จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 839 ในที่สุดก็ตามมาทัน
มองดูบรรดาลูกศิษย์ที่สลับตำแหน่งอย่างแปลกประหลาดพวกนั้น ทำให้แยกออกจากพวกเขาสามคนไป คาร์นอตวิลเลียมแสดงสีหน้าแปลกประหลาด
“นี่ก็คือค่ายกลของนักบู๊ชาวจีนเหรอ? ดูไปแล้วก็น่าสนุกดีนะ!”
ซูจื่อเหลียงรู้ถึงความร้ายกาจของค่ายกล เป็นห่วงคาร์นอตวิลเลียมจะประมาท จึงตะโกนพูดเตือนสติว่า: “อย่าประมาทนะ ค่ายกลนี้ไม่ธรรมดาเลย!”
สีหน้าซูหนานก็ยังคงเยือกเย็นเหมือนที่เคยเป็น อย่าว่าแต่ค่ายกลเลย ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามเป็น นรกขุมที่18 เขาก็ไม่เคยขมวดคิ้วเลย
“โจมตี!” เย่ซื่อหมิงตะโกนเสียงดัง
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสใหญ่ก็กระโดดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วตะโกนเสียงดังว่า: “เก้าพิฆาตเงาหลอน!”
ผู้อาวุโสอีกแปดคนที่เหลือก็กระโดดขึ้นกลางอากาศเช่นกัน
บรรดาลูกศิษย์พวกนั้นก็สลับตำแหน่งกันอีกครั้งหนึ่ง วางเป็นเก้าค่ายกลขึ้นมา แล้วต่างก็ถ่ายเทชี่ทิพย์แท้ในร่างของตัวเอง ส่งต่อให้กับผู้อาวุโสทั้งเก้าคนนั้น
ทันใดนั้น พลังในร่างของผู้อาวุโสทั้งเก้าก็เพิ่มขึ้นมาทันที
“ฮึด!”
ความเชื่อมั่นในใจของพวกผู้อาวุโสทั้งเก้าก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย คำรามเสียงดังออกมาด้วยความเชื่อมั่นว่าจะต้องชนะ ทั้งเก้าคนแยกออกเป็นสามกลุ่ม แล้วต่างก็ชกหมัดออกไปยังพวกซูจื่อเหลียงทั้งสามคนอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ระวังนะ!”
ซูจื่อเหลียงสีหน้าเคร่งขรึม เขารับรู้ถึงความรุนแรงในการโจมตีครั้งนี้
ด้วยพลังฝึกฝนของเขา ต่อสู้กับผู้อาวุโสสามคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ตอนนี้ เขารู้สึกว่าแค่ต่อสู้กับผู้อาวุโสคนใดคนหนึ่งก็ยังลำบากเลย
คาร์นอตวิลเลียมก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้อาวุโสพวกนั้นอย่างเห็นได้ชัด จึงตะโกนพูดโวยวายว่า: “ไอ้พวกสมควรตาย แต่นี่มันเป็นค่ายกลผีอะไรวะ ถึงกับยังร้ายกาจกว่าวิชาเผาโลหิตของเผ่าโลหิตพวกเราเสียอีก!”
สีหน้าที่เยือกเย็นของซูหนานก็แสดงออกถึงความเคร่งขรึมเล็กน้อย แต่ว่าก็ยังคงไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
ทั้งสามคนก็แสดงฝีมือท่าเด็ดไม้ตายของตัวเองออกมา เพื่อต้านทานการโจมตีจากการ ร่วมมือของผู้อาวุโสทั้งเก้าคน
โป้งโป้งโป้งโป้งๆๆๆ
เสียงที่เกิดจากปะทะของพลังหมัดทั้งหลายก็ดังสนันหวั่นไหวขึ้น กึกก้องไปทั่วท้องฟ้าบริเวณเหนือทะเลสาบเยว่หยาอย่างต่อเนื่อง พลังที่แข็งแกร่งทำให้ชี่ทิพย์ฟ้าดินที่ปกคลุมอย่างหนาทึบนั้นจางหายไปจนหมดสิ้น
พวกซูจื่อเหลียงทั้งสามคน ก็ถูกกระแทกกระเด็นปลิวออกไปในเวลาเดียวกัน
ทั้งหวางซูเฟินและหลินซื่อเฉิงทั้งสองคนที่หลบอยู่ในคฤหาสน์ ในใจก็รู้สึกตกใจมาก
“สงสัยว่า พวกเขาสามคนคงต้านทานไว้ไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าเสี่ยวหยุนจะกลับมาถึงเมื่อไหร่?” นายท่านหลินซื่อเฉิงขมวดคิ้วแล้วถอนหายใจ
หวางซูเฟินพูดว่า: “อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยค่ะ ฉินหลันได้โทรศัพท์มาหาลูกแล้วบอกว่า พวกเขากำลังอยู่ในระหว่างการเดินทาง คงจวนจะถึงแล้วล่ะ!”
หลินซื่อเฉิงรู้สึกกังวลใจมาก “ก็ขอให้เขาสามารถมาได้ทันด้วยเถอะ! ฉันก็กลัวว่าพวกเขาสามคนจะต้านรับไม่ไหวแล้ว!”
หลินซื่อเฉิงยังมีคำพูดที่ยังพูดไม่จบ ถ้าพวกซูจื่อเหลียงทั้งสามคนพ่ายแพ้ขึ้นมาจริงๆละก็ ต่อให้หลินหยุนกลับมาทันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว
เย่ซื่อหมิงเมื่อเห็นว่าฝ่ายตัวเองที่อยู่ภายใต้การช่วยเหลือของค่ายกลหลงทางอู๋อิ่ง ในที่สุดก็กลับได้เปรียบขึ้นมาแล้ว จึงพูดด้วยเสียงหัวเราะที่ดีใจขึ้นมาทันทีว่า: “พวกแกทั้งสามคน ตอนนี้รู้ถึงความร้ายกาจของสำนักอู๋อิ่งของพวกเราแล้วสิ!”
“ถ้าตอนนี้พวกแกยอมแปรพักตร์มาอยู่กับฉันละก็ ฉันสามารถให้ตำแหน่งผู้อาวุโสกับพวกแกทุกคนเลยนะ ยังไงก็ยังดีกว่าเป็นลูกน้องของปรมาจารย์หลิน ที่เป็นได้แค่เด็กรับใช้ยกน้ำชาเท่านั้น!”
ซูจื่อเหลียงก็เช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก แล้วพูดเยาะเย้ยด้วยสีหน้าดูถูกว่า “ฮึ่อ อย่างแกเนี่ยนะ หิ้วรองเท้าให้อาจารย์ฉันก็ยังไม่คู่ควรเลย!”
“ยังคิดอยากจะให้พวกเราแปรพักตร์ไปอยู่กับแกอีก ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้าง อย่างแกนี่คู่ควรเหรอ?”
ซูหนานไม่ได้พูดอะไร เดินไปหาซูจื่อเหลียงแล้วยืนอยู่ด้วยกันอีกครั้ง พยายามควบคุม ลมหายใจที่แปรปรวนภายในร่างกายตัวเอง
ดูเหมือนว่าคาร์นอตวิลเลียมจะเป็นคนที่ผ่อนคลายที่สุด มองดูเย่ซื่อหมิงด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วพูดว่า “แกคิดอยากให้พวกเราแปรพักตร์ไปอยู่กับแกใช่ไหม?”
“งั้นก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่แกสามารถเอาชนะปรมาจารย์หลินได้ ฉันก็จะยอมไปอยู่กับแก!”
ซูจื่อเหลียงขมวดคิ้ว ทำตาถลนใส่คาร์นอตวิลเลียม แต่ว่าซูจื่อเหลียงรู้ว่าเขาเป็นแขกของ หลินหยุน
ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจกับท่าทีที่โลเลไร้จุดยืนของคาร์นอตวิลเลียมก็จริง แต่ก็ไม่กล้าไปกล่าวโทษอะไร
เย่ซื่อหมิงพูดเยาะเย้ยว่า “ปรมาจารย์หลินไอ้เต่าหัวหดนั้น ตอนนี้ยังไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนเลย กลับให้พวกแกสามคนมาเป็นแพะรับบาปยอมตายแทนเขา!”
“ฉันก็อยากจะเอาชนะเขา แต่ว่าฉันก็ต้องหาตัวเขาให้เจอก่อนสิ!”
คาร์นอตวิลเลียมหัวเราะแล้วพูดว่า: “งั้นแกก็ต้องรอให้ปรมาจารย์หลินมาถึงก่อน แล้วค่อยมาคุยกับพวกฉันสิ!”
เย่ซื่อหมิงเข้าใจขึ้นมาทันที จ้องหน้าคาร์นอตวิลเลียม แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าเด็กเปรต แกถึงกับใช้กลอุบายมาล่อลวงฉัน!”
“เกือบจะหลงกลแกซะแล้ว!”
“ฮื่อ ถ้ายังหาปรมาจารย์หลินไม่เจอ ฉันก็จะจัดการกับพวกแกก่อน แล้วค่อยรอปรมาจารย์หลินกลับมา!”
“ผู้อาวุโสใหญ่ โจมตีต่อไป!”
“ครับ!” ผู้อาวุโสใหญ่ก็อดรนทนไม่ไหวมานานแล้ว มีค่ายกลหลงทางอู๋อิ่งคอยช่วยเหลืออยู่ ในที่สุดเขาก็สามารถเอาชนะซูจื่อเหลียงได้ ล้างความอายก่อนหน้านั้นได้เสียที
หลังจากผ่านไปหลายกระบวนท่าแล้ว พวกซูจื่อเหลียงทั้งสามคนก็ตกอยู่ในสภาวะไม่ค่อยสู้ดีนัก
คาร์นอตวิลเลียมหายใจกระหืดกระหอบ พูดด้วยสีหน้าแปลกประหลาดว่า “คนจีนพวกคุณเป็นชนเผ่าที่น่าอัศจรรย์มากจริงๆเลย ของที่แปลกประหลาดอย่างนี้ก็ยังคิดออกมาได้!”
“ถ้าพวกเราเผ่าโลหิตสามารถฝึกค่ายกลพวกนี้ได้ละก็ งั้นพวกเราก็สามารถที่จะไปลุยสู้กับคนสรวงเทพสว่างพวกนั้นให้แตกกระจุยไปเลย!”
ซูจื่อเหลียงไม่ได้สบายเหมือนเขาเช่นนั้น ในบรรดาทั้งสามคน ซูจื่อเหลียงได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด ตอนนี้เหลือพลังการต่อสู้เพียงแค่สามส่วนเท่านั้น
“ถ้าหากอาจารย์อยู่ที่นี่ ไหนเลยจะปล่อยให้คนถ่อยพวกนี้มาโอหังเช่นนี้ได้!” ซูจื่อเหลียงพูดด้วยความโกรธ
ซูหนานพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า “สู้ตายกับพวกเขาเลย”
เย่ซื่อหมิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง: “สู้ตายเหรอ? พวกแกก็คู่ควรเหรอ!”
“ผู้อาวุโสใหญ่ จัดการพวกเขาเลย จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยง!”
ผู้อาวุโสใหญ่คำรามเสียงดังว่า “เงาหลอนเก้าชั้น!”
พวกลูกศิษย์เหล่านั้น ก็เริ่มวิ่งวนเวียนรอบๆซูจื่อเหลียงทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว ตอนแรกทั้งสามคนก็ไม่ได้รู้สึกมีอะไรผิดปกติ
แต่ว่า หลังจากที่พวกลูกศิษย์เหล่านั้นวิ่งไปวิ่งมาหลายรอบแล้ว พวกซูจื่อเหลียงทั้งสามคนก็พบว่า พวกเขาถึงกับมองไม่เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าเลย
เห็นแต่เงาร่างคนจำนวนมากมายวิ่งแวบผ่านตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสทั้งเก้าคนของสำนักอู๋อิ่งอยู่ที่ไหน พวกเขามองไม่เห็นเลย
“นี่คืออะไรเหรอ? คาถาพรางตาเหรอ?” ซูจื่อเหลียงขมวดคิ้ว
ซูหนานตะคอกด้วยเสียงเย็นชาว่า “ฮื่อ แน่จริงก็สู้กันซึ่งหน้าสิ ใช้วิธีเล่นกลบ้าบอแบบนี้ ไม่นับว่ามีฝีมืออะไรเลยนี่!”
คาร์นอตวิลเลียมพูดว่า “ถุยถุย ที่แท้นักบู๊ชาวจีนพวกแก ก็ชอบเล่นหมาหมู่ด้วย!”
“ฉันดูถูกพวกแกมาก ไม่มีความเป็นนักรบเลยแม้แต่นิดเดียว!”
เย่ซื่อหมิงยิ้มอย่างเยือกเย็น “จะตายอยู่แล้วยังปากแข็งอีก ถ้าแน่จริงก็ทำลายค่ายกลหลงทางอู๋อิ่งของฉันก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน!”
“ผู้อาวุโสใหญ่ ลุย!”
ผู้อาวุโสทั้งเก้าคน ก็บุกโจมตีอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้ พวกซูจื่อเหลียงทั้งสามคน ก็ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างสิ้นเชิง
คาร์นอตวิลเลียมอาศัยความได้เปรียบทางธรรมชาติของเผ่าโลหิต จึงได้หลบหลีกการจู่โจมพวกนั้นไปได้
ซูหนานก็อาศัยวิชาพินาศไม่สิ้นสูญที่แข็งแกร่ง ต้านรับการโจมตีพวกนั้นไว้ได้
แต่ว่า ซูจื่อเหลียงกลับได้แต่ถูกกระทืบอย่างเดียว
หลังจากต่อสู้กันไปหลายขบวนท่าแล้ว ซูจื่อเหลียงก็นอนลงกับพื้นกระอักเลือดออกมา แล้ว
ในเวลานี่เอง บนท้องฟ้าก็มีเสียงเครื่องบินดังขึ้นมาทันที
เย่ซื่อหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย รีบตะโกนใส่ผู้อาวุโสทันทีว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ ฆ่าพวกเขาเลย รีบปิดเกมให้เร็วที่สุด!”
“ครับ!” ผู้อาวุโสใหญ่ไม่เข้าใจว่าทำไมเย่ซื่อหมิงถึงได้สั่งให้ฆ่าคนกะทันหันเช่นนี้ แต่ว่าเขาก็ได้ทำตามที่บอก
เครื่องบินยังบินอยู่เหนือพื้นดินหลายหมื่นเมตร แต่ว่าสายตาที่แหลมคมของหลินหยุน ก็ย่อมต้องเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างล่าง
อีกทั้งยังได้เห็นซูจื่อเหลียงถูกทำร้ายจนเลือดท่วมตัว และยังมีซูหนานที่หมดเรี่ยวแรงในการต่อสู้แล้ว รวมทั้งคาร์นอตวิลเลียมที่ยังคงหลบไปหลบมาเหมือนค้างคาวตัวหนึ่งอีกด้วย
“เครื่องบินรีบลงด่วน!” หลินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงรีบเร่ง
ถึงแม้นักบินไม่รู้ว่าหลินหยุนจะทำอะไรก็ตาม แต่ก็ทำตามความต้องการของหลินหยุน รีบขับลงฉุกเฉินทันที
“พี่ฉินหลัน คุณรออยู่ที่นี่นะ เดี๋ยวผมจะลงไปช่วยคนก่อน” หลินหยุนหันหลังแล้วยิ้มให้กับฉินหลัน จากนั้นก็เปิดประตูห้องเครื่องโดยสารแล้วกระโดดลงไปทันที
“โอ้ย!”
นักบินสะดุ้งตกใจ “ที่นี่ห่างจากพื้นดินหลายพันเมตรเลย เขาทำไมถึงกระโดดลงไปล่ะ!”
ฉินหลันก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แต่ว่านึกถึงเมื่อก่อนตอนที่หลินหยุนเคยกระโดดลงจากเครื่องบินแล้ว ในใจก็รู้สึกสบายใจขึ้น
ส่วนข้างล่างนั้น พวกผู้อาวุโสใหญ่เหล่านั้นกำลังเตรียมพร้อมการโจมตีครั้งสุดท้าย จะสังหารซูจื่อเหลียงก่อน จากนั้นก็ตามฆ่าซูหนาน และคาร์นอตวิลเลียมต่อไป
ทันใดนั้นพวกเขารู้สึกมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น จึงแหงนมองดูท้องฟ้าด้วยความแตกตื่นตกใจ
มีพลังงานที่แข็งแกร่งมากจนยากที่จะต้านทานไหว ฟาดลงมาจากฟากฟ้า พร้อมกับน้ำเสียงเรียบง่ายที่เยือกเย็นไร้ความรู้สึก
“ค้อนดาวร่วงในสิบแปดท่าต้าเต๋า!”