จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 749 ห้ามปรามไม่อยู่
เมืองหลวง ห้องทำงานของประธานาธิบดีจีน
หวางจิงหลงยืนอยู่ด้านหน้าของประธานาธิบดีจีน ด้วยลักษณะท่าทางที่นอบน้อม
“ข้าได้พยายามทำสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางเยนหยานเทียนได้” หวางจิงหลงพูดขึ้นอย่างหนักแน่น
ประธานาธิบดีจีนเหมือนกับว่าได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ถอนหายใจและพูดว่า: “ใช่สิ ถ้าหากท่านสามารถที่จะขัดขวางเขาเอาไว้ได้ อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่ใช่เทพกระบี่แล้ว”
“ลำบากท่านแล้ว” ประธานาธิบดีจีนพูดขึ้น
“เป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ” หวางจิงหลงพูดอย่างจริงจัง
“ดูเหมือนว่า เขาไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องกังวลแล้ว” ประธานาธิบดีจีนถอนหายใจยาว……
อูซู คฤหาสน์ตระกูลหลิน
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมยาวสีขาว ผมขาวยาวเลยเอว ท่าทางสง่างามคนหนึ่ง ยืนอยู่ด้านหน้าประตูของตระกูลหลิน
“ตระกูลหลินแห่งอูซู ก็คือที่นี่แล้ว”
มองจากด้านหลัง เขาก็เหมือนกับครูสอนหนังสือที่ตัดขาดจากโลกภายนอก เข้ากับผู้อื่นได้ยาก
แต่ว่า เมื่อมองจากด้านหน้า ทำให้ตกใจขึ้นทันที!
เขาก็เหมือนกับกระบี่เล่มหนึ่ง กระบี่ที่แหลมคม กระบี่ที่ออกมาจากฝัก
ทั้งตัวตน ก็คือกระบี่ไร้เทียมทาน!
เวลานี้ งานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลินเพิ่งจะเสร็จสิ้นลงไปไม่นาน คนของตระกูลหลินยังไม่ทันได้แยกย้ายกลับบ้านของตน
แม้แต่หลินตงหัวกับหวางซูเฟิน ก็ยังอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิน
ตามเวลากำหนดเดิมแล้ว เวลานี้คนของตระกูลหลิน คงจะแยกย้ายกลับกันไปหมดแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่า ลูกหลานสายเลือดรุ่นที่สามของคุณปู่ใหญ่ หลินเซี่ยวเทียน ได้กลับมาแล้ว
แม้ว่าหลินเซี่ยวเทียนจะเป็นแค่ลูกหลานรุ่นที่สามของตระกูลหลิน แต่ว่า ลูกหลานคนนี้กลับไม่ธรรมดา
ในความบังเอิญครั้งหนึ่ง สำนักบู๊แห่งหนึ่งเกิดความพึงพอใจในตัวเขา จึงได้รับเข้าเป็นศิษย์
แม้ว่าจะเป็นสำนักขนาดเล็ก โดยที่เจ้าสำนักก็มีพลังความสามารถแค่ระดับขั้นปรมาจารย์ระดับเล็ก แต่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานลงมาให้
ต้องทราบว่าลุงอู๋ที่เป็นบอดี้การ์ดข้างกายให้กับนายท่านหลินนั้น จะต้องจ่ายค่าตอบแทนรายปีซึ่งเทียบเท่ากับรายรับหนึ่งในสิบส่วนของตระกูลหลินเลยทีเดียว
ถ้าหากคนของตระกูลหลินสามารถเป็นนักบู๊ได้ ก็จะส่งเสริมให้อิทธิพลอำนาจในอนาคตของตระกูลหลินนั้นเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก
ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าหลินเซี่ยวเทียนสำเร็จการศึกษาและจะเดินทางกลับมา ผู้อาวุโสตระกูลหลิน ทั้งห้าท่านจึงได้ตัดสินใจ จัดงานเลี้ยงปีใหม่ยาวออกไปอีกสามวัน เพื่อเฉลิมฉลองให้กับ หลินเซี่ยวเทียน
และยังมีเหตุปัจจัยที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือ อาจารย์ของหลินเซี่ยวเทียน ซึ่งก็คือผู้อาวุโสแห่งสำนักบู๊นั้น ก็ได้เดินทางมายังตระกูลหลินพร้อมกับหลินเซี่ยวเทียนด้วย
นี่มันช่างยิ่งใหญ่อย่างมาก
ทุกคนของตระกูลหลินจะกล้าละเลยได้อย่างไร อีกทั้งยังมีอีกหลายคน ที่คิดต้องการจะประจบ ตีสนิทกับอาจารย์ผู้นั้นของหลินเซี่ยวเทียน เพื่อหวังที่จะส่งลูกของตนเองเข้าไปศึกษาด้วย
แต่น่าเสียดายที่ การรับศิษย์ของสำนักขนาดเล็กเหล่านี้ ให้ความสำคัญกับคุณลักษณะเป็นอย่างมาก การที่จะสามารถเป็นที่พึงพอใจของพวกเขาได้นั้น โดยส่วนใหญ่จะต้องเป็นคนที่มีพื้นฐานที่ดีเป็นอย่างมาก
พวกคนเหล่านี้ของตระกูลหลิน ก็มีเพียงหลินเซี่ยวเทียนที่เป็นที่พึงพอใจของเขา
แต่ ต่อให้เป็นแบบนี้ ทุกคนของตระกูลหลิน ก็ยังคงอยากที่จะประจบอาจารย์ของหลินเซี่ยวเทียนอย่างมากอยู่ดี แม้แต่หลินเซี่ยวเทียนเอง ก็ยังได้รับการชื่นชมยกย่องอย่างที่สุด
มีคนด้านข้างตะโกนพูดขึ้นว่า: “ถ้าหากหลินเซี่ยวเทียนกลับมาเร็วกว่านี้ คงจะไม่มีทางถูกหลินหยุนแย่งชิงความโดดเด่นไปทั้งหมดเด็ดขาด! ”
“ต่อให้หลินหยุนมีเงินมากแค่ไหน เมื่อเปรียบเทียบกับนักบู๊ที่มีพลังความสามารถแล้ว ก็ไม่น่าที่จะเอ่ยถึงเลย”
หลินเห้ากับหลินเหลยและคนอื่น ๆ ตะโกนพูดขึ้นเสียงดังอย่างที่สุด
ใครให้หลินเซี่ยวเทียนกับพวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มาตั้งแต่เด็กล่ะ?
หลินเซี่ยวเทียนก็ได้ฟังเรื่องราวของหลินหยุนแล้ว ทราบว่าหลินหยุนโดดเด่นเป็นที่จับตาอย่างมากในงานเลี้ยงปีใหม่ โดยเหนือกว่าทั้งหลินเห้าและหลินโล่เฉิน
สิ่งนี้ที่ทำให้หลินเซี่ยวเทียนไม่ค่อยพอใจ ครั้งนี้ที่เขากลับมา ที่จริงแล้วก็คิดจะอาศัยในช่วงงานเลี้ยงปีใหม่ กดทับหลินโล่เฉิน เพื่อขึ้นเป็นอัจฉริยะคนใหม่ของตระกูลหลิน
เพื่อปูทางสะดวกที่จะให้เขาถืออำนาจควบคุมดูแลตระกูลหลินในอนาคต
สำนักของเขา ก็ได้หมายตาในทรัพย์สินเงินทอง สถานะทางสังคมของตระกูลหลิน ดังนั้นจึงให้อาจารย์ของหลินเซี่ยวเทียนเดินทางกลับมายังตระกูลหลินพร้อมกันกับเขาด้วย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับเขา
“หลินหยุน นับว่านายโชคดี ถ้าหากว่าฉันกลับมาเร็วกว่านี้สักหน่อย คงจะเหยียบย่ำนายให้อยู่ใต้เท้าแน่นอน! ” หลินเซี่ยวเทียนพูดอย่างเย็นชาในใจ
แต่ว่า สำหรับการที่ลูกหลานรุ่นหลังได้พากันเอะอะโวยวายนั้น ผู้อาวุโสทั้งห้าท่านกลับไม่ได้พูดอะไร
ชื่อเสียงของปรมาจารย์หลิน ไม่ใช่ว่าได้มาเพราะเงินทองสักหน่อย?
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นคนในโลกบู๊ แต่สำหรับความสามารถของปรมาจารย์หลินแล้ว ก็เคยได้ยินมาอยู่บ้าง
ไม่ต้องพูดถึงหลินเซี่ยวเทียน ต่อให้อาจารย์ของหลินเซี่ยวเทียน ประลองกับหลินหยุน ก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะได้
เพียงแค่ว่า คนธรรมดาเหล่านี้ ยังไม่เข้าใจในโลกบู๊ ไม่ทราบว่าสำนักของหลินเซี่ยวเทียน ที่สุดแล้วมีสถานะอย่างไรกันแน่
ถ้าหากพวกเขาเข้าใจพลังอานุภาพของปรมาจารย์หลินอย่างถ่องแท้ บางทีพวกเขาอาจจะไม่เห็นหลินเซี่ยวเทียนรวมไปถึงสำนักของเขาอยู่ในสายตาเลยก็เป็นได้
หลินโร่สุ่ยเห็นท่าทางของพวกที่เอนเอียงไปตามสถานการณ์เหล่านี้แล้ว เกิดความเหยียดหยามอย่างมาก: “ฮึ ไอ้พวกคนสารเลวนี้ ตอนที่พี่หลินหยุนอยู่ ทำไมพวกนายถึงไม่กล้าที่จะพูดคำเหล่านี้ออกมาล่ะ? ”
“พวกนายยังไม่เคยเห็นพลังความสามารถของพี่หลินหยุนมาก่อน จะมาพูดได้อย่างไรว่าเขาเทียบไม่ได้กับหลินเซี่ยวเทียน? ”
คุณหนูหลินโร่สุ่ย ได้เคยเห็นหลินหยุนแสดงพลังความสามารถกับตาของตัวเองมาแล้ว
แม้ว่าเธอจะไม่ทราบแน่ชัดว่าพลังความสามารถของหลินหยุนนั้นตกลงเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ เธอมีความเชื่อมั่นในตัวของหลินหยุนอย่างมาก
ต่อให้พลังความสามารถของหลินหยุน เทียบไม่ได้กับอาจารย์ของหลินเซี่ยวเทียน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลินเซี่ยวเทียนแล้ว คงจะเหนือกว่าอย่างแน่นอน
เยนหนานเทียนได้ทำร้ายยามหน้าประตูของตระกูลหลินจนสลบลงไป ตอนที่มาถึงประตูหน้าห้องโถงของตระกูลหลิน คนของตระกูลหลินต่างก็ยังคงไม่รับรู้
ถึงขนาดที่ว่า เยนหนานเทียนได้เข้ามายืนอยู่ในห้องโถงของตระกูลหลินแล้ว คนของตระกูลหลินถึงจะรับรู้รับทราบขึ้น
เอ๊ะ คนผู้นี้เหมือนว่าไม่เคยพบเห็นมาก่อน? เขาคือคนของตระกูลหลินเหรอ?
นายท่านหลิน ได้มองเห็นเยนหนานเทียนตั้งนานแล้ว แต่ เพราะว่าอาจารย์ของหลินเซี่ยวเทียนอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่ได้สนใจ นึกว่าเป็นยอดฝีมือในสำนักของหลินเซี่ยวเทียน
เพราะว่า เยนหนานเทียนที่อยู่ในชุดสีขาว ผมขาวทั้งศีรษะ มองดูแล้วไม่เหมือนกับเป็นคนธรรมดาทั่วไป
จนกระทั่งอาจารย์ของหลินเซี่ยวเทียนที่ถูกคนของตระกูลหลินยืนล้อมเอาไว้ ได้เกิดความรู้สึกขึ้น จึงได้หันมองไปยังตำแหน่งที่เยนหนานเทียนยืนอยู่
เมื่อมองไป ก็ทำให้เขาตกตะลึงขึ้นในทันที
ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์บู๊ จะมีความรู้สึกอ่อนไหวต่ออันตรายมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
เพียงแค่มอง เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่า คนผู้นี้อันตรายเป็นอย่างมาก
“ไม่ทราบว่าท่านคือใคร? ”
อาจารย์ของหลินเซี่ยวเทียน ผลักทุกคนออก แล้วเดินมาที่ด้านหน้าของเยนหนานเทียน
เยนหนานเทียนมองไปที่เขา ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก และพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “ปรมาจารย์ระดับเล็ก? นายเป็นอะไรกับตระกูลหลิน? ”
เวลานี้ ทุกคนของตระกูลหลินก็ตั้งสติขึ้นได้แล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่โจงจินเล่ย์พามาสักหน่อย
“นายเป็นใคร? ถึงกล้าบุกรุกตระกูลหลิน! ” ลูกหลานวัยรุ่นคนหนึ่งของตระกูลหลิน พูดถามขึ้นอย่างเย็นชา
เยนหนานเทียนไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มคนนั้น ในสายตาของเขาแล้วคนธรรมดาทั่วไป เป็นเพียงแค่พวกมดแมลงเท่านั้น
มีเพียงคนระดับปรมาจารย์นักบู๊เท่านั้น ที่คู่ควรพูดคุยกับเขา
“ข้ากำลังถามนายอยู่ นายไม่ได้ยินหรืออย่างไร? ”
โจงจินเล่ย์ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกว่าคนผู้นี้มีความอันตรายเป็นอย่างมาก อีกทั้ง เขาไม่สามารถมองออกได้ถึงระดับการบำเพ็ญฝึกฝนของเยนหนานเทียนเลยแม้แต่น้อย
หลินเซี่ยวเทียนเดินขึ้นมา แล้วยืนขวางอยู่ด้านหน้าของโจงจินเล่ย์ และพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “นายเป็นใคร? ถึงกล้าที่จะใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดกับอาจารย์ของข้า? อยากตายหรืออย่างไร! ”
เยนหนานเทียนสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก โดยสายตาที่มองไปยังหลินเซี่ยวเทียนนั้น เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
จากนั้น ก็ไม่ได้สนใจหลินเซี่ยวเทียน สายตามองผ่านไปทุกคนไป แล้วหยุดอยู่ที่ร่างของนายท่านหลินที่นั่งอยู่ด้านบนสุด
“ท่านคือเจ้าบ้านตระกูลหลิน? ” เยนหนานเทียนถามขึ้นอย่างเย็นชา
นายท่านหลินลุกยืนขึ้น แล้วกำหมัดแสงความเคารพต่อเยนหนานเทียน: “ข้าหลินซื่อเฉิงเป็นเจ้าบ้านตระกูลหลิน ท่านคือ? ”
เยนหนานเทียนไม่ได้ตอบ แต่พูดขึ้นว่า: “ลูกหลานตระกูลหลินของท่าน ฆ่าลูกชายของข้า และก็ยังฆ่าหลานของข้าด้วย และยังจะฆ่าข้ารับใช้ดูแลกระบี่มานานหลายปีของข้าด้วย! ”
“ความแค้นนี้ จะต้องใช้เลือดของตระกูลหลินทั้งหมด มาชำระล้างแค้นนี้เท่านั้น! ”
ทุกคนตระกูลหลินพากันตกใจในทันที คนผู้นี้มาเพื่อทวงคืนความแค้น!
แต่ว่า ทุกคนตระกูลหลินไม่ได้สนใจในตัวของเยนหนานเทียนเลย ตรงกันข้าม ยังจะคิดว่า เยนหนานเทียนเป็นคนบ้าเสียด้วยซ้ำ
“ฮ่าฮ่า นายเป็นใคร? มาเอะอะโวยวายอะไรที่ตระกูลหลินของข้า? ยังจะใช้เลือดทั้งตระกูลหลินเพื่อชำระล้างแค้น นายกำลังแสดงละครอะไรอยู่? ”
“นี่คือนักแสดงจากกองละครไหนกัน เป็นคนของตระกูลหลินหรือเปล่า? แล้วยังจะใส่ชุดคลุมยาวอีก จุ๊จุ๊ ยังจะผมปลอมนั่นอีก ช่างเหมือนเสียจริงเชียว! ”
พวกลูกหลานตระกูลหลิน วิพากษ์วิจารณ์ลักษณะท่าทางของเยนหนานเทียน โดยต่างก็คิดว่าเยนหนานเทียนเป็นนักแสดงละครไปแล้ว