จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 85 ความพ่ายแพ้
บทที่ 85 ความพ่ายแพ้
หลิ่วเฉิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มที่เหยียดหยามว่า“น่าขันเสียจริง! หากว่าเขาสามารถเอาชนะได้ แล้วจะถูกกดดันอย่างหนักได้อย่างไร? ”
“แล้วถ้าเขาถูกกดดันอย่างหนัก จะสามารถเอาชนะได้อย่างไรกัน? ”
“คำตอบแบบนี้ของท่านมันดูขัดแย้งกัน เป็นคำพูดที่ไร้สาระเสียจริง! ”
หลินหยุนก็ไม่ได้ที่จะไปมีปากมีเสียงกับเขา พูดด้วยท่าทางที่ไร้อารมณ์ว่า“ข้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าหรือไม่ ดูดูกันไปก็จะทราบได้เอง”
หลิ่วเฉิงเฟิงร้อนรนที่จะกอบกู้ชื่อเสียงหน้าตาที่เสียท่าไปเมื่อครู่นี้ เขาคิดว่าที่หลินหยุนพูดครั้งนี้เป็นการพูดมั่วซั่วสุ่มสี่สุ่มห้า
“ดีเลย ข้าจะใช้ข้อเท็จจริงเพื่อมาเปิดโปงคำหลอกลวงของท่าน! ” หลิ่วเฉิงเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้มที่มั่นใจ
ซูจื่อเหลียงฝึกฝนวิชาวิทยายุทธ์ตามที่หลินหยุนได้ถ่ายทอดให้เขา พลังภายในร่างกายแข็งแกร่งหนักแน่นกว่านักบู๊ในระดับเดียวกัน ซูจื่อเหลียงเปี่ยมด้วยพลังภายใน แต่กลับไม่เคยได้เรียนรู้กระบวนท่าวิชาใด ๆ เลย
ยิ่งกว่านั้น นี่คือครั้งแรกที่ซูจื่อเหลียงประลองฝีมือกับผู้อื่น ไม่เคยมีประสบการณ์แม้แต่น้อย
ดังนั้น ในช่วงสิบกระบวนท่าแรกซูจื่อเหลียงมือเท้าสับสนจนทำอะไรไม่ถูก อาศัยพึ่งพลังภายในที่แกร่งกล้าจึงยืนหยัดเอาไว้ได้
แต่ว่าซูจื่อเหลียงสติปัญญาดีมีไหวพริบรับรู้อะไรได้รวดเร็ว หลังจากผ่านไปไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถจับจุดรับรู้ถึงเคล็ดลับบางอย่างได้ ต่อให้กระบวนท่าวิชาของฉินลู่จะงดงามแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถที่จะทดแทนส่วนของพลังภายในที่ขาดได้ ท้ายที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ไป
ผลของการต่อสู้ในครั้งนี้ตรงตามที่หลินหยุนคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก ในสิบกระบวนท่าแรก ซูจื่อเหลียงโดนฉินลู่รุกเข้าชกไม่ยั้ง แต่เมื่อผ่านไปสิบกระบวนท่าแล้ว ซูจื่อเหลียงก็เริ่มเป็นฝ่ายควบคุมจังหวะ จนถึงกระบวนท่าที่ยี่สิบแปด การต่อสู้ก็ยุติลง
ที่จริงแล้วเดิมทีซูจื่อเหลียงสามารถที่จะยุติการต่อสู้ได้ในช่วงกระบวนท่าที่สิบห้า แต่นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกของเขา ไม่อยากที่จะยุติการต่อสู้ลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงตั้งใจยอมอ่อนเชิงให้
เห็นสภาพการณ์เหมือนกับที่หลินหยุนคาดเดาไว้ไม่มีผิดเพี้ยน เส้เทียนหัวตะลึงอย่างมาก พูดด้วยท่าทีที่เลื่อมใส“คุณท่านหลินท่านเทพจริง ๆ! ”
หลิ่วเฉิงเฟิงสีหน้าท่าทางไม่ดี คิดไม่ถึงว่าหลินหยุนจะทายได้อย่างแม่นยำ
ฉินลู่กลับคืนสู่ทัพฝ่ายตระกูลฉิน อดทนต่อบาดแผลและความเจ็บปวดในร่างกาย คำนับแล้วพูดกับฉินอู๋ชีว่า“ฉินลู่ไม่มีความสามารถ ทำให้ตระกูลฉินสูญเสียเกียรติและความน่าเกรงขาม! ”
ฉินอู๋ชีพูดด้วยสีหน้าอันหม่นหมองว่า“นายทำเต็มที่แล้ว รีบไปพักรักษาอาการเถอะ! ”
“การต่อสู้ในยกถัดไป ข้าจะเป็นผู้เข้าประลองเอง! ”
เมื่อฉินอู๋ชีพูดจบ ก็กระโดดขึ้น ไปสู่พื้นที่ว่างข้างศาลา
เส้เทียนหัวเห็นดังนั้น พูดด้วยความเย้ยหยันว่าฉินอู๋ชี นี่ท่านต้องการที่จะออกโรงประลองฝีมือเองเลยเหรอ? เท่าที่เห็นตระกูลฉินของท่านไม่เหลือใครแล้วใช่ไหม!
ฉินอู๋ชีพูดอย่างเย็นชาว่า“ไม่ต้องมาพูดพร่ำเพรื่อ เอาชนะข้าได้ท่านจึงจะมีสิทธิ์ที่จะโอ้อวด! ”
ซูจื่อเหลียงส่งเสียงฮึม เตรียมที่จะบุกเข้าโจมตี
หลินหยุนพูดขึ้นกะทันหันว่า“เขาระดับพรสวรรค์ นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา กลับเข้ามาเถอะ! ”
ซูจื่อเหลียงตะลึงชั่วขณะ หันกลับไปมองที่หลินหยุน จิตใจไม่ยินยอมอย่างมาก แต่ไม่กล้าที่จะขัดขืนต่อหลินหยุน จึงหันหลังกลับมายืนอยู่ข้างหลินหยุน
“นี่มัน……” เส้เทียนหัวมองไปที่หลินหยุนด้วยความตะขิดตะขวงใจ ซูจื่อเหลียงยังไม่ทันได้ประลองฝีมือก็กลับเข้ามาแล้ว แบบนี้หมายความว่าอย่างไร?
แต่ว่า ซูจื่อเหลียงสามารถช่วยเขาเอาชนะได้แล้วหนึ่งยก เขาจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก!
ไม่มีทางเลือก เส้เทียนหัวทำได้เพียงมองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิง คารวะและพูดด้วยรอยยิ้มว่า“ปรมาจารย์หลิ่ว ครั้งนี้คงจะต้องรบกวนท่านแสดงฝีมือแล้ว! ”
หลิ่วเฉิงเฟิงมีท่าทีที่หยิ่งผยอง มองไปยังหลินหยุน พูดอย่างเหยียดหยามว่า“ไอ้หนุ่มน้อย นับว่านายยังรู้จักตนเองดีพอ รู้ถึงความเก่งกาจของนักบู๊พรสวรรค์ ไม่อย่างนั้นอาจารย์ของนายคงจะไม่มีชีวิตกลับมาได้อีกตลอดไป! ”
ซูจื่อเหลียงมองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิงราวกับว่ามองไปที่คนโง่อย่างไรอย่างนั้น คนผู้นี้รู้สึกว่าตนเองดีเป็นน่าพอใจอยู่ตลอด ทั้งที่จริงไม่ทราบเลยว่าหลินหยุนมีความสามารถเก่งกาจมากเพียงใด!
หลินหยุนก็ไม่อยากที่จะถือโทษโกรธเคืองกับผู้ที่เสมือนกบในกะลาเช่นนี้ ยังคงเก็บเงียบไม่พูดอะไร
หลินหยุนไม่พูด หลิ่วเฉิงเฟิงกลับนึกว่าหลินหยุนหวาดกลัว จึงหัวเราะเยาะเย้ย กระโดด ไปที่ด้านตรงข้ามของฉินอู๋ชี
“ข้าคือหลิ่วเฉิงเฟิงแห่งเว่ยเหอ ท่านคือผู้ใดบอกชื่อเสียงเรียงนามของท่านมา แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยประลองยุทธ์กับผู้ที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม! ” หลิ่วเฉิงเฟิงกล่าวด้วยท่าทางโอหัง
“หลิ่วเฉิงเฟิงฝ่ามือเหล็กแห่งเมืองเว่ยเหอ ที่แท้ก็คือท่านนั่นเอง! ฉินอู๋ชีกล่าว”
หลิ่วเฉิงเฟิงเงยหน้าขึ้น พูดพร้อมกับท่าทางหยิ่งยโสว่า“ในเมื่อท่านเคยได้ยินชื่อเสียงของข้ามาก่อนแล้ว หากตอนนี้จะยอมแพ้ก็ยังทัน จะได้ไม่ทำให้ร่างกายต้องบาดเจ็บและทรมาน! ”
“เหอะเหอะ ฉินอู๋ชีแห่งตระกูลฉิน มาลองทดสอบรับพลังฝ่ามือเหล็กของท่าน! ” ฉินอู๋ชีกล่าวอย่างเย็นชา
หลิ่วเฉิงเฟิงส่งเสียงฮึม“เจ้าพวกโง่เขลาและดื้อรั้น!”
จากนั้น ฝ่ามือของหลิ่วเฉิงเฟิงได้รวบรวมพลังอยู่ที่บริเวณหน้าอก ตัวเขาเปรียบเสมือนสายลม ลอยพุ่งตรงไปยังฉินอู๋ชี
“เตรียมรับพลังฝ่ามือของข้า! ”
ฉินอู๋ชีไม่หลบหลีก ยกหมัดขึ้น รอหลิ่วเฉิงเฟิงเข้ามาแล้วก็ชกออกไป
ทั้งสองคนแลกพลังหมัดกันไปมา ต่อสู้กันด้วยฝีมือที่เท่าเทียม มองดูจากพลังยุทธ์ของทั้งสองแล้วไม่มีใครเป็นรองใคร
เส้เทียนหัวพูดบ่นไม่หยุด“หวังว่าปรมาจารย์จะเป็นผู้ชนะ ปรมาจารย์หลิ่วจะต้องชนะอย่างแน่นอน……”
พลังยุทธ์ของหลิ่วเฉิงเฟิงก็ถึงระดับขั้นพรสวรรค์ การห้ำหั่นกันระหว่างนักบู๊พรสวรรค์ทั้งสองคน เป็นภาพที่งดงามตระการตาอย่างมาก ลบล้างจินตนาการของคนธรรมดาทั่วไปทั้งหมด
ก็เหมือนกับว่ากำลังดูละครจอมยุทธ์ อาจจะดุเดือดเลือดพล่านมากยิ่งกว่าละครจอมยุทธ์ก็เป็นได้ เพราะว่ากระบวนท่ามากมายในหนังจอมยุทธ์ไม่สามารถถ่ายออกมาเป็นละครได้ แต่นักบู๊พรสวรรค์ที่แท้จริงกลับสามารถแสดงกระบวนท่าเหล่านี้ออกมาได้อย่างง่ายดาย
ซูจื่อเหลียงมองดูอย่างตาไม่กะพริบ อุทานว่า“นักบู๊พรสวรรค์เก่งกาจแกร่งกล้าเสียจริง หลิ่วเฉิงเฟิงผู้นี้แม้ว่าจะนิสัยไม่ดี แต่กลับมีพลังยุทธ์ที่เก่งกาจมากเลยทีเดียว! ”
หลินหยุนพูดว่า“เขาคงจะรับกระบวนท่าได้อย่างมากอีกไม่เกินสิบท่า ภายในสิบกระบวนท่านี้ จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน! ”
“โอ้ว? เขาดูเหมือนว่าสบายมากไม่มีปัญหาอะไร! สิบกระบวนท่าคงน้อยไปหน่อยหรือเปล่า! ” ซูจื่อเหลียงไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เพราะว่าตอนนี้หลิ่วเฉิงเฟิงยังไม่มีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้
ในระหว่างการต่อสู้ หลิ่วเฉิงเฟิงแอบบ่นบ้าง เพราะตอนแรกเริ่มเขาไม่รู้สึกว่าพลังยุทธ์ของฉินอู๋ชีจะเก่งกาจมากเท่าใด
แต่ว่า หลังจากที่ต่อสู้กันไปสักพัก หลิ่วเฉิงเฟิงรู้สึกว่าต่อให้เขาจะบุกจู่โจมอย่างไร ฉินอู๋ชีก็สามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย
ที่น่าแปลกที่สุดคือ ยิ่งหลิ่วเฉิงเฟิงโจมตีออกอาวุธรุนแรงมากแค่ไหน ฉินอู๋ชีตอบโต้กลับมาก็รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
หลิ่วเฉิงเฟิงเริ่มที่จะหงุดหงิด แต่ฉินอู๋ชีกลับยิ่งจะสงบมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากผ่านไปห้ากระบวนท่า หลิ่วเฉิงเฟิงเตรียมพลังโจมตีเป็นครั้งสุดท้าย!
การโจมตีปะทะที่รีบร้อน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คงจะทราบกันดี
หลิ่วเฉิงเฟิงถูกฉินอู๋ชีชกเข้าที่หน้าอกอย่างจัง ร่างกายลอยออกไปไกล
ซูจื่อเหลียงมองไปที่หลินหยุน ด้วยท่าทางเคารพและเลื่อมใส“อาจารย์บอกว่าภายในสิบกระบวนท่าจะต้องพ่ายแพ้ เขายืนหยัดได้เพียงแค่ห้ากระบวนท่าเท่านั้น อาจารย์ท่านเทพจริง ๆ! ”
เส้เทียนหัวลุกยืนขึ้น พูดอย่างหวาดผวาว่า“ปรมาจารย์หลิ่วก็พ่ายแพ้แล้ว ตอนนี้จะทำอย่างไรดี? ”
หลิ่วเฉิงเฟิงลุกขึ้นยืน เดินกลับไปนั่งที่ศาลา มองไปที่เส้เทียนหัวแล้วพูดว่า“ท่านเส้ พลังยุทธ์ของเขาเกรงว่าน่าจะเข้าใกล้ระดับขั้นพรสวรรค์สูงสุดแล้ว ข้าเพียงแค่มีทักษะด้านนั้นๆ ติดตัวมาแต่กำเนิดโดยไม่ต้องฝึกฝนอยู่ในระดับขั้นพรสวรรค์ชั้นสูง จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา! ”
แม้ว่าหลิ่วเฉิงเฟิงจะพ่ายแพ้แล้ว แต่ก็แสดงพลังยุทธ์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์กันแล้ว เส้เทียนหัวไม่กล้าที่จะล่วงเกิน
“ปรมาจารย์หลิ่วพูดเกินไปแล้ว พลังยุทธ์ของท่านทุกคนได้ประจักษ์กันไปแล้ว เพียงแต่ฉินอู๋ชีผู้นั้นมีฝีมือที่เก่งกาจมากกว่าเล็กน้อย วันใดวันหนึ่ง ท่านคงจะสามารถมีพลังยุทธ์ที่เหนือกว่าเขาได้แน่นอน! ” เส้เทียนหัวกล่าวอย่างนอบน้อม
ฉินอู๋ชียืนอยู่ที่พื้นที่ว่างด้านนอกของศาลา มองไปที่เส้เทียนหัวด้วยท่าทางที่โอ้อวด พูดอย่างเย็นชาว่า“เส้เทียนหัว นายยอมแล้วหรือยัง? ”
เส้เทียนหัวโกรธเคืองอย่างมาก แต่หลิ่วเฉิงเฟิงก็พ่ายแพ้แล้ว ฝ่ายเขาทางนี้ไม่มีใครที่จะออกมาต่อสู้ได้อีกแล้ว
“ท่านเส้ ทำไมไม่ลองเชิญคุณท่านหลินออกมาประลองยุทธ์สักยกล่ะ? ” อู๋กั๋วส้วงที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เส้เทียนหัวและท่านอื่นต่างคิดกันว่าที่พึ่งของหลินหยุนก็คือซูจื่อเหลียง ดังนั้นจึงมองข้ามหลินหยุนไป
แต่ว่า อู๋กั๋วส้วงให้ความสนใจในตัวหลินหยุนมาโดยตลอด ดูจากอากัปกิริยาที่ซูจื่อเหลียงปฏิบัติกับหลินหยุนนั้น อู๋กั๋วส้วงรู้สึกว่าซูจื่อเหลียงไม่เหมือนว่าจะเป็นอาจารย์ของหลินหยุนเลย
กลับตรงกันข้าม อู๋กั๋วส้วงรู้สึกว่า หลินหยุนเหมือนจะเป็นอาจารย์ของซูจื่อเหลียงเสียมากกว่า
นอกจากนี้เมื่อครู่ที่หลินหยุนทำนายผลแพ้ชนะของการต่อสู้ ต่างก็แม่นยำมาก อู๋กั๋วส้วงรู้สึกว่าหลินหยุนคงไม่ธรรมดาเหมือนกับที่แสดงออกมาให้ทุกคนเห็นกันอย่างแน่นอน!
สายตาของเส้เทียนหัวมองไปที่หลินหยุน วิชาการทำนายของหลินหยุนเขาเลื่อมใสอย่างมาก แต่หากพูดถึงการต่อสู้แล้ว เส้เทียนหัวไม่คิดว่าหลินหยุนจะเก่งกาจไปกว่าฉีหมิง
แต่ว่า เมื่อเห็นสายตาที่เฝ้ารอคอยของอู๋กั๋วส้วงแล้ว อีกทั้งเส้เทียนหัวเองก็ไม่มีใครจะเป็นมาเป็นตัวแทนในการประลองยุทธ์
เส้เทียนหัวจำใจคิดว่าจะต้องทดลองดูกันสักตั้ง คารวะไปทางหลินหยุนแล้วพูดว่า“คุณท่านหลิน หากท่านมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะฉินอู๋ชีได้ ก็ขอเชิญท่านแสดงฝีมือเพื่อช่วยเหลือพวกข้าด้วย! ”
หลิ่วเฉิงเฟิงหัวเราะอย่างเย็นชา สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม“ท่านเส้ เขาเป็นคนธรรมดาที่แม้แต่ชี่แท้ก็ยังฝึกฝนไม่สำเร็จ ให้เขาไปประลองยุทธ์ไม่ใช่ส่งเขาไปตายหรอกเหรอ? ”
“ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย ต่อให้อาจารย์ของเขาไปประลอง ก็ไม่สามารถรับมือกับหนึ่งกระบวนท่าของฉินอู๋ชีได้ ความแตกต่างระหว่างพรแสวงกับพรสวรรค์ ก็เปรียบได้กับร่องน้ำที่กั้นกลางระหว่างภูเขา ไม่มีใครสามารถข้ามผ่านไปได้! ”