จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 841 อัจฉริยะตระกูลหวาง
หลังจากสอบถามหวางซูเฟินและหลินซื่อเฉิงแล้ว หลินหยุนก็มาดูอาการของซูจื่อเหลียงในห้อง
ตอนนี้ซูจื่อเหลียงก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว ซูหนานและคาร์นอตวิลเลียมกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นหลินหยุน ซูหนานก็ลุกขึ้นยืน ก้มหน้าลง
คาร์นอตวิลเลียมก็ยักคิ้วให้ แล้วดื่มน้ำชาต่อไป
ซูจื่อเหลียงก็รีบลุกขึ้นยืน แต่มีพลังที่อ่อนโยนแรงหนึ่ง กดห้ามเขาให้นอนลงกับเตียง
“นอนคุยก็ได้นะ!” หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ
หลังจากนั้น สายตาหลินหยุนก็มองไปยังซูหนานและคาร์นอตวิลเลียม: “คราวนี้ โชคดีที่มีพวกคุณอยู่!”
ซูหนานพูดด้วยเสียงเข้มว่า: “ทะเลสาบเย่วหยาก็เป็นบ้านของพวกเราเหมือนกัน”
คาร์นอตวิลเลียมกลับหัวเราะแฮะๆ: “คราวนี้ฉันช่วยคุณขนาดนี้แล้ว คุณมีอะไรจะตอบแทนฉันหรือเปล่าล่ะ?”
“เดี๋ยวค่อยคุยกัน ฉันขอดูอาการบาดเจ็บของซูจื่อเหลียงก่อน” หลินหยุนก็เดินไปยังซูจื่อเหลียง
ซูจื่อเหลียงมองไปยังหลินหยุน “ท่านอาจารย์ ศิษย์ไร้ความสามารถ!”
หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องโทษตัวเอง คุณได้ทำเต็มที่แล้ว”
หลินหยุนใช้มือข้างหนึ่งวางบนศีรษะของซูจื่อเหลียง จากนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนไป เพื่อตรวจดูอาการทั่วไปของร่างกายซูจื่อเหลียง
“อาการบาดเจ็บของคุณไม่น่าเป็นห่วง ฤทธิ์ยาของยาสร้างกระดูกคุณก็ได้ดูดซับไปครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าได้ดูดซับไปจนหมด คุณก็จะเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ทำให้พลังการฝึกฝนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ!”
“เวลาต่อจากนี้ คุณก็อยู่ที่นี่ดูดซับเอาฤทธิ์ยาของยาสร้างกระดูกให้หมดก่อนแล้วค่อยจากไป”
ซูจื่อเหลียงพยักหน้าอย่างนอบน้อม “ศิษย์รับทราบครับ!”
หลินหยุนหันไปมองซูหนาน “วิชาพินาศไม่สิ้นสูญของคุณก็ได้เข้าถึงเรียบร้อยแล้ว แค่ฝึกต่อไปเรื่อยๆก็ใช้ได้แล้ว อีกไม่นานคุณก็จะไปถึงระดับเดียวกับนักบู๊แดนเทพแล้ว”
“ครับ!” ซูหนานพูดพลางก้มหน้าลง
สายตาของหลินหยุนก็มองไปยังคาร์นอตวิลเลียม เจ้าหมอนี่สีหน้าเย่อหยิ่ง ยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ มองดูหลินหยุน
ดูเหมือนกำลังรอคอยประโยชน์อะไรบางอย่างอยู่
“พลังแรงของเผ่าโลหิต ได้รับการสืบทอดทางสายเลือด ดังนั้น ระดับชนชั้นของเผ่าโลหิตจะถูกกำหนดจากระดับความแข็งแรงของสายเลือดของเผ่าโลหิตเอง”
คาร์นอตวิลเลียมค้อนใส่ “อันนี้ฉันก็รู้แล้ว ยังต้องให้คุณมาพูดอีกเหรอ?”
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย “ถ้าฉันมีวิธีฝึกฝนสำหรับคนเผ่าโลหิตล่ะ? สามารถหลุดพ้นจากข้อผูกมัดจากสายเลือดของชนเผ่าโลหิต แล้วผ่านการฝึกฝนบำเพ็ญตนจนทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”
คาร์นอตวิลเลียมกระโดดขึ้นมาทันที ราวกับแมวที่ถูกเหยียบหาง
“คุณพูดจริงหรือเปล่า? คุณอย่าโกหกฉันนะ!”
พละกำลังของเผ่าโลหิตได้มาจากสายเลือดโดยกำเนิด เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญพิเศษจากโลกตะวันตก หรือนักบู๊โลกตะวันออกแล้ว ก็จะได้เปรียบกว่ากันมากเลย
แต่ว่า ถ้าเผ่าโลหิตคิดอยากจะเพิ่มพูนพละกำลังของตัวเอง ก็ต้องอาศัยการหยั่งรู้ทางสายเลือดเป็นเวลาที่ยาวนาน ดังนั้นชนเผ่าโลหิตโดยทั่วไปที่มีพละกำลังแข็งแกร่ง ก็ล้วนเป็นตัวประหลาดที่มีอายุยืนยาวมาก
ประเด็นนี้ เผ่าโลหิตก็จะสู้นักบู๊โลกตะวันออกไม่ได้ เพราะนักบู๊สามารถอาศัยวรยุทธ์ในการฝึกฝนบำเพ็ญตน ถ้ายิ่งมีพรสวรรค์ติดตัวมาด้วยล่ะก็ ในระยะเวลาอันสั้นก็จะสามารถมีพละกำลังมากพอที่จะเอาชนะผู้แข็งแกร่งจากเผ่าโลหิตได้แล้ว
แต่ว่า ถ้าเผ่าโลหิตสามารถฝึกฝนบำเพ็ญตนด้วยล่ะก็ ความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า ควรที่จะฝืนลิขิตฟ้าได้ขนาดไหน!
เพียงแค่คิดฝัน คาร์นอตวิลเลียมก็แทบจะบังคับความตื่นเต้นในใจไม่ไหวแล้ว
“ถ้าฉันก็สามารถฝึกฝนบำเพ็ญเพียรด้วยล่ะก็ ฉันก็จะรีบกลับไปที่บ้านตระกูล ไปซัดตาแก่แดรกคูล่านั่นให้ฟันร่วงหมดปากไปเลย!”
หลินหยุนขี้เกียจไปพูดมากกับเขา ใช้นิ้วชี้ไปยังหว่างคิ้วของคาร์นอตวิลเลียม
วิชาบู๊ลึกลับซับซ้อนที่เข้าใจยากตอนหนึ่ง ก็ได้ประทับอยู่ในสมองของคาร์นอตวิลเลียม
มองดูคาร์นอตวิลเลียมที่งงเป็นไก่ตาแตก หลินหยุนก็พูดอย่างเรียบๆว่า: “จะฝึกฝนได้สำเร็จหรือไม่ ก็อยู่ที่บุญวาสนาของคุณแล้วนะ”
คาร์นอตวิลเลียมดูเหมือนกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับวิชาบู๊ที่ลึกลับซับซ้อนเข้าใจยากนั้น ไม่ได้สนใจหลินหยุนเลย
หลินหยุนก็ไม่ไปรบกวน นั่งมองเขาอย่างเงียบๆบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง
ก็เห็นสีหน้าของคาร์นอตวิลเลียมกระปรี้กระเปร่ามาก ใบหน้าที่หล่อเหลาจนไม่เหมือนหน้าคนนั้น ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก็เกาหูเกาคาง
ผ่านไประยะหนึ่ง เขาจึงถอนหายใจเฮือก ตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นมา
มองดูหลินหยุน สีหน้าท่าทางของคาร์นอตวิลเลียมเว่อร์วังมาก ตะโกนร้องว่า “คุณหลินสุดที่รัก คุณถ่ายทอดอักษรกระดองเต่ากระดูกสัตว์ให้ฉันหรือไง?”
“นี่มันก็ยากเกินไปหรือเปล่า?”
หลินหยุนจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ แล้วพูดอย่างเรียบๆว่า: “นี่คือการถ่ายทอดวิชาจากดวงจิตต์ ถ้าคุณยังไม่สามารถเข้าใจล่ะก็ งั้นแสดงว่าคุณไม่เหมาะสมในการฝึกฝนบำเพ็ญเซียนแล้ว”
คาร์นอตวิลเลียมพูดว่า: “เป็นไปได้ไง! ฉันเป็นถึงยอดอัจฉริยะในอัจฉริยะเชียวนะ ถ้าหากแม้แต่ฉันก็ยังไม่สามารถฝึกได้ล่ะก็ คนอื่นก็ไม่มีใครที่จะฝึกได้อีกแล้วล่ะ”
“วางใจเถอะ ฉันจะต้องฝึกได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อจัดการกับสำนักอู๋อิ่งแล้ว ก็ได้สยบการคุกคามทั้งหลายลงได้แล้ว หวางซูเฟินและหลินซื่อเฉิงต่างก็แยกย้ายกันกลับไป
สามารถช่วยฉินหลันกลับมาได้อย่างปลอดภัย ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นระทึกใจทีเดียว
สมาชิกหน่วยมังกรที่รับผิดชอบในการติดตามข่าว ก็ได้แจ้งข่าวกลับไปยังประธานาธิบดีแล้ว
ประธานาธิบดีก็รู้สึกโล่งอก หงซานเหอก็ไปปกป้องชายแดนรักษารั้วของชาติต่อไป หลังจากผ่านการต่อสู้ครั้งนี้แล้ว ทำให้หลินหยุนเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างแรง
ในใจหลินหยุนก็แอบคิดวางแผนไว้ว่า ถึงเวลาที่ต้องขยายอำนาจบารมีของตัวเองบ้างแล้ว
ไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พลังความสามารถของตัวเองจะแข็งแกร่งยังไงก็ตาม ก็จะต้องมีช่วงเวลาที่อาจเกิดความผิดพลาดขึ้นมาบ้าง
แต่ว่า ถึงแม้เขาจะขยายอำนาจบารมีของตัวเองไปได้ก็จริง ก็ต้องอาศัยซูจื่อเหลียงเป็นคนช่วยดูแลรับผิดชอบ เพราะลำพังตัวเขาเองก็ไม่มีเวลามากพอที่จะไปจัดการเรื่องพวกนี้ได้
ตอนนี้โลกบู๊โบราณก็จวนจะแจ้งเกิดแล้ว พลังความสามารถของโลกบู๊โบราณ น่าจะแข็งแกร่งกว่าโลกบู๊อีกมากเลยทีเดียว
แล้วยังมีสำนักโม่งเหมินที่ลึกลับนั้นอีก อาจไม่แน่ยังมีอำนาจอิทธิพลที่แข็งแกร่งกว่าแอบแฝงอยู่ภายในก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนที่แท้จริง อาจไม่แน่ยังมีเหลืออยู่ในโลกใบนี้อีกก็ได้ ฉะนั้นแล้วสิ่งสำคัญเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ ก็ยังจำเป็นต้องเร่งยกระดับการฝึกฝนบำเพ็ญตนให้สูงขึ้น
หลินหยุนยืนอยู่บนดาดฟ้าของคฤหาสน์ตึกว่างเยว่ มองลงไปยังผิวน้ำที่มีคลื่นพลิ้วไหลเล็กน้อยของทะเลสาบเยว่หยา ก็เริ่มวางแผนที่จะต้องทำต่อจากนี้ไป
“หลังจากผ่านการสู้รบติดต่อกันหลายครั้งแล้ว ชี่ทิพย์ในร่างกายฉันก็ได้รับการหล่อหลอมเพิ่มขึ้นมากแล้ว ตัวอ่อนยาทองก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ถึงเวลาที่จะเริ่มการรวมยาได้แล้ว!”
“เสียดายที่ว่า ยาวิเศษบนโลกใบนี้มีน้อยมาก ถ้ามียารวมทิพย์เพลิงแดงสักเม็ดหนึ่งละก็ รอให้ฉันผลิตยาอ่อนจางสำเร็จก่อน ก็จะช่วยในการหล่อหลอมยาอ่อนจางได้อีกด้วย”
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว หลินหยุนก็รีบวางค่ายกลคุ้มภัยให้กับตัวเอง จากนั้นก็เริ่มฝึกฝนบำเพ็ญตนบนดาดฟ้านั้น
สำหรับเรื่องที่ใครเป็นคนใช้ชื่อของเขาไปสังหารเจ้าสำนักน้อยของสำนักอู๋อิ่งนั้น หลินหยุนก็ไม่ใส่ใจที่จะสืบหาแล้ว
เขาเชื่อว่า คนร้ายตัวจริงที่อยู่เบื้องหลัง ก็จะต้องกระโดดออกมาอีกอย่างแน่นอน
ในขณะนี้เอง ที่บริเวณเชิงเขาทะเลสาบเยว่หยา ภายในสวนป่าที่อยู่นอกเขตการปกคลุมของค่ายกลพรสวรรค์ห้าธาตุนั้น
มีหญิงสาวชุดดำปิดปังใบหน้าคนหนึ่ง ตัวเบาราวกับนกกระจอกตัวหนึ่ง ยืนอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
หญิงสาวรูปร่างอรชรอ่อนแอ่น คิ้วโค้งที่เรียวงาม ถึงแม้จะปิดปังใบหน้าอยู่ก็ยังสามารถดูออกว่าเธอต้องเป็นคนสวยอย่างแน่นอน
“ตั้งนานก็ยังไม่เห็นออกมาเลย สงสัยว่าสำนักอู๋อิ่งคงถูกถล่มจนสิ้นซากไปหมดแล้วล่ะ!”
หญิงสาวไม่ได้แปลกใจอะไรเลย ดูเหมือนการถูกถล่มยับของสำนักอู๋อิ่งนั้น ก็อยู่ในการคาดหมายของเธออยู่ก่อนแล้ว
“จากนี้ไป ก็ควรจะปฏิบัติตามแผนขั้นต่อไปแล้ว”
“หลินหยุน ฉันจะให้แกได้ลิ้มรสเสียบ้างว่า อะไรคือความสิ้นหวัง!”
หญิงสาวคนนั้นพูดพลางก็มองไปยังยอดเขาด้วยความเคียดแค้น จากนั้นก็หันหลังกลับแล้วหายตัวแวบไปอย่างรวดเร็ว
ตระกูลหวางที่เมืองหลวง
หวางจิงหลงเอามือไขว้หลัง ยืนอยู่หน้าภาพวาดทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำหมื่นลี้ที่ใหญ่โตมโหฬารภายในห้องโถงใหญ่ ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
ผู้บริหารระดับสูงทั้งหลายของตระกูลหวาง ก็นั่งอยู่ข้างล่างอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถึงแม้ว่าตอนนี้ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในประเทศจีนก็ตาม แต่ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าบ้านคนนี้แล้ว กลับไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเลย
ทุกคนในตระกูลหวางต่างก็รู้ดีว่า ไม่นานมานี้เจ้าบ้านได้เสียท่าให้กับหลินหยุน
ตอนนี้ เกรงว่ายังไม่หายโกรธเลย
หวางเจ๋อที่ยืนอยู่ด้านหลังของหวางโสวหลี่พี่ใหญ่ตระกูลหวาง ก้มหน้าลงเล็กน้อย สีหน้าท่าทางค่อยๆหดหู่
หวางจิ่งหลงถามด้วยเสียงเข้มว่า:“ลูกเฉียนเมื่อไหร่จะมาถึง?”
หวางโสวหลี่ก็ลุกขึ้นยืน ตอบอย่างนอบน้อมว่า “น่าจะถึงจวนแล้วล่ะ เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้วโทรศัพท์มาหา บอกว่าตอนนี้อยู่ที่สถานีแล้ว!”
“หรือไม่ พวกเราทานข้าวกันก่อนดีไหม? ไม่ต้องรอเขาหรอก?” หวางโสวหลี่จึงถามหยั่งเชิง ในเมื่อผู้คนทั้งหลายเหล่านี้ ก็นั่งรอมาชั่วโมงกว่าแล้ว
หวางจิงหลงพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “รอก่อน!”