาให้ได้ ในใจของหลันโร่หลินจึงเกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า ถ้าพวกคุณรู้ว่าหนุ่มหน้าจืดคนนี้ ก็คือเจ้านายใหญ่ตัวจริงของหัวหยา กรุ๊ปแล้วละก็ จะทำหน้ากันยังไง?”
เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว หลันโร่หลินก็โทรศัพท์ไปหาหลินหยุน
“คุณหลินคะ ฉันทางนี้เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย คุณควรเข้ามาด้วยตัวเองสักครั้งจะเป็นการดีที่สุด”
เสียงที่เรียบเฉยของหลินหยุนพูดดังขึ้นจากโทรศัพท์ทางนั้นว่า “ได้ครับ”