จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 691 พวกคุณอย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน
ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายเดิมทีก็อาศัยเรื่องที่หวางซูเฟินไม่มีลูกมาโจมตีเธอ แต่ตอนนี้ ข้อบกพร่องจุดเดียวที่มีอยู่นี้ก็ไม่มีเหลืออีกแล้ว
ทุกคนในตระกูลหลิน ก็หาข้ออ้างอะไรที่จะมาโจมตีหวางซูเฟินไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
หลินหยุนยืนอยู่ตรงหน้าหวางซูเฟิน แล้วหันหน้ากลับมากวาดสายตามองไปยังผู้คน ทั้งหลายด้วยสายตาที่เรียบเฉย
“เมื่อกี้ผมเคยพูดไว้ว่า ถ้าหากผมต้องการจะกลับเข้ามาในตระกูลหลินละก็ พวกคุณใครก็ไม่สามารถที่จะขัดขวางฉันได้ทั้งนั้น”
น้ำเสียงของหลินหยุนเรียบเฉย แต่ว่าเมื่อทุกคนได้ยินแล้ว กลับดูเหมือนเป็นการเสียดสีที่ทิ่มแทงลึกเข้าไปในหัวใจ
หลินเห้ากัดฟันไว้แน่น แอบกำหมัดแล้วด่าทอว่า “น่าแค้นใจจริงๆ เดิมทีเกือบจะขัดขวางไม่ให้เจ้าเด็กนี่เข้ามาในตระกูลหลินได้สำเร็จแล้วเชียว คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับพลิกเกมกลับมาได้!”
หลินเห้าก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ เขาถึงกับเป็นลูกชายแท้ๆของคุณอาสาม!”
“ตระกูลหลินมีลูกหลานแบบนี้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน นับว่าเป็นความโชคร้ายของตระกูลจริงๆเลย!”
สีหน้าหลินโร่หลันก็รู้สึกประหลาดใจ “เขาถึงกับเป็นลูกชายแท้ๆในไส้ของคุณป้าหวางเชียว!”
“มันเป็นอย่างนี้ได้ยังไง!”
เมื่อหลินโร่หลันคิดถึงว่าทีหลังจะต้องมานับญาติกับคนที่ยโสโอหังอย่างนี้แล้ว ในใจก็รู้สึกขยะแขยง
“หวังว่าแกอย่าทำให้ตระกูลหลินเดือดร้อนก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว ฉันจะไม่ปล่อยแกแน่!”
พวกสวี่เหม่ยเย้นและหานเจียวเจียว สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ? เจ้าเด็กนี่ถึงกับกลายเป็นลูกชายแท้ๆของหวางซูเฟินไปได้!”
“ฮื่อ ต่อให้หาลูกชายในไส้เจอแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ? เจ้าเด็กที่เหิมเกริมแบบนี้ ต่อไปก็คงเป็นได้แค่ลูกล้างผลาญตระกูลเท่านั้นแหละ”
“พูดถูกต้อง ฉันว่าเจ้าเด็กนี่เป็นคนที่สวรรค์ส่งมาทำลายล้างบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปแน่เลย!”
“น่าขำที่ว่าหวางซูเฟินยังปลาบปลื้มดีใจที่ได้หาลูกชายเจอแล้ว อีกไม่นานเธอจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน”
หลินซื่อเฉิงหัวเราะฮาๆ พูดด้วยเสียงดังกังวานว่า “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง!”
“ตงหัว ซูเฟิน ขอแสดงความยินดีด้วยที่พวกนายทั้งสองได้พบกับลูกชายตัวเองแล้ว!”
“ตระกูลหลินเรา ต่อจากนี้ไปก็ได้เด็กหนุ่มที่เก่งกล้าสามารถเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว!”
หลินตงหัวและหวางซูเฟินก็รู้สึกดีใจมาก คำพูดของหลินซื่อเฉิงนี้ก็เท่ากับว่าได้ยอมรับฐานะของหลินหยุนแล้ว
ทั้งสองคนก็รีบโค้งตัวไหว้ขอบคุณ “ขอบคุณคุณพ่อมาก!”
หลินตงหัวมองไปยังหลินหยุน พูดด้วยเสียงเข้มงวดว่า “หลินหยุน ยังไม่รีบขอบคุณคุณปู่ลูกอีก!”
หลินหยุนก้าวเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว โค้งตัวคำนับไหว้ขอบคุณแล้วพูดว่า “ขอบคุณคุณปู่มากครับ!”
“ดีๆ ดีจริงๆเลย!” ในใจของหลินซื่อเฉิงรู้สึกปลาบปลื้มยินดี ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าบ้านตระกูลหลิน แม้แต่เรื่องแต่งงานของลูกชายตัวเองก็ยังไม่สามารถปกป้องไว้ได้ นายท่านก็รู้สึกผิดต่อหลินตงหัวและหวางซูเฟินมาโดยตลอด
เมื่อครู่นี้ถ้าไม่ใช่เพราะทุกคนต่างก็คัดค้านละก็ เขาก็เตรียมที่จะตอบตกลงรับหลินหยุนเข้าตระกูลหลินไปแล้ว จะได้ให้หลินตงหัวสองคนสามีภรรยามีผู้สืบสกุลเสียที
แต่ว่า ถึงแม้เขาเป็นถึงเจ้าบ้านตระกูลหลินก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจโดยพลการเช่นกัน
คราวนี้ทุกอย่างก็ลงเอยดีแล้ว หลินหยุนเป็นสายเลือดตระกูลหลิน ต่อให้ไม่ดียังไงก็ยังเป็นคนตระกูลหลิน นี่เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
นายท่านผู้อาวุโสทั้งหลายที่เหลือ สีหน้าต่างก็แตกต่างกันไป ถึงแม้ความคิดจะไม่เหมือนกันเลยทีเดียว แต่มีอยู่อย่างเดียวที่เหมือนกันก็คือ สีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ที่มีต่อหลินหยุน
หลินโร่สุ่ยกลับพูดด้วยความดีใจอย่างมากว่า “พี่หลินหยุน ยินดีด้วยค่ะ! คิดไม่ถึงจริงเลยว่า คุณถึงกับเป็นคนของตระกูลหลินพวกเราจริงๆแล้ว!”
หลินโร่หลันทำตาถลนใส่หลินโร่สุ่ย สายตาแฝงด้วยความหมายห้ามปราม แต่ว่า หลินโร่สุ่ยกลับไม่สนใจอะไรเลย
หลินหยุนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อไปคุณก็เป็นน้องสาวที่แท้จริงของฉันแล้ว”
หลินซื่อเฉิงมองไปยังหลินตงหัวแล้วพูดว่า “ตงหัว ครอบครัวพวกนายเพิ่งจะได้พบหน้ากันเมื่อกี้นี้เอง ถ้าหากมีเรื่องอะไรอยากจะคุยกันละก็ ฉันอนุญาตให้เวลาพวกนายพูดคุยกันหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้ก็เริ่มไปกันได้แล้วล่ะ!”
หลินตงหัวดีใจมาก เขามีเรื่องอยากจะถามหลินหยุนมากมายจริงๆ
“ขอบคุณมากครับ คุณพ่อ!”
แต่ว่า หานเจียวเจียวพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “รอเดี๋ยว!”
สายตาของทุกคน ต่างก็จับจ้องไปยังหานเจียวเจียวคนเดียว
“เจ้าบ้านคะ ตอนนี้หลินหยุนเป็นคนของตระกูลหลินเราแล้วใช่ไหมคะ?” หานเจียวเจียวกลับถามขึ้น
ทุกคนต่างก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำถามนี้เท่าไรนัก
หลินซื่อเฉิงก็พูดด้วยเสียงเข้มงวดว่า “ถูกต้อง ในตัวของหลินหยุนมีสายเลือดของตระกูลหลินเราอยู่ด้วย ก็ย่อมต้องเป็นคนของตระกูลหลินเราแน่นอน”
หานเจียวเจียวยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดด้วยสีหน้าสะใจว่า “ในเมื่อเป็นคนของตระกูลหลินเราแล้ว งั้นหลินหยุนตอนนี้ก็อายุยี่สิบต้นๆแล้วใช่ไหม? ถ้าตามกฎกติกาของตระกูลหลินเราแล้ว ตอนที่เขาอายุครบสิบแปดปี ก็ควรจะต้องเข้าร่วมประเมินผลงานของตระกูลแล้ว”
ทุกคนจึงได้เข้าใจทันทีว่า ที่แท้หานเจียวเจียวคิดจะใช้ประเด็นนี้มาเป็นแผนเล่นงานนี่เอง
หลินหยุนเพิ่งจะได้พบหน้ากับพ่อแม่ของตัวเองเมื่อครู่นี้เอง กลายเป็นคนของตระกูลหลินยังไม่ทันครบหนึ่งชั่วโมงเลย ก็ยังไม่ทันได้รับเงินทุนตั้งต้นของตระกูลหลินด้วยซ้ำไป
ถ้าเวลานี้ให้เขาเข้าร่วมประเมินผลงานของตระกูล ก็จะเป็นการกลั่นแกล้งกันอย่างเห็นได้ชัด
หลินตงหัวรู้สึกโกรธมาก พูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “น้องสะใภ้หาน หลินหยุนเพิ่งจะได้พบหน้ากับพวกเราเอง ตอนนี้ก็จะให้เขาเข้าร่วมการประเมินผลงานของตระกูลแล้ว มันไม่เร็วเกินไปหน่อยเหรอไง!”
หานเจียวเจียวพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่ตงหัวคะ ลูกหลานของตระกูลล้วนแล้วแต่เมื่ออายุครบสิบแปดปีแล้วก็ต้องเข้ารับการประเมินผลงานของตระกูลทั้งนั้น เขาก็อายุตั้งยี่สิบกว่าแล้ว ได้เข้าร่วมประเมินผลงานแข่งกับพวกน้องๆที่อายุเพิ่งจะสิบแปดทั้งหลาย ก็นับว่าเป็นการเอาเปรียบมากพอแล้ว”
“ถ้าหากคุณไม่อยากให้เขาเข้าร่วมประเมินผลงานของตระกูลแล้วล่ะก็ นอกเสียจากว่าเขาจะไม่ใช่คนของตระกูลหลิน ย่อมไม่ต้องปฏิบัติตามกฎกติกาของตระกูลหลินเรา”
ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายส่วนใหญ่ต่างก็มีสีหน้าเย้ยหยัน ถึงแม้รู้อยู่เต็มอกว่าหานเจียวเจียวเจตนาที่จะกลั่นแกล้งเขาก็ตาม แต่ว่า ถ้าสามารถโจมตีหวางซูเฟินได้ละก็ คนส่วนใหญ่ตระกูลหลินต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วยทั้งนั้น
หลินซื่อเฉิงรู้สึกโกรธเล็กน้อย เขารู้ว่าคนตระกูลหลินจำนวนมากที่ยังคงโกรธแค้นในใจ ในเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น จึงรู้สึกโกรธแค้นหวางซูเฟินไปด้วย แต่ว่าหวางซูเฟินก็ได้แตกหักกับตระกูลหวางไปก่อนหน้านี้แล้ว อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหวางซูเฟินเลย
คนพวกนี้ก็ยังไม่ยอมปล่อยหวางซูเฟินไปเลย มันทำเกินไปหน่อยจริงๆ
หลินซื่อเฉิงกำลังคิดจะพูดตำหนิหานเจียวเจียว แต่ว่าหลินหยุนพูดขึ้นอย่างกะทันหัน
“ผมตกลงครับ แต่หวังว่าคุณคงไม่เสียใจภายหลังก็แล้วกัน” น้ำเสียงของหลินหยุนราบเรียบมาก แฝงด้วยกระเซ้าเล่นเล็กน้อย
หานเจียวเจียวพูดเยาะเย้ยว่า “แกล้งคุยโวโอ้อวดหลอกลวง แกนึกว่าฉันเป็นคนขวัญอ่อนหรือไง กลัวตายล่ะ!”
“ทุกคนก็ได้ยินแล้วนะ เจ้าเด็กนี่ยอมตกลงเข้าร่วมประเมินผลงานของตระกูลด้วยตัวเองแล้ว ฉันไม่ได้บีบบังคับอะไรเขาเลย ประเดี๋ยวถ้าเกิดพ่ายแพ้อย่างไม่เป็นท่าละก็ อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน”
หวางซูเฟินพูดเยาะเย้ยว่า “วางใจเถอะ อีกประเดี๋ยวพวกคุณอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”
พูดเป็นเล่นไป คนที่สามารถเอาเงินออกมาทีเดียวหกหมื่นล้านได้ จะไปเกรงกลัวกับการประเมินผลงานของตระกูลหลินหรือ?
ต่อให้หลินโล่เฉินที่เป็นอัจฉริยะที่หนึ่งของตระกูลหลินก็ตาม ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ทั้งหมดในตอนนี้ก็คงมีไม่เกินกว่าพันล้าน
ส่วนหลินหยุนกลับสามารถที่จะเอาเงินหกหมื่นล้านออกมาได้อย่างง่ายดาย ใครจะไปรู้ว่าเขามีทรัพย์สินมากมายขนาดไหน?
สวี่เหม่ยเย้นพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยังไม่เคยได้รับเงินทุนตั้งตัวเลย หรือว่ายังจะสามารถเอาชนะได้เชียวเหรอ? แม่ลูกคู่นี้ยโสโอหังเหมือนกันทั้งสองคน ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาเลย!”
หานเจียวเจียวก็พูดเยาะเย้ยตามว่า “ไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันก็คงไม่เข้าบ้านหลังเดียวกันหรอก แม่ลูกสองคนนี้เหมือนกันจริงๆเลย!”
พวกคนรุ่นใหม่ของตระกูลหลิน ต่างก็ไม่เชื่อว่าหลินหยุนจะชนะได้
หลินลี่พูดเยาะเย้ยว่า “ช่างไม่รู้จักประมาณตนเสียจริง แม้แต่เงินทุนตั้งต้นก็ยังไม่ทันได้รับเลย ก็คิดอยากเอาชนะแล้ว! ช่างเหิมเกริมสุดขั้วจริงๆ”
หลินเห้ายิ้มด้วยความเหยียดหยาม “หลินเหลย คราวนี้แกไม่ต้องอยู่ที่โหล่สุดท้ายแล้วล่ะ มีคนเป็นฐานรั้งท้ายให้แกแล้ว”
หลินเหลยพูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ว่า “เจ้าเด็กนี่มาได้จังหวะเหมาะจริงๆ”
หลินตงหัวมองดูหวางซูเฟินและหลินหยุน รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย “ซูเฟิน หลินหยุนแม้แต่เงินทุนตั้งต้นก็ยังไม่ได้รับเลย นี่ก็จะให้เขาเข้าร่วมประเมินผลงานแล้ว มันไม่รวบรัดไปหน่อยเหรอ?”
“ถ้าพวกคุณไม่อยากจะเข้าร่วมประเมินก็ไม่ต้องฝืนใจนะ ต่อให้ตาแก่อย่างฉันต้องเสียหน้ายังไง ก็ไม่ยอมให้ใครมารังแกเสี่ยวหยุนได้หรอก”
หลินหยุนพูดปลอบโยนว่า “พ่อครับ พ่อวางใจเถอะ หลายปีมานี้ลูกก็ได้หามาเงินได้ไม่น้อยเลยทีเดียวไม่แพ้ให้กับพวกเขาหรอก”
หลินตงหัวก็ยังคงไม่วางใจ “เงินที่หามาได้เล็กน้อยของลูก อย่างมากก็เอาไปซื้อบ้านได้สักหลังหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว ถ้าเอามาเข้าร่วมประเมินผลงานของตระกูลละก็ มันเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้นเอง ลูกอย่าเพิ่งปุ่มบานไปเลย ปีหน้าก็ยังสามารถเข้ารับการประเมินได้”
หลินตงหัวคิดว่า เงินจำนวนไม่น้อยที่หลินหยุนพูดนั้น อย่างมากก็แค่ไม่กี่สิบล้านเท่านั้นเอง
หลินหยุนพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “พ่อวางใจเถอะครับ ลูกมีความมั่นใจ”
หวางซูเฟินก็พูดเตือนว่า “ลูกก็บอกให้คุณวางใจแล้ว คุณก็อย่ายุ้งแล้วกัน”
หลินซื่อเฉิงมองไปยังครอบครัวของหวางซูเฟิน ถามด้วยเสียงเข้มงวดว่า “ตงหัว พวกนายแน่ใจแล้วหรือว่าจะให้หลินหยุนเข้าร่วมประเมินผลงานด้วย?”
หลินตงหัวมองไปยังหวางซูเฟินที่สีหน้าเย้ยหยันและหลินหยุนที่สีหน้าเรียบเฉย ก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ในเมื่อน้องสะใภ้หานอยากจะให้หลินหยุนเข้าร่วมประเมินขนาดนั้น งั้นก็ให้เธอได้สมหวังก็แล้วกัน!”