จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 834 การรวมตัวของสี่ตระกูล
เย่ซื่อหมิงเตะประตูตึกว่างเยว่ให้เปิดออก
“ปรมาจารย์หลิน นายมันพวกเต่าหัวหด ตอนนี้ฉันอยากเห็นนักว่านายจะหนีไปไหนได้อีก!”
ผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นๆต่างมองไปรอบ ๆ ด้วยความตกตะลึง และสูดกลิ่นอายชี่ทิพย์อันเข้มข้นอย่างตะกละตะกลาม
“เจ้าสำนัก ชี่ทิพย์ในที่แห่งนี้เข้มข้นกว่าภายนอกมาก จนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นมันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับพรแห่งฟ้าดินในตำนาน!”
“ปรมาจารย์หลินช่างเลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ!”
เย่ซื่อหมิงยิ้มอย่างเย็นชา “หลังจากฆ่าปรมาจารย์หลินพื่อล้างแค้นให้ลูกชายของฉันได้แล้ว ที่นี่จะเป็นอาณาเขตของสำนักอู๋อิ่งเรา”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าพวกเราน่าจะย้ายสำนักมาที่นี่ด้วยเลยดีกว่า!”
“ถ้าเราสามารถบำเพ็ญในที่แบบนี้เป็นเวลาสักสิบปี ความแข็งแกร่งของสำนักอู๋อิ่งเรา ถึงแม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าตามทันสี่ผู้ตั้งมั่นรักษา แต่อย่างน้อยๆก็คงจะสามารถสูสีได้กับห้าสำนักใหญ่!”
ผู้อาวุโสรองยิ้มและพูดว่า “แน่นอน ชี่ทิพย์ของที่นี่เข้มข้นขนาดนี้ ต่อให้เป็นคนโง่ หากบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่ไม่กี่ปีก็สามารถกลายเป็นปรมาจารย์ได้!”
พวกคนในสำนักอู๋อิ่ง ทุกคนต่างมีความสุขและโลภมากอยากจะซึมซับชี่ทิพย์ของที่นี่
อาจารย์ซูยืนอยู่บนดาดฟ้าและมองลงมาที่คนของสำนักอู๋อิ่งซึ่งทำตัวราวกับโจร
“หึ คิดจะยึดครองที่นี่ ต้องถามฉันก่อนว่าเห็นด้วยไหม!”
เย่ซื่อหมิงมองขึ้นไปที่อาจารย์ซู “นายก็คือปรมาจารย์หลิน?”
ผู้อาวุโสใหญ่รีบพูดอย่างระมัดระวัง “เขาไม่ใช่ปรมาจารย์หลิน เขาเป็นเพียงศิษย์ของปรมาจารย์หลิน แต่การบำเพ็ญของเขาไม่ธรรมดา ครั้งที่แล้วฉันแพ้ให้กับเขา!”
“คุณแพ้ให้เขา!” เย่ซื่อหมิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสใหญ่นั้นเขารู้ดีอย่างยิ่ง จัดว่าเป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดแล้ว
ลูกศิษย์ของปรมาจารย์หลินสามารถเอาชนะผู้อาวุโสใหญ่ได้ นี่เห็นได้ว่าความแข็งแกร่งของปรมาจารย์หลินนั้นยากเกินกว่าจะหยั่งถึง!
อย่างไรก็ตาม เย่ซื่อหมิงกลับไม่ได้กังวล เขาคิดว่าความแข็งแกร่งของเขา จะต้องไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์หลินอย่างแน่นอน
“จงให้ปรมาจารย์หลินออกมารับความตายเดี๋ยวนี้ นายที่เป็นแค่ศิษย์คนหนึ่ง ไม่คู่ควรที่จะพูดกับฉัน!” เย่ซื่อหมิงตะโกนอย่างเย่อหยิ่ง
อาจารย์ซูกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าอาจารย์ของฉันอยู่ที่นี่ จะปล่อยให้พวกนายมาทำตัวเหิมเกริมได้หรือไง!”
เย่ซื่อหมิงขมวดคิ้วและพูดขึ้น “โอ้ อย่างนั้นปรมาจารย์หลินก็ไม่อยู่ที่นี่งั้นหรือ?”
“อย่างนั้นก็จัดการพวกนายก่อน แล้วรอให้ปรมาจารย์หลินมา!”
“ผู้อาวุโสใหญ่ ให้โอกาสท่านล้างแค้นแล้ว!”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมาและเอ่ยขึ้น “เจ้าสำนัก ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”
เย่ซื่อหมิงยิ้มอย่างชั่วร้าย “ฉันรู้ ดังนั้นจึงให้ผู้อาวุโสรองช่วยคุณจัดการกับเขาพร้อมกัน!”
ผู้อาวุโสใหญ่ดีใจอย่างยิ่ง “ดี!”
“พี่รอง ลำบากแล้ว!”
ถัดจากเขา ผู้อาวุโสรองที่ไว้เคราแพะเช่นเดียวกับเขาก็หัวเราะขึ้น “ไม่เป็นไร!”
อาจารย์ซูนั้นเหนือกว่าผู้อาวุโสใหญ่เล็กน้อย แต่ว่า หากเพิ่มผู้อาวุโสรองขึ้นมาด้วย เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ซูกลับไม่ได้ประหม่าเลยสักนิด
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น “สองรุมหนึ่งจะถือว่ามีความสามารถอะไรกัน ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนพวกนายเอง”
ซูหนันในชุดดำทั้งตัว ออกมาจากบ้านคฤหาสน์และยืนอยู่ข้างอาจารย์ซู
สำนักอู๋อิ่งล้อมรอบทะเลสาบเยว่หยาเป็นเวลาหลายวัน ซูหนันที่ได้รับข่าวก็รีบกลับมาจากจงเฟยหยู่เพื่อช่วยอาจารย์ซูปกป้องตึกว่างเยว่
“ยังมีผู้ช่วย?” เย่ซื่อหมิงตกตะลึง เขาจ้องไปที่ซูหนันและถามขึ้น “นายเป็นใคร?”
ซูหนันพูดอย่างเย็นชา “ฉันเป็นว่าที่ศิษย์ของปรมาจารย์หลิน อยากพบอาจารย์ของฉัน ก็ต้องข้ามฉันไปให้ได้ก่อน”
“โอ้ ปรมาจารย์หลินผู้นี้ ถึงกับมีการรับว่าที่ศิษย์แล้ว ช่างเย่อหยิ่งเสียจริง!” เย่ซื่อหมิงเยาะเย้ยดูถูก
“ผู้อาวุโสสาม ผู้อาวุโสสี่ ผู้อาวุโสห้า พวกคุณไปพร้อมกัน สิ่งที่สำนักอู๋อิ่งของพวกเรามีคือคน ลองดูสิว่าปรมาจารย์หลินจะมีศิษย์กี่คน!”
จากนั้นก็มีผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสห้าออกมาข้างหน้า และเตรียมต่อสู้กับอาจารย์ซูและซูหนัน
“น่ารังเกียจเสียจริง พวกนายที่เป็นนักบู๊ของตะวันออก ทำไมถึงได้ไม่มีคำพูดคำจาที่กล้าหาญเลยสักนิด?”
“ต่อสู้ก็ต่อสู้ ทำไมถึงได้เรียกผู้ช่วยกัน? ฉันล่ะอายแทนพวกนายจริงๆ!”
เสียงที่เกียจคร้านกังขึ้นมา ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมราวกับนกตัวใหญ่ที่บินออกจากป่าถัดจากคฤหาสน์และลงมาหยุดยืนอยู่ข้างซูหนัน
ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมติดตามอยู่ข้างอีหลิงมาโดยตลอด แต่หลังจากที่ไม่นานมานี้เขาได้ยินเรื่องวิกฤตที่ทะเลสาบเยว่หยาเข้าก็รีบกลับมา
เย่ซื่อหมิงขมวดคิ้วมองไปยังฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียม “ผู้บำเพ็ญพิเศษจากตะวันตก!”
“คิดไม่ถึงเลยว่า ปรมาจารย์หลินไม่เพียงแต่เย่อหยิ่ง แต่ยังสมรู้ร่วมคิดกับผู้บำเพ็ญพิเศษจากตะวันตกด้วย!”
“เขาต้องการเป็นศัตรูกับนักบู๊ชาวจีนทั้งหมดงั้นหรือ?”
ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมเลิกคิ้ว จากนั้นก็มองไปที่เย่ซื่อหมิงอย่างเย่อหยิ่ง “ฉัน คือฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมผู้สูงศักดิ์ เป็นแดร็กคิวล่า ส่วนนายก็แต่นักบู๊มนุษย์ผู้ต่ำต้อย ถึงกับกล้ามาทำให้ฉันไม่พอใจ!”
“อีกเดี๋ยว ฉันจะส่งนายไปหาเทพแห่งแสงสว่างที่น่าตายนั่นซะ!”
เย่ซื่อหมิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาและมองดูผู้อาวุโสคนอื่นๆ “ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย พวกคุณก็ไปด้วยกัน กำจัดผู้บำเพ็ญพิเศษจากตะวันตกอันหยิ่งผยองนี่ซะ!”
“ได้!”
ผู้อาวุโสที่เหลือคนอื่นๆก็ก้าวไปข้างหน้าและยืนอยู่กับผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นๆ
ผู้อาวุโสเก้าคนต่อสู้กับอาจารย์ซู ซูหนัน และฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมทั้งสามคน
ผู้เฒ่าโสเก้าคน เจ็ดคนในนั้นเป็นปรมาจารย์ระดับสูงสุด และมีเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นปรมาจารย์ระดับใหญ่
อาจารย์ซูเองก็เป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุดด้วยเช่นกัน ส่วนซูหนันนั้นได้ละทิ้งวิธีการบำเพ็ญแบบดั้งเดิมและเปลี่ยนมาเป็นวิชาพินาศไม่สิ้นสูญที่หลินหยุนถ่ายทอดให้แทน ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุดเช่นกัน
ส่วนความแข็งแกร่งของฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมนั้น หากแบ่งตามระดับของนักบู้ชาวจีน ก็น่าจะอยู่ในระดับปรมาจารย์สูงสุดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของซูหนันและฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมน่าจะแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ซู
นั่นเพราะท้ายที่สุดแล้ว วิชาพินาศไม่สิ้นสูญถือเป็นวิชาการบำเพ็ญเซียนที่แท้จริง เมื่อเทียบกับวิชาที่หลินหยุนถ่ายทอดให้อาจารย์ซูแล้วก็ยังแข็งแกร่งกว่าหลายเท่า
ส่วนฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมที่มีฐานะเป็นเจ้าชายแห่งเผ่าโลหิต ย่อมครอบครองพลังที่มากกว่าเผ่าโลหิตอื่นๆ ตระกูลโลหิตถือเป็นหนึ่งในหมื่นตระกูลผู้บำเพ็ญเซียน และหมื่นตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนนั้น ความแข็งแกร่งของลูกหลานก็สามารถเทียบเท่าได้กับผู้บำเพ็ญเซียนที่แท้จริง
นอกจากนี้ ปรมาจารย์ระดับสูงสุดเหมือนกันก็มีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันอย่างมาก
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ผู้อาวุโสทั้งเก้าของสำนักอู๋อิ่งไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะคนทั้งสามได้!
เย่ซื่อหมิงตะโกนอย่างเย็นชา “จัดการพวกเขา!”
การต่อสู้สะเทือนแผ่นดิน เปิดฉากฆ่าฟันขึ้นทันที
เมืองหลวง ตระกูลหวาง ตระกูลอันดับหนึ่งของสี่ตระกูลขุนนาง
ในห้องโถงของตระกูลหวาง หวางจิงหลงที่มีใบหน้าสง่างาม กำลังนั่งอยู่ที่ตำแหน่งผู้นำ
ถัดมาก็เป็นผู้นำตระกูลขุนนางทั้งสามที่นั่งอยู่ด้วย
ในห้องโถง มีเพียงแค่พวกเขาสี่คน
อย่างไรก็ตาม คนสี่คนนี้ ถือเป็นการดำรงอยู่ของตระกูลขุนนางระดับสูงสุดที่ตระกูลทั้งจีนจะต้องแหงนหน้ามอง
เมื่อทั้งสี่คนนี้เป็นพันธมิตรกัน ก็จะสามารถมีอิทธิพลต่อนโยบายระดับชาติของจีนได้
อาจกล่าวได้ว่า ในห้องโถงนี้ไม่ได้มีคนสี่คน แต่เป็นยักษ์ใหญ่สี่คน
หวางจิงหลงเหลือบมองคนทั้งสามและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฉันขอพูดตรง ๆเลยแล้วกัน พวกนายน่าจะได้ยินเรื่องที่หลินหยุนทำในญี่ปุ่นแล้ว นี่ถือเป็นโอกาส!”
หลิวเทียนเฉิงผู้นำตระกูลหลิวเงยหน้าขึ้นมองหวางจิงหลง และถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “นายคิดจะทำอย่างไร?”
สายตาของหวางจิงหลงเหี้ยมเกรียมขึ้น “สยบด้วยความเงียบ!”
“พวกเราควรจะถามท่านประธานาธิบดีว่าเตรียมตัวจะจัดการกับคนบ้าที่พยายามจะก่อสงครามระหว่างสองประเทศยังไง!”
ผู้นำของทั้งสามตระกูลมองหน้ากันและพยักหน้า
หลิวเทียนเฉิงเอ่ยถาม “จะเริ่มเมื่อไหร่?”
หวางจิงหลงเอ่ยขึ้น”ตอนนี้”
ทั้งสามพยักหน้า “ตกลง!”
ประเทศจีน คฤหาสน์สภาประเทศ
เหอเจียหรงเป็นทหารหน่วยรบพิเศษที่มีชื่อนายหนึ่ง เขามีส่วนสูง 1.9 เมตร และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้พิทักษ์ของคฤหาสน์สภาประเทศ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องความปลอดภัยของบุคคลสำคัญของจีน
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าแล้ว เจียหรงก็กำลังจะเปลี่ยนกะในเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้เอง จู่ๆเจียหรงกลับเบิกตากว้างและมองไปยังขั้นบันไดหยกขาวที่หน้าคฤหาสน์สภาประเทศ
“นั่นมัน… ผู้นำของสี่ตระกูลขุนนาง!”
“พระเจ้า ผู้นำของทั้งสี่ตระกูลขุนนางมารวมกันที่นี่ นี่มันเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นกันแน่?”
“จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผู้นำตระกูลขุนนางทั้งสี่ตระกูลมาที่คฤหาสน์สภาประเทศด้วยกัน เป็นเพราะต้องการโต้กลับเพื่อป้องกันจากการโจมตีของเวียดนาม!”
“หรือว่าญี่ปุ่นจะทำสงครามกับพวกเราแล้ว?”
เรื่องที่หลินหยุนเอะอะกับญี่ปุ่นนั้นคนจีนจำนวนมากล้วนรู้ดี และเขาเจียงหรงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น