จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 684 กลับตระกูลหลิน
หลินหยุนซาบซึ้งปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก
หวางซูเฟินสามารถที่จะทำเพื่อบุตรบุญธรรมที่เพิ่งรับมาได้ไม่นาน โดยยอมสละแรงกายแรงใจมากขนาดนี้ เพื่อให้ได้การยอมรับจากเจ้าบ้านตระกูลหลิน
นั่นแสดงว่า ในใจของหวางซูเฟินแทบจะคิดว่าหลินหยุนเหมือนกับเป็นลูกชายแท้ ๆ ของตัวเอง
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถคาดเดาได้เลยว่า หลายปีมานี้หวางซูเฟินคิดถึงลูกชาย มากมายถึงระดับไหนแล้ว
หลินหยุนละอายใจอยู่บ้าง ถึงขนาดมีความไหวหวั่นเล็กน้อย ที่คิดจะยอมรับตามจริงว่าตนเองก็คือลูกชายแท้ ๆ ที่พลัดพรากจากหวางซูเฟินไปนานหลายปี
แต่ว่า สติสัมปชัญญะบอกกับหลินหยุนว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา อีกทั้งถ้าหากเขายอมรับออกมาแล้ว หวางซูเฟินกับหลินตงหัวอาจจะไม่เชื่อก็เป็นได้
หลินตงหัวพูดขึ้นว่า: “เตรียมพร้อมเสร็จกันแล้วใช่ไหม? หากพร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันเถอะ! ”
“อืม” หวางซูเฟินพยักหน้า
จากนั้น ทั้งสี่คน ก็เดินทางจากจงโจวไปยังอูซู
ในอูซูนั้นตระกูลหลิน ถือว่าเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ มีแบ่งแยกออกเป็นหลายสาขา ในช่วงปีใหม่ของทุกปี คนของตระกูลหลินในแต่ละสาขา ต่างก็กลับมาคฤหาสน์ตระกูลหลินในอูซูเพื่อร่วมฉลองข้ามปี หรือที่เรียกว่างานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลิน
แม้ว่าต่างก็เป็นคนตระกูลหลิน แต่ว่า สถานที่ที่มีคนก็จะต้องมีสังคมมีสถานะแตกต่างกันออกไป
เมื่อเหล่าญาติพี่น้องมารวมตัวกัน ก็จะมีการเปรียบเทียบซึ่งกันและกันซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ขาดไม่ได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ แต่ละคนต่างก็มีคนที่รังเกียจไม่ชอบพอ และก็มีคนที่ต้องการจะประจบเอาใจ ดังนั้น งานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลินทุกครั้ง ก็จะกลายเป็น งานเลี้ยงพบปะที่ญาติพี่น้องมีการเปรียบเทียบซึ่งกันและกัน และมีการตีสนิทสร้างความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
หลังจากที่หลินหยุนและคนอื่น ๆ มาถึงที่ตระกูลหลินแล้ว ก็ถูกหลินตงถิงลูกชายคนโตของตระกูลหลินที่เป็นผู้รับผิดชอบจัดการเรื่องราวภายในตระกูล ซึ่งก็คือพ่อของหลินโล่เฉิน จัดแจงให้ไปพักอยู่ที่ตึกอาคารหลังหนึ่ง
เจ้าบ้านหลินซื่อเฉิง ซึ่งก็คือคุณปู่ของหลินหยุน เวลานี้ได้ล่วงหน้ากลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลินเพื่อเตรียมการก่อนแล้ว ดังนั้นตระกูลหลินที่อูซู ก็มีหลินตงถิงลูกชายคนโตเป็นคนคอยจัดการดูแล
หวางซูเฟินกับหลินตงหัวต่างก็เคยชินแล้ว งานเลี้ยงตระกูลหลินในทุกปีก็จะมีขั้นตอนในลักษณะนี้
หวางซูเฟินอธิบายให้หลินหยุนฟังเป็นพิเศษ โดยหลินหยุนก็ตั้งใจฟังอย่างสงบ ที่จริงแล้ว หลินหยุน ก็ทราบมาก่อนแล้วถึงขั้นตอนในลักษณะนี้
หลินหยุนพักอยู่ที่นี่กับคนในครอบครัวเป็นเวลาสองวัน โดยที่ไม่ค่อยได้ออกจากบ้าน
ในระหว่างนั้น หลินโร่สุ่ยได้มาหาหลายครั้ง ซึ่งในแต่ละวันได้แวะมาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นกับพวกหลินหยุนจนมืดค่ำถึงจะกลับบ้าน
หวางซูเฟินกับหลินตงหัวก็ค่อนข้างชื่นชอบในตัวของหลินโร่สุ่ยที่เป็นหญิงสาวที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ถึงขนาดที่ว่าหวางซูเฟินยังรู้สึกเสียดาย หากว่าฉินหลันไม่อยู่ที่นี่ ก็คงจะพิจารณาแนะนำหลินโร่สุ่ยให้กับหลินหยุนแล้ว
เพียงคำพูดเดียวถึงกับทำให้ฉินหลันหน้าตาแดงก่ำขั้นเลยทีเดียว
ส่วนหลินหยุนเองไม่เป็นอะไร เพราะว่าเขาเป็นคนชราที่ดำรงชีวิตมาหลายร้อยปีแล้ว หนังหน้าค่อนข้างที่จะหนาอยู่พอสมควร
ประเดี๋ยวเดียวก็ถึงวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติแล้ว
ในช่วงเช้าของวันนี้ หลินหยุนกับครอบครัวทั้งสี่คน กำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก ทันใดนั้นหลินเห้าก็มาถึง
เมื่อเห็นหลินเห้า สีหน้าของหวางซูเฟินก็เย็นชาขึ้น ฉินหลันไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก ส่วนหลินหยุนก็มีสีหน้าท่าทางที่เฉยชา
หลินตงหัวในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส แม้ว่าในใจจะไม่ชื่นชอบหลินเห้า แต่ว่า ก็ยังคงให้เกียรติกันอยู่
“เสี่ยวเห้าล่ะสิ มีธุระอะไร? ”
หลินเห้าใช้สายตาอันหยิ่งยโสมองไปที่หลินหยุน พร้อมกับเผยท่าทางที่เหยียดหยามออกมา
“คุณลุงหลิน คุณป้าหวาง คุณลุงตงถิงให้ฉันมาบอกกับทุกคนว่า วันนี้ตอนเที่ยงทุกคนรวมตัวกัน แล้วตอนบ่ายเดินทางกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน”
“ตกลง เสี่ยวเห้าจะเข้ามาดื่มน้ำชาก่อนไหมล่ะ? ” หลินตงหัวถามขึ้นด้วยความยิ้มแย้ม
“ไม่ต้องหรอก ฉันจะต้องไปบอกกับคนอื่นให้รับทราบอีก! ” หลินเห้าพูดจบ ก็หันหลังเดินจากไป ด้วยท่าทางที่หยิ่งยโส
“ฮึ ไอ้เด็กคนนี้ นี่คือท่าทางที่ใช้ปฏิบัติต่อผู้ใหญ่อย่างนั้นเหรอ? ” แม้ว่าหวางซูเฟินจะเคยชินกับลักษณะท่าทางของคนตระกูลหลินที่ปฏิบัติกับเธอแล้ว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องตะโกนด่าด้วยความโมโห
หลินตงหัวถอนหายใจ: “ช่างมันเถอะ ก็แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น จะไปคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับเขาล่ะ! ”
หวางซูเฟินพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็ก แล้วผู้ใหญ่ล่ะ? พวกคุณตระกูลหลิน นอกจากนายท่านผู้เป็นเจ้าบ้านแล้ว ยังจะมีใครอีกไหมที่มองพวกเราด้วยสายตาปกติ! ”
ได้ยินหวางซูเฟินบ่น หลินตงหัวก็ถอนหายใจอีกครั้ง โดยที่ไม่พูดอะไร
หลินหยุนก็เข้าใจเป็นอย่างดี ต่อลักษณะท่าทางของพวกญาติพี่น้องทั้งหลาย โดยทั้งตระกูลหลิน มีเพียงแค่คุณปู่หลินซื่อเฉิงคนเดียวเท่านั้นที่ดีกับพวกเขา แน่นอนว่า ยังมีพวกญาติพี่น้องอีกบางคนที่ก็ถือว่าดี แต่ก็มีจำนวนน้อย โดยทั้งตระกูลหลิน มีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน
ถ้าหากคุณปู่หลินซื่อเฉิงไม่ได้เป็นเจ้าบ้านตระกูลหลินแล้ว หลินหยุนก็คงจะไม่มีความรู้สึกผูกพันธ์อะไรกับตระกูลหลินแม้แต่น้อย
และก็เป็นเพราะว่านายท่านหลินซื่อเฉิงเป็นเจ้าบ้านตระกูลหลิน ดังนั้นหลินหยุนจึงคิดว่าตนเองเป็นคนในตระกูลหลินด้วย
หวางซูเฟินก็เพียงแค่บ่นเล็กน้อยเท่านั้น ที่จริงในใจของเธอก็เคยชินแล้ว อีกทั้ง ที่คนตระกูลหลินปฏิบัติอย่างเย็นชาต่อพวกเขาเช่นนี้ เหตุผลหลักก็เป็นเพราะตัวหวางซูเฟินเอง
ในปีนั้นที่หวางซูเฟินกับหลินตงหัวอยู่ด้วยกัน ไม่เพียงแต่ถูกคัดค้านจากตระกูลหวางแห่งเมืองหลวงเท่านั้น แม้แต่ตระกูลหลินเองก็คัดค้านมากกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์
แม้ว่าตระกูลหลินจะเป็นวงศ์ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในอูซู แต่ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลหวางที่เป็นถึงผู้นำของวงศ์ตระกูลใหญ่ทั้งสี่แห่งเมืองหลวงแล้ว ก็ถือว่ายังด้อยกว่ากันมากเหลือเกิน
ตระกูลหวางสามารถจัดการให้ตระกูลหลินสูญสิ้นไปโดยง่ายดาย
และในตอนนั้นหวางจิงหลงที่ต้องการยุติการแต่งงานของหลินตงหัวกับหวางซูเฟิน ก็ได้พูดขึ้นว่า ถ้าหากตระกูลหลินกล้าที่จะตอบรับการแต่งงานในครั้งนี้ ก็จะทำให้ตระกูลหลินสูญสิ้นไปจากอูซู
ได้ยินเรื่องราวแบบนี้แล้ว ทุกคนของตระกูลหลินต่างก็ทยอยกล่าวเตือนหลินตงหัว ให้เขายอมทอดทิ้งหวางซูเฟินไป เพราะตระกูลหลินไม่สามารถที่จะอาจเอื้อมต่อตระกูลหวางได้
ยังมีคนพูดอีกว่า หลินตงหัวที่ต่ำต้อยอย่าได้คิดหวังหมายปองหญิงที่สูงศักดิ์ หากว่าไม่สามารถที่จะอาจเอื้อมขึ้นเป็นญาติพี่น้องกับตระกูลหวางได้ แต่กลับทำให้ตระกูลหวางต้องโมโห นั่นจะส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลหลิน
แม้ว่าในตอนนั้นคนตระกูลหลินจะกล่าวเตือนไม่หยุด แต่ว่า นายท่านหลินซื่อเฉิงก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาเลย จนกระทั่ง เขาได้ไปหาหลินตงหัวเป็นการส่วนตัว เพื่อให้หลินตงหัวเคารพในความคิดเห็นของตนเอง
แม้ว่านายท่านหลินจะไม่ได้พูดออกมาชัดเจน แต่ว่าความหมายของการสนับสนุนในคำพูดนั้นมันชัดเจนอยู่แล้ว
หลินตงหัวรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก แต่ว่า เขาไม่ต้องการเพียงเพราะความรักของเขาคนเดียว กลับต้องทำให้ทั้งตระกูลได้รับความเดือดร้อน
ดังนั้น ในที่สุดหลินตงหัวก็ต้องจำใจ ยอมออกไปจากตระกูลหลินเพียงลำพัง
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้หลายคนถึงกับต้องเผยท่าทางที่ย่ำแย่ออกมา
แม้ว่าสุดท้ายระหว่างตระกูลหวางกับตระกูลหลินจะไม่มีการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น แต่พวกคนของตระกูลหลินนั้น กลับเป็นเพราะเหตุนี้จึงได้รังเกียจหวางซูเฟิน
ก่อนหน้านี้หวางซูเฟินเป็นคุณหนูตระกูลหวาง พวกเขาไม่กล้าที่จะหาเรื่อง ตอนนี้หวางซูเฟินถูกขับไล่ออกจากตระกูลหวางแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องแก้แค้นจากการที่ถูกตระกูลหวางข่มขู่ในตอนนั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาต้องการที่จะอาศัยการว่ากล่าวโจมตีหวางซูเฟินนี้ เพื่อกอบกู้เกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองกลับคืนมา
นี่ก็คือเหตุผลที่ตระกูลหลินทำไมถึงต้องมองครอบครัวของหวางซูเฟินว่าเป็นศัตรู
หวางซูเฟินพูดบ่นสองสามคำ ก็หยุดลงแล้ว และหันหน้าไปพูดกับหลินหยุนว่า: “หลินหยุน คนของตระกูลหลิน ปฏิบัติไม่ค่อยดีกับพวกเรา ดังนั้น ต่อไปนายจะต้องระมัดระวังให้มากเอาไว้ อย่าได้ถูกพวกเขาจับผิดได้! ”
หลินหยุนพยักหน้า: “ฉันเข้าใจแล้ว”
หลินตงหัวเหมือนกับรู้สึกว่าตนเองค่อนข้างจะไม่ได้เรื่อง จึงได้พูดเสริมขึ้นว่า: “ไม่ถึงกับต้องระมัดระวังมากเกินไป เพราะนายท่านก็ยังคงมีความยุติธรรมอยู่ ถ้าหากเกิดเรื่องอะไร เขาจะออกหน้าเป็นคนตัดสินให้กับพวกเราแน่นอน”
“อืม” หลินหยุนพยักหน้า เมื่อคิดถึงคุณปู่หลินซื่อเฉิง ชายชราผู้ที่ภายนอกมีท่าทางอ่อนโยน แต่กลับมีความเข้มแข็งอยู่ภายใน ซื่อสัตย์และมีความเมตตา ซึ่งในใจของหลินหยุนมีความคาดหวังที่จะพบเจอเป็นอย่างมาก
“ไปกันเถอะ มาดูกันว่าในปีนี้พวกคนเหล่านั้นจะมาโจมตีพวกเราในรูปแบบไหนอีก! ” หวางซูเฟินพูดขึ้นอย่างเย็นชา
หลินตงหัวถอนหายใจ ลุกยืนขึ้นแล้วพูดว่า: “ไปกันเถอะ! ”
ตระกูลหลินมีร้านอาหารของตัวเองโดยเฉพาะ กว้างขวางโอ่อ่า และหรูหรามีระดับ
ตกแต่งสไตล์จีนย้อนยุค มองดูแล้วเต็มไปด้วยความรู้สึกทางประวัติศาสตร์ เมื่อรับประทานอาหารที่นี่ ก็เหมือนกับอยู่ในบรรยากาศที่จริงจัง
โต๊ะกลมเก้าตัวต่างก็นั่งกันจมเต็มแล้ว มีจำนวนเกือบสองร้อยคน ลูกหลานของตระกูลหลินในรุ่นนี้ค่อนข้างมากมายพอตัว
แต่ว่า คนเก่งมีความสามารถกลับมีจำนวนน้อย นับตั้งแต่ที่ตระกูลหวางข่มขู่ตระกูลหลินเป็นต้นมา ความสามารถโดยภาพรวมของตระกูลหลินนั้น ก็เริ่มลดลงมาโดยตลอด
แม้ว่าตระกูลหวางจะยังไม่ได้ลงมือจัดการกับตระกูลหลิน แต่ว่า ก็ได้มีการปล่อยข่าวออกมาบ้าง ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้พวกนักธุรกิจที่มีมุมมองความคิดที่ว่องไว ได้ทำการปรับเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญแล้ว