จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 686 หลินหยุนเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ
สวี่เหม่ยเย้นพูดขึ้นอีกว่า: “หลินเห้าเด็กคนนี้ก็ไม่เลวเลย ได้ยินว่าการสอบครั้งที่แล้วก็ได้คะแนนดีอันดับต้น ๆ! ”
พ่อแม่ของหลินเห้ายิ้มและพูดขึ้นอย่างถ่อมตัว: “แค่อันดับที่ห้าเอง ยังต้องปรับปรุงอีกมาก! ”
แต่ว่า สีหน้าท่าทางที่ภาคภูมิใจของทั้งสองคนนั้น ทุกคนต่างก็มองออกกันอย่างชัดเจน
หลินเห้าที่นั่งอยู่ ก็แสดงท่าทางภาคภูมิใจออกมา แล้วมองไปที่หลินหยุนอย่างเย็นชา เหมือนเป็นการโอ้อวด
“หลินจื่อเชียนลูกของพี่ชายเจ็ดก็ไม่เลวเช่นกัน ได้ยินว่าการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย สอบได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ต่อไปคงจะมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน! ”
ทุกคนต่างก็พูดคุยกันคนละคำสองคำ เธอชื่นชมลูกของฉันสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ฉันก็ชื่นชมลูกของเธอว่ามีพรสวรรค์มีความสามารถ
โดยแต่ละคนต่างก็โอ้อวดเยินยอลูกของตนเองกันไม่หยุด
สวี่เหม่ยเย้นกวาดสายตามองไปที่หวางซูเฟินอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เห็นว่าหวางซูเฟินมีสีหน้าที่ย่ำแย่ ในใจก็ยิ่งมีความสะใจมากขึ้นไปอีก
“พูดตามตรงนะว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็คือโล่เฉินลูกชายของพี่ใหญ่ตงถิง เด็กคนนี้คืออัจฉริยะที่หนึ่งอย่างคู่ควรที่สุดแห่งตระกูลหลินของพวกเรา! ”
“พูดได้ถูกต้อง โล่เฉินเด็กคนนี้ต่อไปก็คงจะเป็นเสาหลักสำคัญของพวกเราตระกูลหลินแล้ว ในอนาคตจะทำให้ตระกูลหลินของพวกเรายิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างแน่นอน”
“ถูกต้อง อนาคตพวกเราตระกูลหลิน ก็ต้องอาศัยโล่เฉินแล้ว! ”
หลินตงถิงกับภรรยาต่างก็ยิ้มแย้มและพูดขึ้นอย่างถ่อมตัวว่า: “ทุกคนชื่นชมกันเกินไปแล้ว โล่เฉินเด็กคนนี้มีพรสวรรค์อยู่บ้าง และก็ขยันมุมานะ แต่ว่าก็ยังมีข้อที่ขาดตกบกพร่องอีกมาก ต่อไปจะต้องศึกษาเรียนรู้ให้มากขึ้นอีก”
แม้ว่าทั้งสองคนจะมีสีหน้าท่าทางที่ถ่อมตัว แต่ว่า ในใจมีความสุขเบิกบานใจอย่างที่สุด
พูดได้ว่า หลินโล่เฉินก็คือความภาคภูมิใจของพวกเขาทั้งสองคน
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าหลินโล่เฉิน บางทีหลินตงถิงผู้ที่เป็นลูกชายคนโตของตระกูลหลิน อาจจะไม่สามารถได้รับหน้าที่ผู้ดูแลจัดการแทนเจ้าบ้านก็เป็นได้
สวี่เหม่ยเย้นชื่นชมหลินโล่เฉิน หลินตงถิงก็ต้องชื่นชมกลับตามธรรมเนียม โดยพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม: “ที่จริงแล้วฉันคิดว่าโร่หลันกับโร่สุ่ยสองพี่น้อง ไม่เลวเลยจริง ๆ ต่อไปตงเย่วกับพวกเธอทั้งสองคน จะต้องดูแลอบรมเอาใจใส่ให้เป็นอย่างดี ความสำเร็จต่อไปในอนาคต คงไม่ต่ำไปกว่าโล่เฉินของฉันแน่นอน! ”
หลินตงเย่วพูดอย่างยิ้มแย้มว่า: “พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้องเลย ฉันจะดูแลอบรมพวกเธอสองพี่น้องเป็นอย่างดีแน่นอน”
สวี่เหม่ยเย้นก็พูดอย่างยิ้มแย้มว่า: “พี่ใหญ่วางใจได้ พวกเราสองสามีภรรยาไม่มีความสามารถอะไร แต่ที่สามารถเลี้ยงดูอบรมให้โร่หลันกับโร่สุ่ยสองพี่น้องได้ดีอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากที่สุดแล้ว”
“ต่อให้ประกอบธุรกิจที่ใหญ่โตแค่ไหน แต่เมื่อถึงตอนนั้นไม่มีผู้สืบทอด ไม่ใช่ว่าจะเสียแรงเสียความพยายามไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกเหรอ? ”
ขณะที่พูดคำนี้ขึ้น สวี่เหม่ยเย้นก็ทำเป็นชำเลืองมองไปที่หวางซูเฟินโดยไม่ได้ตั้งใจ
หานเจียวเจียวที่อยู่ด้านข้าง ก็ยิ้มเยาะเมื่อเห็นคนอื่นเป็นทุกข์และพูดขึ้นว่า: “พี่เหม่ยเย้นพูดได้ถูกต้องเลย ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนที่แม้แต่ผู้สืบทอดก็ยังไม่มี จะยังมีอะไรที่น่าโอ้อวดอยู่อีกล่ะ! ”
“แม้ว่าจะมีเงินทองมากเท่าไหร่ เมื่อตายไปแล้วสามารถนำติดตัวไปได้สักแดงเดียวไหม? ”
คำพูดนี้มันช่างเจาะจงชัดเจนเสียจริง
สายตาของทุกคน ต่างก็มองไปยังหวางซูเฟินกับหลินตงหัว พร้อมกับแสดงท่าทางดีใจเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์
เปรี๊ยะ!
หวางซูเฟินได้นำตะเกียบตบลงไปบนโต๊ะทันที และลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว: “ฉันทานอิ่มแล้ว พวกคุณค่อย ๆ ทานกันต่อเถอะ”
“ประธานกรรมการ! ” ฉินหลันเรียกขึ้น แล้วก็ติดตามหวางซูเฟินออกไป
หลินหยุนก็มีสีหน้าที่เย็นชา แล้วก็ตามออกไปอีก
หลินตงหัวยืนขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียด และพูดกับทุกคนว่า: “ทุกท่านค่อย ๆ ทาน ฉันจะตามไปดูสักหน่อย! ”
ครอบครัวทั้งสี่คน พริบตาเดียวก็เดินจากไปกันหมด
เมื่อหวางซูเฟินไปแล้ว หานเจียวเจียวก็ยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้นทันที: “ฮึ ยังคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูแห่งตระกูลหวางอยู่อีกเหรอ! ยังจะมาทำหน้าตาบูดเบี้ยวให้ใครดูกันล่ะ? หากไม่ใช่เพราะเธอ พวกเราตระกูลหลินก็คงจะไม่ไปล่วงเกินตระกูลหวางหรอก! ”
“ตอนนี้พวกเราตระกูลหลินก็คงไม่ถึงกับต้องตกต่ำแบบนี้มาโดยตลอด! ”
คนอื่นแม้ว่าในใจจะกล่าวโทษหวางซูเฟิน แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา มีเพียงแค่หานเจียวเจียวเท่านั้น ที่เมื่อครู่เสียหน้าให้กับหวางซูเฟิน ตอนนี้จึงได้ว่ากล่าวโจมตีใส่หวางซูเฟินอย่างถึงที่สุด
หานเจียวเจียวกวาดสายตามองไปยังทุกคน ในใจโมโหขึ้นเล็กน้อย: “ทำไมต่างก็ไม่พูดกันบ้างล่ะ? หรือว่าพวกเธอต่างลืมกันไปหมดแล้ว ที่ในตอนนั้นตระกูลหวางข่มเหงรังแกพวกเราตระกูลหลินมากขนาดไหน? ”
“หากไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้น พวกเราตระกูลหลินจะอยู่ในสภาพที่ตกต่ำขนาดนี้เลยเหรอ? ”
หลินตงถิงตวาดขึ้นเบา ๆ และพูดอย่างจริงจังว่า: “พอได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเราก็คือตระกูลเดียวกัน ซึ่งคำพูดเหล่านี้อย่าได้ให้เจ้าบ้านได้ยินโดยเด็ดขาด”
หานเจียวเจียวส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา และไม่พูดอะไรอีก โดยที่เจ้าบ้านนั้นรังเกียจผู้ที่ชอบว่ากล่าวหวางซูเฟินลับหลังเป็นอย่างที่สุด ซึ่งเธอก็อาศัยในช่วงที่เจ้าบ้านไม่อยู่ จึงกล้าที่จะพูดบ่น
หวางซูเฟินโมโหจนหน้าตาขาวซีด และกลับเข้าสู่ที่พัก
ฉินหลันยกน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว และพูดปลอบใจว่า: “ประธานกรรมการ ทำไมจะต้องไปโกธรเคืองกับคนชั่วพวกนี้ด้วยล่ะ หากโมโหมากไปจนส่งผลเสียต่อร่างกายมันจะไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย! ”
หวางซูเฟินเบ้าตาแดงก่ำหมดแล้ว และพูดขึ้นด้วยความโกรธ: “คนพวกนี้รู้อยู่แก่ใจว่าลูกของฉันหายสาบสูญไป แล้วยังจะนำเรื่องนี้มาพูดเสียดสียั่วยุฉันอีก! ”
“หลายปีมานี้ ฉันทำผิดอะไรต่อพวกเขาตระกูลหลินด้วยล่ะ! ”
“ที่น่าโมโหที่สุดก็คือไอ้หานเจียวเจียวนั่น หลายปีมานี้ บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปทำธุรกิจร่วมกับพวกเขาโดยที่ต้องขาดทุนมาโดยตลอด ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้สึกซาบซึ้งแม้แต่น้อย และยังจะเป็นผู้นำพูดทิ่มแทงทำร้ายจิตใจฉันอีก! ”
“นี่มันไม่ใช่คนเนรคุณหรอกเหรอ? ”
“เธอก็เป็นคนอย่างนั้น ทุกคนมีใครไม่ทราบบ้างล่ะ แล้วทำไมจะต้องโมโหเธอมากขนาดนี้ด้วย? ” หลินตงหัวเดินเข้ามาจากด้านนอก พูดโน้มน้าวขึ้นอย่างใจเย็น
หวางซูเฟินจ้องมองไปที่หลินตงหัวอย่างเย็นชา และพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า: “พวกเขาว่ากล่าวโจมตีฉัน ทำให้ฉันต้องอับอาย ฉันสามารถอดทนได้ แต่ทำไมต้องนำเรื่องของลูกมาโจมตีฉันด้วย? หลายปีมานี้ฉันคิดถึงลูกมากแค่ไหนคุณรู้บ้างไหม? ”
หลินตงหัวถอนหายใจยาว สีหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกผิด: “เป็นความผิดของฉันเอง ที่ไม่สามารถปกป้องดูแลลูกชายของพวกเราให้ดี”
หลินหยุนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบสงบ และมองไปยังพ่อแม่ที่ใบหน้าแสดงออกถึงอาการคิดถึงอย่างสุดซึ้งและความปวดร้าวในจิตใจ ทำให้อารมณ์โกรธของเขาก็ได้พุ่งขึ้นมา
“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า คำพูดของพวกญาติพี่น้องเหล่านี้จะรุนแรงเลวร้ายเหลือเกิน โดยในทุกคำพูด ต่างก็ทิ่มแทงเข้าไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุดของคุณแม่”
“ก็เหมือนกับโรยเกลือลงไปบนบาดแผล มันช่างโหดร้ายยิ่งนัก! ”
“วันนี้เป็นเพียงแค่การรวมตัวกันของพวกญาติพี่น้องเท่านั้น พวกเขายังทำกันถึงขนาดนี้ ถ้าหากตอนที่งานเลี้ยงปีใหม่เริ่มต้นขึ้น พวกญาติพี่น้องเหล่านี้ไม่รู้ว่าจะโจมตีคุณแม่อย่างไรอีก”
“ยังมีหลินโล่เฉินพวกนั้นอีก ที่ตั้งแต่งานเลี้ยงสุดยอดผู้มีอิทธิพลจบลงจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย ดูเหมือนว่า น่าจะกำลังเตรียมวางแผนกลอุบาย คิดที่จะโจมตีอย่างรุนแรงใส่ฉันทีเดียวเลย”
ขณะที่หลินหยุนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หวางซูเฟินก็ได้พูดขึ้นด้วยความสะอึกสะอื้นว่า: “ถ้าหากลูกของฉันยังอยู่ ตอนนี้น่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว! ”
คำพูดนี้ รวบรวมทุกความรู้สึกของแม่ ที่คิดถึงลูกชายมานานสิบกว่าปี
หลินหยุนได้ฟังแล้วถึงกับหวั่นไหว ต่อให้เขามีจิตใจของกษัตริย์เซียนผู้ยิ่งใหญ่ ที่เข้มแข็งและ หนักแน่นราวกับก้อนหิน แต่ก็ยังอดทนไม่ได้ที่จะเกิดความหวั่นไหว
มองเห็นท่าทางที่ปวดร้าวของหวางซูเฟิน หลินหยุนก็ไม่คิดที่จะรออีกต่อแล้ว
“ดูเหมือนว่า สถานะของฉันจำเป็นต้องเปิดเผยก่อนล่วงหน้าแล้ว! ”
“ฉันไม่ยอมที่จะให้พวกญาติพี่น้องเหล่านี้ นำเรื่องลูกมาว่ากล่าวโจมตีคุณแม่ได้อีกเป็นอันขาด! ”
“ไม่ได้ จำเป็นจะต้องจัดเตรียมการอะไรบางอย่างเสียแล้ว……”
หลินหยุนมองไปที่หวางซูเฟิน และพูดขึ้นอย่างลึกลับว่า: “แม่บุญธรรม อย่าได้โมโหไปเลย ไม่แน่ว่าลูกของท่านตอนนี้ก็กำลังตามหาท่านอยู่เช่นกัน อีกไม่กี่วันอาจจะกลับมาหาแล้วก็เป็นได้”
หวางซูเฟินรีบเช็ดน้ำตา เมื่อครู่ที่เธอโมโหนั้น ได้ลืมไปเลยว่ามีหลินหยุนอยู่ด้วย ซึ่งละเลยความรู้สึกของหลินหยุนไปเลย
“เสี่ยวหยุนต้องขอโทษด้วย ฉันเก็บอาการไม่อยู่จริง ๆ”
หลินตงหัวก็พูดโน้มน้าวขึ้นว่า: “ฉันคิดว่าที่เสี่ยวหยุนพูดนั้นถูกต้อง พวกเราหาลูกไม่เจอ ก็แสดงว่าลูกไม่น่าจะเป็นอะไร ไม่แน่ว่าตอนนี้ลูกอาจจะกำลังตามหาพวกเราอยู่ก็เป็นได้”
แววตาของหวางซูเฟินเผยความหวังขึ้นมาเล็กน้อย: “หวังว่าจะเป็นเช่นนี้นะ! ”
ฉินหลันที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองไปที่หลินหยุนด้วยความสับสน ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเธอคนเดียวที่เป็นคนนอก มองไม่ค่อยชัดเจนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ฉินหลันรู้สึกว่าคำพูดของหลินหยุน เหมือนกับว่าแสดงออกถึงอะไรบางอย่าง
แต่ว่า ฉินหลันก็คิดไม่ออกถึงความหมายในคำพูดของหลินหยุน เพราะว่า เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะคิดได้ว่า หลินหยุนก็คือลูกชายแท้ ๆ ของหวางซูเฟิน